จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรป่าไม้กับวิถีชีวิตชุมชนท่าม่วง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2110 - 2553

ทรัพยากรเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการดำรงความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์พืชและสัตว์ต่างพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ดิน น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า แร่ธาตุ บรรยากาศและพลังงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งปัจจัยสี่ที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อีกทั้งยังช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศโดยเฉพาะป่าไม้นั้นเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร    เป็นแหล่งกำเนิดของความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นตัวสร้างพลังงานจากแหล่งสีเขียว(Chlorophy) และแสงแดด เป็นแหล่งนำตัวเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นออกซิเจนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำ และแมลงต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้และพักผ่อนหย่อนใจ นับได้ว่ามีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมาก หากประเทศใดมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และประชาชนรู้จักใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างชาญฉลาดหรือมีการอนุรักษ์ก็จะส่งผลดีต่อประชากรทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่และฐานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ประเทศนั้นมีความมั่นคงในทางตรงกันข้ามถ้าประเทศใดขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติหรือไม่มีการอนุรักษ์ ก็จะประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนยากจน และทำให้ประเทศนั้นขาดความมั่นคงเรื่อย ๆ1
การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติในอดีตนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากกปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ในปัจจุบันกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ได้เริ่มมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลง การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา สาเหตุใหญ่เกิดจากการพัฒนาและการเพิ่มประชากร ทำให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างรวดเร็ว ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงเสื่อมโทรมหรือสูญสิ้นเร็วขึ้น โดยเฉพาะทรัพยากรป่า พบว่า ในปี พ.ศ. 2544 ป่าไม้ทั่วโลกได้ถูกทำลายลงหรือมีสภาพเสื่อมโทรมประมาณร้อยละ 80 ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่และมีความสมบูรณ์เพียงพอนั้นมีไม่มากนัก กระจัดกระจายอยู่ในบางส่วนของโลก เช่น แถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอนในอเมริกาใต้แคนาดา แอฟริกากลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัสเซีย ซึ่งป่าไม้เหล่านี้กำลังถูกคุกคามจากฝีมือมนุษย์ลงเรื่อย ๆ สาเหตุที่จำนวนพื้นที่ป่าไม้ลดลงนั้นเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าการทำเหมืองแร่ และการสูญเสียพื้นที่ป่าเนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ 2

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตมรสุมแถบร้อน (Tropical Monsoon) มีอากาศแบบร้อนชื้น(Humid Tropics) มีเนื้อที่ป่าประมาณ 320 ล้านไร่ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่มีประสิทธิภาพมากที่สุดประเทศหนึ่ง และมีการใช้ที่ดินไม่ถูกต้องเหมาะสมมาเป็นเวลาช้านาน จนเป็นเหตุให้ที่ดินเสื่อมคุณค่า มีการสูญเสียหน้าดินและการพังทลายของดินเป็นอันมาก อีกทั้งมีการแผ้วถางทำลายป่าในอัตราที่สูง โดยเปลี่ยนที่ดินป่าไม้ไปใช้เป็นที่ทำการเกษตรเพื่อผลิตอ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลังเพื่อการส่งออก ในระยะ 40 ปี ตั้งแต่เริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ เมื่อ พ.. 2504 เป็นต้นมา ป่าไม้ของชาติได้ถูกทำลายไปแล้วมากกว่า 80 ล้านไร่ ปัจจุบันประเทศไทยมีป่าธรรมชาติ ปกคลุมพื้นที่ของประเทศเพียงประมาณ 80 ล้านไร่ เช่นกัน หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของเนื้อที่ประเทศ3
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งหมด 19 จังหวัด มีเนื้อที่รวมทั้งภาค 105,533,963 ไร่หรือร้อยละ 32.91 ของเนื้อที่ประเทศ แบ่งเป็นที่ที่ถือครองทางการเกษตร 57,429,749 ไร่หรือร้อยละ 54.42 เนื้อที่ป่าไม้ 13,144,948 ไร่ หรือร้อยละ 12.43 และเนื้อที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้จำแนกอีก 34,989,266 ไร่ หรือร้อยละ 33.15 เนื่องจากภาคอีสาน ดินส่วนใหญ่เป็นทราย อุ้มน้ำไว้ไม่อยู่รวมทั้งมีการชะล้างมากขาดความอุดมสมบูรณ์ให้ผลผลิตต่ำ นอกจากดินตะกอนตามริมฝั่งน้ำโดยเฉพาะริมลำน้ำโขงที่ยังอยู่ในเกณฑ์อุดมสมบูรณ์กว่าที่ดินทั่วๆ ไปของภาค ปัญหาการใช้ที่ดินมักเกี่ยวกับการใช้ที่ดินไม่ถูกต้องตามสมรรถนะของดินนั้น ๆ เช่น การทำนาในที่ดินที่ไม่เหมาะกับการทำนาที่ดินควรเก็บรักษาไว้เป็นป่าเพื่อรักษาความชุ่มชื้นร่มเย็นและกักเก็บน้ำ หลังถูกแผ้วถางไปเป็นไร่ปอและไร่มันสำปะหลัง เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องดินเค็มที่ขยายตัวคลุมพื้นที่มากขึ้นทุกปี ที่สำคัญคือภาคอีสานเป็นภาคที่จัดว่าแห้งแล้ง แต่กลับมีเนื้อที่ป่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ คือ มีป่าคลุมพื้นที่ภาคอีสานอยู่เพียงร้อยละ 12 เท่านั้น4
ประวัติเมืองเสลภูมิ
   เดิมอำเภอเสลภูมิมีชื่อว่า  "บ้านเขาดินบึงโดน" ชื่อนี้เข้าใจว่าจะเรียกชื่อตามบึงใหญ่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าบึงโดน ซึ่งอยู่ติดกับโคกภูดิน โดยมีหลวงจุมพลภักดีบุตรพระประทุม (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี เป็นนายกองปกครองบ้านเขาดินบึงโดน สังกัดอยู่กับ แขวงยโสธรซึ่งมีพระสนุทรวงศา (เหม็น) เจ้าเมือง และแต่งตั้งให้หลวงจุมพลภักดี เป็นกรมการเมืองยโสธร อีกด้วย ต่อมาพระสุนทรราชวงศา เหม็น) ตาย
พระสุนทรราชวงศาสุพรม ได้เป็นเจ้าเมืองยโสธรหลวงจุมพลภักดี กรมการเมืองขออาสานำพลเร็วยกขึ้นกรุงเทพฯ ฝ่ายพระสุนทรราชวงศาสุพรม ไม่ยอม หลวงจุมพลภักดี กรมการเมือง มีความขุ่นเคือง จึงนำบัญชีตัวเลขไปสมัครขึ้นกับพระราษฎรบริหารเจ้าเมืองกมลาสัย พระราษฎรบริหาร จึงได้มีใบบอกกราบบังคมทูลพราะกรุณาขอตั้งบ้านเขาดินบึงโดนเป็นเมือง  จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งบ้านเขาดินบึงโดนเป็นเมืองเสลภูมินิคม เมื่อจุลศักราช 1240 ปีเถาะ (.ศ. 2422) และได้พระราชทานนามสัญญาบัตรตั้งหลวงจุมพลภักดี เป็นผู้ว่าราชการเมืองเสลภูมินิคม
 ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งมณฑลร้อยเอ็ดขึ้น เมืองเสลภูมินิคม จึงรวมกับมณฑลร้อยเอ็ด เรียกว่า "เมืองเสลภูมิ" และในปี พ.ศ.2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าอจ้าอยู่หัว ทรงจัดรูปแบบการปกครองเป็นจังหวัด อำเภอ เมืองเสลภูมิจ จึงเป็นอำเภอเสลภูมิ สังกัดจังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา5
ประวัติชุมชนท่าม่วง
จากการรับรู้ของชาวท่าม่วงและบันทึกในหนังสือ รายงานการวิจัย เชื่อว่า บ้านท่าม่วง หมู่ที่ ๔ ก่อตั้งเมื่อปี พ.. ๒๑๑๐โดยการนำ ของพ่อใหญ่สุทธิ์ แม่ใหญ่บัพภา ได้นำลูกหลานมาสร้างบ้านเรือน อยู่ฝั่งขวาแม่น้าชีฝั่งตรงข้ามกับบ้านท่าม่วงในปัจจุบัน แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวพื้นที่มีน้ำท่วมบ่อยครั้ง ในปี พ.ศ. 2230 จึงย้ายหมู่บ้านมาสร้างทางฝั่งซ้าย ของแม่น้ำชี ซึ่งเดิมเรียกว่า โนนหนามแท่ง
สำหรับชื่อบ้านท่าม่วง เรียกตามต้นมะม่วงใหญ่ อยู่ข้างลำาน้ำชี จึงได้เชื่อว่า บ้านท่าม่วง หรือชุมชนบ้านท่าม่วง ถิ่นเดิมอยู่ที่บ้าน นาพัง สวนหม่อน แขวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว เมื่อเกิดศึกสงครามและความวุ่นวายในอาณาจักรล้านช้างทำให้เกิดการอพยพของคนลาวข้ามสู่ผืนแผ่นดินอีสานมากขึ้น และ เมื่อสร้างบ้านเรือนแล้ว จึงสร้างวัดป่าสักดารามในปี ๒๑๑๐ วัด เหนือ ปี ๒๑๑๒ และวัดท่า ปี ๒๑๑๔6
ชุมชนท่าม่วงแบ่งการปกครองออกเป็น 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 2 , บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 3 ,บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 4 และบ้านท่าม่วงหมู่ที่ 9 ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดร้อยเอ็ดประมาณ 26 กิโลเมตร ห่างจากตัวอำเภอเสลภูมิประมาณ 16 กิโลเมตร ห่างจากถนนหมายเลข 2044 ร้อยเอ็ด  - โพนทองประมาณ 3 กิโลเมตร

อาณาเขตติดต่อ
                ทิศเหนือ ติดกับ บ้านนากะตึบ ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
                ทิศใต้ ติดกับ แม่น้ำชี
                ทิศตะวันออก  ติดกับ บ้านหนองแดง ตำบลท่าม่วง  อำเภอเสลภูมิ  จังหวัดร้อยเอ็ด
                ทิศตะวันตก ติดกับ บ้านดอนกอก ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ลักษณะภูมิประเทศของชุมชนท่าม่วงมีลักษณะเป็นที่ดอน ทางทิศใต้ติดกับแม่น้ำชี น้ำสามารถท่วมถึงในฤดูน้ำหลาก ชุมชนท่าม่วงจึงทำการเกษตรได้ดีในช่วงที่น้ำลด หรือฤดูร้อน โดยอาศัยการทำนาปรัง ส่วนพื้นที่ทางด้านทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก เป้นพื้นที่ที่ใช้ในการทำการเกษตร
นอกจากนี้ชุมชนท่าม่วงยังมีแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ   คือแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำชีที่ไหลผ่านทางทิศใต้ของชุมชน ระยะทาง 2.50 กิโลเมตร แก่งขามลา ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ และสระหลวง ที่ชุมชนท่าม่วงมีการเลี้ยงปลาและปลูกผักรอบๆสระเพื่อใช้ในชุมชน ซึ่งแหล่งน้ำธรรมชาตินี้ชุนชนท่าม่วงได้ใช้ในการทำเกษตรกรรม และดำรงชีวิต
                ทรัพยากรป่าไม้  สภาพป่าไม้ในชุมชนท่าม่วงเป็นป่าโปร่งแบบป่าเบ็ญจพรรณ มีต้นไมม้ที่สำคัญ คือ ไม้เต้ง  ไม้รัง ไม้ยางนา เป็นต้น ปัจจุบันป่าของชุมชนได้ลดน้อยลงเนื่องจากการแผ้วถางป่าเพื่อการทำเกษตรกรรม แต่ก็เหลือป่าที่ชุมชนท่าม่วงรักษาไว้คือ ป่าสงวนดงหัน และเขตอนุรักษ์ป่าวัดป่าสักดาราม โดยใช้เป็นพื้นที่ที่ใช้ในการหาของป่าเพื่อดำรงชีวิต เช่น หาฟืน เก็บเห็ด หน่อไม้และสมุนไพรต่างๆ
                ด้านการปกครอง การปกครองของชาวท่าม่วงแต่เดิมนั้นเป็นการปกครองตามรูปแบบของชุมชนอีสานทั่วไป คือ มีผู้ใหญ่บ้านเป้นหัวหน้าและรักษากิจการของชุมชน ต่อมาเมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น และมีการขยายตัวของชุมชน  จึงได้มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 4 หมู่บ้าน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานระดับตำบล โดยมีการจัดตั้งสภาตำบลท่าม่วง ขึ้นในปี พ.ศ. 2524 และได้พัฒนาเป็นสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วงในปี พ.ศ. 2540 และเปลี่ยนเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วงในปี พ.ศ. 2547
               

ด้านสาธารณะสุข ในสมัยที่การสาธารณะสุขแบบปัจจุบันยังไม่เข้ามาถึงชุมชน ชาวชุมชนท่าม่วงในอดีต  เป็นระบบสาธารณะสุขโดยอาศัยองค์ความรู้จากหมอยากลางบ้าน โดยมีการถ่ายทอดความรู้ผ่านการจดจำและการจดบันทึกไว้ในใบลาน ที่เรียกว่าลานก้อม มีการักษาแบบพื้นบ้านคือ การรักษาจากเภษัชวัตถุ การใช้เวทมนต์คาถา และใช้พิธีกรรมในการรักษาโรค หมอยาคนที่มีชื่อเสียงในอดีตคือ พ่อใหญ่อ่อนสา ปู่แพทย์ และปู่ขุนพรหม ส่วนหมอตำแยที่มีชื่อเสียงคือ ย่าเคน ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีบทบาทที่สำคัญต่อชุมชนท่าม่วงในช่วง  100 ปีที่ผ่านมา
                ในปัจจุบันชุมชนท่าม่วง อยู่ในความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพท่าม่วง ตั้งอยู่ที่บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 4
การศึกษา การศึกษาของชุมชนท่าม่วงในอดีตเห็นได้อย่างชัดเจน และหลงเหลือหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการบันทึกลงในใบลาน ซึ่งเดิมใช้วัดในการศึกษา ในชุมชนท่าม่วงใช้วัดป่าสักดาราม  ในการศึกษา ผู้ที่ศึกษาส่วนมากจะเป็นผู้ชาย เข้าศึกษาโดยการบวชเรียน  ส่วนผู้หญิงนั้นจะเรียนรู้อยู่ที่บ้าน
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนระบบการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล การศึกษาที่วัดจึงได้หมดความสำคัญลง เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาที่สถานศึกษา คือโรงเรียน ในชุมชนท่าม่วงมีโรงเรียนอยู่ 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านท่าม่วง สอนตั้งแต่ระบบปฐมวัยจนถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และโรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 68
การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรป่าไม้กับวิถีชีวิตชุมชนท่าม่วง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2110 - 2553
ก่อนปี พ.ศ. 2504 ของชาวท่าม่วง ทำนาปี ผลิตแบบด้วยเครื่องมือแบบเก่า เนื่องจากภาครัฐยังไม่ได้เข้ามามีส่วนในการพัฒนามากนัก  กาทำนาของชาวท่าม่วงจะใช้เพียง คราด จอบ เสียม ใช้แรงงานคนเป็นหลัก ผลผลิตที่ได้จะใช้บริโภคเพียงอย่างเดียวหรืออาจจะมีการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ขาดเขินกับชุมชนรอบข้างบ้าง วิถีชีวิตของคนท่าม่วงใช้เวลาอยู่กับการทำนาและจับปลาในลำน้ำชีเพื่อใช้ในการบริโภค จากการที่บ้านท่าม่วงตั้งอยู่ไกล้ลำน้ำชี ชาวท่าม่วงจึงมีปลาให้กินตลอดปี และชาวบ้านก็ไม่ไปทำงานในที่อื่น แต่สิ่งที่ชาวท่าม่วงต้องประสบปัญหาเกือบทุกปีคือ น้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร เนื่องจากลักษณทางภูมิศาสตร์ของบ้านท่าม่วงนั้นอยู่ติดกับลำน้ำชี จึงต้องเกิดปัญหานี้เป็นประจำ เมื่อว่างจากการทำเกษตรกรรม ชาวท่าม่วงจะมีการร่วมกันแข่งเรือ ในช่วงออกพรรษา มีการตีคลีไฟ ในชุมชน
                การใช้ทรัพยากรป่าไม้ของคนในชุมชนจะใช้ป่าเป็นตลาด ชีวิตของชาวท่าม่วงในยุคก่อนปี พ.ศ. 2504 จะมีความผูกพันกับป่าเป็นอย่างมาก เพราะป่าเป็นที่มาของปัจจัยสี่และความผูกพันในวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เช้าจนค่ำ เริ่มตั้งแต้ติดไฟหุงข้าวก็ต้องอาศัยฟืนจากป่ารอบ หมู่บ้าน มวยหุงข้าวก็สานมาจากไม้ไผ่เช่นเดียวกัน กระด้งหรือบ่มสำหรับส่ายข้าวที่นึ่งแล้วเพื่อไล่ไอน้ำออกมิให้ข้าวแฉะก็ทำมาจากไม้ แล้วจึงนำมาใส่กระกระติบข้าวซึ่งทำมาจากไม้ไผ่กับข้าวก็เก็บจากป่าใกล้ๆ หมู่บ้าน ตกสายก็นำควายออกไปเลี้ยงในป่าทำเลเลี้ยงสัตว์ ระห่างเลี้ยงควายก็หาผักป่าจับสัตว์เล็กๆ ในป่า หรือไม่ก็จับสัตว์น้ำหรือครึ่งบกครึ่งน้ำเช่น ปู ปลา เต่าเอาไว้เป็นอาหารเย็น ตอนเย็นต้อนควายเข้าคอกก็เก็บฟืนจากป่าเอามานึ่งข้าวและก่อไฟใต้ถุนบ้านเพื่อไล่ยุงมิให้มารบกวนโคกระบือและให้แสงสว่างแก่คนในยามค่ำคืน ป่าของชุมชนท่าม่วงแต่เดิมนั้น มีป่าดอนปู่ตา ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง ป่าในบริเวณโรงเรียนบ้านท่าม่วงและโรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม ป่าสงวนดงหัน เขตอนุรักษ์ป่าวัดสักดาราม
                ปี  พ.ศ. 2504 – 2524 ชาวท่าม่วงหันมาใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตรมากขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐ  คือรัฐบาลได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยในการผ่อนแรง และสามารถผลิตผลผลิตได้ในปริมาณมากขึ้น  แต่ก็ยังทำนาปีอยู่ และในช่วงนี้นอกจากการปลูกสำหรับบริโภคในครัวเรือนแล้วยังมีการขายเมื่อเหลือจากการบริโภคหรือเมื่อขาดเขิน  ในช่วงนี้ยังมีการนำพืชเศรษฐกิจมาปลูกเพื่อเพิ่มรายได้ คือ ปอ และมันสำปะหลัง แต่การทำการเกษตรขอองชาวท่าม่วงก็ยังประสบปัญหาเดิมคือน้ำท่วม  และเรื่องของดินที่เสื่อมคุณภาพด้วย


                ในช่วงนี้ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนท่าม่วงได้ลดลงเนื่องจากการนำพื้นที่ป่ามาทำเป็นสถานที่ราชการ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง โรงเรียนบ้านท่าม่วง โรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าการเสียพื้นที่ป่าเพื่อพัฒนาคนในหมู่บ้านจะดีกว่า นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบความเชื่อเรื่องผีปู่ตา จากการที่มีการสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วงซึ่งเดิมเป็นป่าดอนปู่ตา เมื่อมีการสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลศาลปู่ตาได้หายไป แต่ชาวบ้านยังคงมีการประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องอยู่คือ บุญเบิกบ้าน
นอกจากนี้การเปลี่ยนจากการผลิตพืชทางการเกษตร เช่นข้าว ปอและมันสำปะหลัง ได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนโยบายของรัฐที่สนับสนุน ทำให้การบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรได้ง่ายและมีมากขึ้น
                ปี พ.ศ. 2524- 2547 ในปี พ.ศ. 2524 สมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 ซึ่งเน้นเสริมสร้างสวัสดิภาพทางสังคมแก่คนในชาติมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เข้ามาพัฒนาและเหลียวแลภาคอีสานมากขึ้น เนื่องจากเกิดปัญหาคอมมิวนิสในภาคอีสาน9 บ้านท่าม่วงเองก็ได้รับการพัฒนาจากโครงการของรัฐ คือ การสร้างชลประทาน ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำชี การทำนาของชาวท่าม่วงได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นการทำนาสองครั้ง หรือการทำนาปรัง เนื่องจากการที่มีชลประทานในการส่งน้ำ ทำให้น้ำสามารถเข้าถึงพื้นที่ทางการเกษตรได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการขยายพื้นที่ทางการเกษตรด้วยเช่นกัน แต่ชาวบ้านได้อนุรักษ์ให้ป่าของชุมชนเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเหลืออยู่ 2 แห่ง คือ ป่าสงวนดงหัน และเขตอนุรักษ์ป่าวัดสักดาราม ที่ชาวบ้านสามารถเก็บผัก หาฟืน และหาของป่าเพื่อการดำรงชีวิตได้
                ปี พ.ศ.2547-2553 จากการลงพื้นที่ทำเวทีชาวบ้านพบว่า ป่าสงวนดงหันได้มีบุคคลภายนอกเข้ามาหาผลประโยชน์โดยการลักลอบตัดไม้ และหาของป่าไปขายตลาด เนื่องจากความเจริญเข้ามาใกล้ชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะการมีมหาวิทยาลัราชภัฎร้อยเอ็ดซึ่งห่างจากบ้านท่าม่วงเพียง 3 กิโลเมตร ส่งผลให้ชาวชุมชนท่าม่วงหาของป่าได้น้อยลง ทรัพยากรน้อยลง และการใช้พื้นที่ป่าน้อยลงเนื่องจากหาของป่าได้น้อยลง นอกจากนี้การเกิดไฟไหม้ป่าทุกปี ยังมีผลทีทำให้ป่าลดน้อยลงด้วย

ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนท่าม่วงในอดีตมีมาก มีการใช้ประโยชน์จากป่า เช่นเก็บผัก เก็บเห็ด หาฟืน และยังใช้ในการประกอบพิธีกรรม คือการเลี้ยงผีปู่ตา แต่เนื่องจากการแผ้วถางป่าเพื่อทำองค์การบริหารส่วนตำบลท่ามวง โรงเรียนบ้านท่าม่วง โรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ป่าไม้พื้นที่ในการหากินและของชุมชนลดลง นอกจากนี้พิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาก็ได้หายไปเนื่องจากพื้นที่ที่เป็นดอนปู่ตา ได้มีการสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง แต่ชุมชนท่าม่วงก็ได้มีการอนุรักษ์ป่าไว้ปัจจุบันเหลือ 2 แห่ง คือป่าสงวนดงหันและเขตอนุรักษ์ป่าวัดป่าสักดาราม แต่เมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ชาวบ้านได้ประโยชน์จากป่าสงวนดงหันน้อยลงเนื่องจากมีบุคคลภายนอกเข้ามาลักลอบตัดไม้ ทำให้ความสมบูรณ์ของป่าน้อยลงซึ่งมีผลผระทบต่อการหาอาหารในป่าของชาวท่าม่วง
                แนวทางแก้ไขปัญหา ข้าพเจ้าคิดว่าคนในชุมชนควรช่วยกันในการสอดส่องดูแลฝืนป่า และมีการจับกุมอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้กลุ่มบุคคลภายนอกกล้าเข้ามาลักลอบตัดไม้ในป่า รวมทั้งคนในชุมชนเองก็ต้องใช้พื้นที่ป่าอย่างรู้ค่า และสร้างสำนึกให้มีความรักและหวงแหนป่า
                                                                       
1เกษม จันทร์แก้ว. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : ภาควิชาอนุรักษ์วิทยาคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2540.
2ชัยวุฒิ หมื่นแก้ว. สถานการณ์ป่าไม้ของประเทศไทย,” ใน บทความรู้การป่าไม้เผยแพร่ในรายการวิทยุ ปี 2528. หน้า 26–29. กรุงเทพฯ : สำนักงานป่าไม้เขตขอนแก่น กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2538.
3นิวัต เรืองพานิช. ป่าและการป่าไม้ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, 2548.
4บัวเรศ ประไชโย. การจัดการป่าชุมชน วนศาสตร์ชุมชน : ทางเลือกในการพัฒนาป่าไม้ โครงการวิจัยวนศาสตร์ชุมชน. ขอนแก่น : คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2535.
5http://www.amphoe.com/ศูนย์บริการข้อมูลอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
6ธีรพันธ์ รัตนบุศย์ . รายงานการพัฒนาหมู่บ้านท่าม่วง . ร้อยเอ็ด : สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเสลภูมิ , 2554 .
7Google earth/บ้านท่าม่วง เสลภูมิ ร้อยเอ็ด
8สมัย วรรณอุดร , ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ , ทิพย์วารี สงนอก . บทบาทพระสงฆ์กับการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานและวัฒนธรรมท้องถิ่น กรณีศึกษา พระครูสีลสาราภรณ์ วัดป่าสักดาราม บ้านท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด . มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2550. 12-16
9สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ .แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-11 . 2552

บรรณานุกรม
เกษม จันทร์แก้ว. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ :
        ภาควิชาอนุรักษ์วิทยาคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2540.
ชัยวุฒิ หมื่นแก้ว. สถานการณ์ป่าไม้ของประเทศไทย,” ใน บทความรู้การป่าไม้เผยแพร่ในรายการวิทยุ
        ปี 2528 : สำนักงานป่าไม้เขตขอนแก่น กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2538.
ธีรพันธ์ รัตนบุศย์ . รายงานการพัฒนาหมู่บ้านท่าม่วง . ร้อยเอ็ด : สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเสลภูมิ ,
       2554 .
นิวัต เรืองพานิช. ป่าและการป่าไม้ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, 2548.
บัวเรศ ประไชโย. การจัดการป่าชุมชน วนศาสตร์ชุมชน : ทางเลือกในการพัฒนาป่าไม้ โครงการ
       วิจัยวนศาสตร์ชุมชน. ขอนแก่น : คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2535.
สมัย วรรณอุดร , ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ , ทิพย์วารี สงนอก . บทบาทพระสงฆ์กับการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานและ
       วัฒนธรรมท้องถิ่น กรณีศึกษา พระครูสีลสาราภรณ์ วัดป่าสักดาราม บ้านท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัด
       ร้อยเอ็ด . มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2550.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ .แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
       ฉบับที่ 1-11 . 2552
Google earth/บ้านท่าม่วง เสลภูมิ ร้อยเอ็ด
http://www.amphoe.com/ศูนย์บริการข้อมูลอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

โกวิทย์ ขันชาลี ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
คมสัน แก้วสะอาด ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
คมสัน ประทุมอ่อน ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
จิระศักดิ์ อ่วมคำ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 
ฉลาด ไชยสิงห์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทิ้ง สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทองสุข สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
บัญชา สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
บุญมา สารพัฒน์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
บัว สุริโย ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประเทือง สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประสบ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประสิทธ์ ลีพิทักษ์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประสิทธิ์ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประยงค์ กล้าทน ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
พิศมัย สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ไพโรชน์ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ไพศาล สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ยุพารันต์ กุสุมาลย์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
รัศมี ภูมิวรรณ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ศักดิ์ชัย บุตรพรม ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ศิริพงษ์ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
สง่า อุทุมภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
เสน่ห์ สิงห์ท้วม ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
สงค์ ลีพิทักษ์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง  ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นเศรษฐกิจอีสาน

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นเศรษฐกิจอีสาน
                                                ช่วงก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง – ช่วงนโยบาย OTOP                    
                ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกมองว่า ด้อยการศึกษา ไร้การพัฒนา ไม่มีวัฒนธรรม ซึ่งถ้ามองในภาพที่เป็นจริงแล้ว คนอีสานไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมาเลย เพราะคนอีสานมีการศึกษาแต่การศึกษาของคนอีสานนั้นไม่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนเหมือนคนในเมืองหลวง แต่ใช้ใช้วัดเป็นสถานที่ฝึกอ่าน ฝึกเขียน และเรียนรู้จากการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เป็นบิดา มารดา หรือกิจกรรมที่ทำ และการที่กล่าวว่าคนอีสานไร้วัฒนธรรมก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะสังคมภาคอีสานเป็นสังคมที่มีมานาน เพราะฉนั้นย่อมมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สั่งสมมาอยู่แล้ว ไม่มีชาติใดในโลกที่อยู่ในสังคมแล้วไม่มีวัฒนธรรม และวัฒนธรรมของคนอีสานมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าเรียนรู้ ซึ่งคำว่าไร้วัฒนธรรมในสายตาของใครหลายๆคน น่าจะหมายถึงการไม่มีวัฒนธรรมที่ส่วนกลางสร้างขึ้นหรือเป็นวัฒนธรรมของรัฐ เช่น การลอยกระทง สงกรานต์ เป็นต้น  และคำว่าไร้การพัฒนา การพัฒนาภาคอีสานตั้งแต่อดีตนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีภูเขาล้อมรอบทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ส่วนทิศตะวันออกและทิศเหนือนั้นมีแม่น้ำโขงกั้นอยู่ การเดินทางจากกรุงเทพฯเข้าสู่อีสานนั้นเป็นไปได้อยาก เพราะต้องเดินทางผ่านภูเขา ซึ่งเรียกกันว่า ดงพระไฟ จึงทำให้คนอีสานติดต่อกับทางล้านช้างมากกว่าติดต่อกับทางกรุงเทพฯ อันเนื่องมาจากการเดินทางที่ไม่สะดวก และการเข้ามาพัฒนาของรัฐเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรมากนัก จะมีก็เฉพาะการเก็บส่วยและการเกณฑ์แรงงาน เพราะชาวอีสานก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ซึ่งจะต้องตอบแทนรัฐในการให้ความคุ้มครอง โดยจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐที่เรียกว่า ระบบไพร่ ซึ่งจะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีให้กับรัฐ โดยช่วงแรกจะเสียภาษีเป็นการนำสิ่งของ แต่ในภาคอีสานส่วนมากจะเป็นของป่า เช่น ครั่ง ผลเร่ว นอแรด เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนเป็นการเสียภาษีด้วยเงินตรา(1)ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ารัฐก็มีส่วนที่เป็นตัวกระตุ้นให้ชาวอีสานต้องประกอบอาชีพในช่วงนี้ อาชีพของคนอีสานส่วนมากคือการทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนาที่ใช้น้ำจากน้ำฝนเป็นหลัก แต่ฝนก็ตกไม่มากนักในภาคอีสาน เนื่องจากอีสานอยู่ในเขตที่เรียกว่า “เขตเงาฝน”
                                                                                               
       1 ประนุช ทรัพยสาร . ประวัติศาสตร์เกษตรกิจอีสาน . มหาสารคาม ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎมหาสารคาม , ๒๕๔๕ .(๒๓)
อันเนื่องมาจากภูเขาที่ล้อมภาคอีสานอยู่นั้นบังลมมรสุมไว้  และจากการแห้งแล้งทำให้ภาคอีสานต้องพึ่งพาอาศัยกันระหว่างหมู่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ ซึ่งมีลักษณะเป็นการขายสิ่งที่หามาได้หรือเหลือจากการบริโภคหรือขายสิ่งที่ไม่มีในหมู่บ้านอื่น เช่น เครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก ซึ่งแต่ละหมู่บ้านไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขาดวัตถุดิบและความรู้ในการถลุงเหล็กและการนำมาผลิตเป็นเครื่องใช้
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชาวอีสานจะแลกเปลี่ยนกันก็ต่อเมื่อขาดทรัพยากรที่บางอย่างที่จำเป็น การเปลี่ยนแปลงมีมากขึ้นในปีที่ฝนฟ้าผิดปกติ การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้มีการแสวงหาผลกำไร การค้าแบ่งออกได้เป็นสองระดับคือ กรขายของที่หาได้เพื่อจ่ายค่ารัชชูปการและการขายเพื่อซื้อหาสิ่งของแปลกใหม่(2)
โดยชาวอีสานจะใช้แรงงานคนในครอบครัวเป็นหลักซึ่งเริ่มตั้งแต่การจับจองที่ดินและถากถางพื้นที่เพาะปลูกเป็นต้นมา โดยจะใช้พื้นที่ราบหรือที่ราบลุ่มแม่น้ำในการทำนาและในช่วงนี้ชาวอีสานมีการทำนาดำ คือมีกรรมวิธีในการทำที่ยุ่งยากแต่ได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ โดยจะเริ่มทำนาในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน โดยเริ่มจากการไถดะ และไถแปรเพื่อทำให้ดินเป็นก้อนหยาบๆก่อนที่จะใช้คราดหรือใช้ลูกทุบตีดินให้แตกละเอียด หลังจากนั้นก็จะมาเป็นการตกกล้า คือการถอนต้นกล้าข้าวที่เตรียมไว้ในแปลง มาเพื่อที่จะไปปักหรือดำ โดยการดำนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ว่าเป็นที่แห้งหรือว่ามีน้ำ ถ้าพื้นที่แห้งก็จะใช้วิธีการใช้ไม้เสียบเป็นหลุมก่อน แต่ถ้ามีน้ำก็จะสามารถปักดำได้เลย หลังจากที่ปักดำเสร็จแล้ว ก็จะรอจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว ก็จะทำการเก็บเกี่ยว ส่วนพื้นที่ที่เป็นเชิงเขาหรือภูเขาจะมีการปลูกข้าวไร่  คือการปลูกข้าวบนที่สูงหรือภูเขา ซึ่งเราต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งสูง ซึงขึ้นตอนการทำก็จะใช้ไม้ปลายแหลมเสียบเป็นหลุมในพื้นที่ที่ต้องการปลูก จากนั้นก็จะหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เตรียมไว้ แล้วก็รอการเก็บเกี่ยวผลผลิตเลย ซึ่งการทำนาของชาวอีสานทั้งสองแบบนั้น จะนิยมปลูกข้าวเหนียว และมีการปลูกพืชอย่างอื่นไว้บริโภคในครัวเรือนด้วย เช่น หอมต้น พริก กระเทียม เป็นต้น โดยใช้เครื่องมือที่เป็นเครื่องมือแบบเก่า ที่ได้จากการผลิตเองหรือซื้อจากชุมชนใกล้เคียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นต่ำ เช่น คราดที่ทำด้วยไม้ ผานไถซึ่งทำจากเหล็ก แต่ปัจจัยที่สำคัญคือน้ำ ซึ่งในช่วงนี้อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่อีสานมีความเป็นอยู่ “แบบพอยังชีพ”
                                                                                                               
        2 สุวิทย์ ธีรศาศวัต . ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ . กรุงเทพฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ , ๒๕๔๖ .(๑๕๘)

ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับประเทศอังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งผลของสนธิสัญญานี้ทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพหรือเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่เศรษฐกิจการตลาด และที่สำคัญคือการเปิดการค้าข้าวคือข้าวเป็นสินค้าสงออกได้และอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าเสรีในสยามได้ โดยเฉพาะในภาคกลางของประเทศได้มีการขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาทางด้านแรงงานในการผลิต โดยเฉพาะควาย ซึ่งใช้ในการไถนา ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งแตกต่างจากภาคอีสานที่มีความจำนวนมากเพราะชาวบ้านมีการเลี้ยงวัว-ควาย เป็นอาชีพที่ควบคู่กันมากับการทำนา ทำไร่ วัว-ควาย จึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสำคัญต่อชุมชน ทั้งในสถานะปัจจัยการผลิต คือแรงงานไถนา ผลิตปุ๋ยคอก เป็นพาหนะอำนวยความสะดวกในการเดินทางคมนาคมขนส่ง เป็นสิ่งแสดงถึงสถานะทางสังคม เป็นสมบัติสำหรับลูกหลานเวลาแต่งงานมีเหย้ามีเรือนแยกครอบครัวเป็นของตนเอง จึงเกิดกลุ่มพ่อค้าชาวอีสานที่เรียกว่า นายฮ้อย ซึ่งนายฮ้อยนั้น เป็นภาษาท้องถิ่นภาคอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการค้าขาย และมักเรียกตามชื่อประเภทสินค้า ดังนั้นกลุ่มคนที่ค้าขายวัว-ควาย จะถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัว-ควาย แต่อาจเพราะนายฮ้อยวัว-ควาย มีบทบาทสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนอีสานใกล้ชิดมากกว่ากลุ่มพ่อค้าสินค้าประเภทอื่นๆ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ดังเช่น งานเขียนของสุวิทย์ ธีรศาสวัต ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ ว่า “นายฮ้อย เป็นผลกระทบโดยตรงมาจากการขยายพื้นที่ปลูกข้าวอย่างมากของภาคกลาง อันเป็นผลมาจากการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง เมื่อภาคกลางปลูกข้าวมาก พื้นที่เลี้ยงสัตว์จึงไม่ค่อยมี และประสบปัญหาการขาดแคลนสัตว์ที่ใช้ในภาคการเกษตร คือวัว ควาย จึงมีการหันมาซื้อวัวควายจากภาคอีสานซึ่งมีอยู่มาก จึงเกิดนายฮ้อยขึ้น คนที่เป็นนายฮ้อยไม่จำเป็นต้องมีเงินมาก แต่มีความกล้าที่จะเป็นผู้นำและกล้าหาญ มีวิชาป้องกันตัวจากโจรและภูตผีปีศาจ รู้จักเส้นทาง นายฮ้อยจะถูกเรียกตามสัตว์ที่ค้า เช่น ค้าวัวควาย ก็จะถูกเรียกนายฮ้อยวัวควาย เป็นต้นโดยจะออกซื้อควายจากหมู่บ้านของตนและใกล้เคียง เอามารวมกันเวลาเดินทาง ตัวนายฮ้อยก็จะมีควายจำนวนหนึ่ง ลูกน้องก็จะมีความจำนวนหนึ่ง   ช่องทางที่นายฮ้อยนิยมต้อนควายผ่านจากภาคอีสานมายังภาคกลางมีทั้งหมด ๓ ช่องทาง คือ เส้นทางแรกเดินทางดงพญาไฟ ลงไปปากเพรียว จังหวัดสระบุรี เส้นทางที่สองผ่านทางดงพญากลางลงไปอำเภอสนามแจ้ง จังหวัดลพบุรี เส้นทางที่สามทางช่องตะโก(3)
                                                                                               
       3 สุวิทย์ ธีรศาสวัต .ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ . กรุงเทพ ฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ ,๒๕๔๖.(๑๖๓ ๑๖๘)
นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าเกวียนเป็นพ่อค้าที่นำของมาขายโดยใส่ทางเกวียน ซึ่งจะนำสิ่งของเหล่านั้นมาขายหรือแลกเปลี่ยนในชุมชน พ่อค้าโคต่าง ที่นำสินค้าบรรทุกใส่หลังวัวเข้ามาขายสินค้า ซึ่งทำให้ในช่วงนี้อีสานเริ่มเกิดการค้า คนที่ค้าขายจะเป็นชาวอีสาน พ้อค้าญวนเป็นต้น โดยใช้ช่องทางการค้าต่างๆ กันคือการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าญวนจะใช้เส้นทางแม่น้ำโขง และพ่อค้าคนอีสานก็จะนำของป่าที่หาได้ไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้กับพ่อค้าญวน โดยพ่อค้าในช่วงนี้จะบรรทุกใส่เกวียนหรือโค เพื่อที่จะนำไปขายตามหมู่บ้านต่างๆ ตามเส้นทางที่ประชาชนในภาคอีสานทำขึ้นเอง เพื่อติดต่อกันระหว่างหมู่บ้านที่เรียกว่า “ทางเกวียน”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ได้มีผลโดยตรงในการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตคือยังเป็นเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ เนื่องจากการติดต่อกันรัฐส่วนกลางกับอีสานยังเป็นไปได้อยาก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ทำให้คนในชุมชนเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วย แต่เริ่มมีการพึ่งพาสินค้าจาภายนอก โดยการนำมาขายของนายฮ้อย  แต่การแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้านยังมีอยู่
ภาคอีสานได้เริ่มถูกรัฐควบคุมมากขึ้นๆโดยรัฐได้ดึงเอาผลประโยชน์จากชุมชนในรูปของเงินรัชชูปการและการศึกษาพลี  เมื่อยกเลิกก็เก็บเป็นภาษีบำรุงท้องที่ หรือที่เรียกว่า ภาษีที่ดิน และภาษีทางอ้อมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเกณฑ์แรงงานำไปสร้างสิ่งสาธารณะเป็นบางครั้ง และยังเกณฑ์ชายหนุ่มไปเป็นทหารอีกด้วย ผลจากการที่รัฐได้เข้ามามีส่วนในชุมชนนี้ ทำให้เกิดการต่อต้านอำนาจรัฐขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเกิดกบฏในที่ต่างๆ เช่น กบฏโสภา บ้านสาวถี จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น ซึ่งการก่อกบฏนั้น ได้ใช้หลักพระพุทธศาสนาในการรวมคนให้เข้าร่วมก่อกบฏ คือทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าการเคารพบูชาพระพุทธศาสนาจะทำให้ได้เกิดในพระพุทธศาสนาในยุคของพระศรีอาริย์ ทุกอย่างจะเกิดความเท่าเทียม ซึ่งการเกิดกบฏนี้เป็นตัวที่สะท้อนสังคมในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี แต่รัฐก็ได้เริ่มเข้ามาพัฒนาอีสานด้วยเช่นกัน คือ การสร้างทางรถไฟในอีสานในปี (พ.ศ.๒๔๔๓ ๒๔๘๘) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักของการสร้างทางรถไฟสายแรกนี้ได้ ๒ ประการ คือ ประการแรกเพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการขนส่งผู้คนและสินค้า ประการที่ ๒ เพื่อประโยชน์ในการปกครองและรักษาพระราชอาณาเขต การรักษาพระราชอาณาเขตที่เน้นมากที่สุด คือภาคอีสาน ก็เพราะท่าทีคุกคามจากฝรั่งเศสหลังจากได้เขมรและเวียดนามแล้วก็พุ่งมาที่ลาวจนไทยต้องเสียสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๓๑ และเริ่มเข้าสู่ดินแดนลาวส่วนที่เหลือ แต่การค้านั้นเป็นผลพลอยได้ (4) ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ทำให้ระบบการผลิตของชาวอีสานบางส่วนเปลี่ยนแปลงไป
                                                                                               
4                 สุวิทย์ ธีรศาสวัต . อีสานหลังมีทางรถไฟ .ขอนแก่น ; คลังนานาวิทยา , ๒๕๕๑ .(๓๖)
 คือ ชุมชนที่อยู่ใกล้ทางรถไฟ จะปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น โดยจะนำส่วนที่เหลือจากการบริโภคไปขายโดยนำขึ้นรถไฟไปขายที่โคราชหรือในไปขายที่โรงสีของพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางมาพร้อมกับทางรถไฟ เกิดตลาดและกลายเป็นชุมชนการค้า เพราะการค้าขยายตัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะชาวจีนที่เดินทางมากับทางรถไฟและตั้งตลาดในเมืองใหญ่ที่มีรถไฟผ่าน และยังส่งผลให้ศูนย์ราชการของอำเภอต่างๆก็ย้ายศูนย์ราชการเข้ามาใกล้ทางรถไฟด้วย (5) แต่การเพาะปลูกที่เกือบทุกครัวเรือนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติรอบๆชุมชน ทุกคนที่ทำงานได้จะได้งานตามวัยของตัวเองเกือบตลอดทั้งปี เพราะหน่วยการผลิตคือครัวเรือนผลิตเกือบทุกอย่างที่ครัวเรือนบริโภค เศรษฐกิจมีลักษณะพอเพียง และมีความสมดุลระหว่างการผลิต เกิดขึ้นตามธรรมชาติและการบริโภคอยู่ ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เนื่องจาก อัตราการเพิ่มของประชากรก็น้อย เพราะอัตราการเกิดและการตายไม่แตกต่างกันมาก เมื่อประชากรน้อยก็บริโภคทรัพยากรธรรมชาติและผลผลิตน้อย การบริโภคกับการผลิตของคนและธรรมชาติใกล้เคียงกัน นอกจากนี้คนในชุมชนบริโภคสิ่งที่คนในชุมชนสามารถผลิตได้หรือหาได้จากธรรมชาติเกือบหมด ไม่ได้พึ่งพาสินค้า ทรัพยากรภายนอกจะมีบ้างเฉพาะของที่แปลกใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องหัถกรรม เนื่องจากการขนส่งสินค้าที่ถูกลงทำให้มีการส่งออกสินค้าเกษตรและของป่าออกจากภาคอีสานมากขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้าก็เพิ่มมากขึ้นหลายชนิด หนึ่งในจำนวนนั้นคือสินค้าหัตถกรรม ซึ่งรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มซึ่งชาวอีสานเคยผลิตได้เองมาโดยตลอด ก็เริ่มหันไปใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปแทนเนื่องจากมีราคาถูกและประหยัดเวลา นอกจากเสื้อผ้าที่ชาวอีสานเริ่มหันไปใช้ของต่างประเทศแล้ว เครื่องมือเกษตรที่เกษตรกรซึ่งเป็นช่างเหล็กเคยผลิตขึ้นใช้เองและแลกหรือขายกับเกษตรกรอื่น ก็ลดการผลิตลง เกษตรกรหันไปซื้อจอบและผาลจากเมืองนอกมากขึ้น เพราะคุณภาพดีกว่าเครื่องมือเหล็กที่ผลิตเองในอีสาน แต่ในด้านการพึ่งพากันและกัน ในช่วงนี้นั้นคนอีสานยังมีการพึ่งพาและเอื้ออาทรระหว่างคนในชุมชนสูงอยู่ โดยสังเกตได้จากการลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นต้น และบางครั้งก็พึ่งพาสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย เช่น ผีปู่ตา ผีตาแฮก เป็นต้น
                                                                                               
       (5) ประนุช ทรัพยสาร .วารสารช่อพะยอม ๑๕, ๓ (พ.ย. ๒๕๕๐) ๑๑-๒๐



เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง(๒๔๘๘ ๒๕๐๔) จากการที่ต้องติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศจีน จึงทำให้ไทยต้องสร้างถนนผ่านภาคอีสานนั้นคือ ถนนมิตรภาพ (หมายเลข ๒ ) ซึ่งต่อมาถนนเส้นนี้กลายเป็นเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ดังเช่นในงานวิจัยของนิรุบล อึ้งอารุณยะวี ในงานวิจัยเรื่อง สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. 2476 – 2506 ว่า “ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจอีสาน ทำให้เกิดการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2 คือถนมิตรภาพซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ใช้เดินทางมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้การติดต่อกับบ้านไผ่สะดวกขึ้น อาจจะไม่ต้องนอนพักที่บ้านไผ่ก็ได้ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมและการบริการต่างๆเริ่มซบเซาลง(6) และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สงบลง สิ่งที่ชาวอีสานได้จากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ในช่วงนี้อีสานได้รับการดูแลจากรัฐเพิ่มมากขึ้น เช่น รัฐได้ดำเนินนโยบายการรณรงค์ฉีด ดี.ดี.ที.กำจัดยุง พาหะของโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดอยู่ในคนไทยถึงร้อยละ ๑๗ การปลูกฝีป้องกันโรคไข้ทรพิษและการฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคการเพิ่มของบุคลากรทางการแพทย์และสาธาณสุข การเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลและสถานีอนามัย ล้วนเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้อัตราการตายลดน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ชาวอีสานมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลยังการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากขึ้นตามไปด้วย และเกิดการเข้ามาและขยายตัวของระบบทุนนิยม โดยเฉพาะการเพิ่มของคนจีนและผู้มีอาชีพค้าขาย ทำให้การผลิตผลผลิตทางการเกษตรของชาวอีสานมีการผลิตเพื่อขายเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะริมทางรถไฟเท่านั้น เพราะการมีถนนเพิ่มในภาคอีสานทำให้การขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ชาวอีสานผลิตข้าวเพิ่มมากขึ้น
จะเห็นได้ว่ารัฐเริ่มเข้ามาดูแลภาคอีสานมากขึ้นกว่าเดิมเป็นระยะๆโดยเริ่มตั้งแต่มีทางรถไฟเป็นต้นมาซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนอีสานเปลี่ยนแปลงไป ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ ซึ่งนโยบายที่สำคัญคือ เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกและการปฏิบัติตามแผนพัฒนาฯทำให้เกิดการผลิตพืชพาณิชย์อย่างรวดเร็ว
                                                                                                               
      (6) นิรุบล อึ้งอารุณยะวี . สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๖๒๕๐๖.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , ๒๕๔๓ .


รวมทั้งเกิดนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานซึ่งถือได้ว่ารุนแรงกว่าทุกภาค  และ ผ.ก.ค. ยังขยายพื้นที่ได้มากกว่าทุกภาค ทำให้รัฐบาลต้องทำสงครามแย่งชิงประชาชนจาก ผ.ก.ค. ด้วยการใช้กำลังทหารและตำรวจปราบปราม ผ.ก.ค. ในขณะเดียวกันก็เกิดผลพลายได้ที่ตามมานั้นคือ กรสร้างวัตถุและการให้บริการต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลห่วงใยประชาชน ผลของนโยบายดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างถนนขึ้นมากมายในภาคอีสาน โดยมีถนราดยางและถนนคอนกรีตเพิ่มมากขึ้นเป็น ๔๒.๓ เท่า มีการสร้างเขื่อนและพื้นที่ชลประทาน  มีการขยายไฟฟ้า ไปยังพื้นที่ภาคอีสานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลทำให้ในช่วงนี้ประชาชนในภาคอีสานมีวิถีชีวิตที่สะดวกสบายอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐเพิ่มมากขึ้น มีการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น แต่ราคาถูกลงจาก ๑ ใน ๓ ของมูลค่าสินค้าที่บรรทุก เหลือประมาณร้อยละ ๑ – ๒๐ และยังทำให้เกิดมีการขยายการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ทำให้คุณภาพของประชากรภาคอีสานมีสูงขึ้น แต่ก็ส่งผลให้แรงงานที่มีการศึกษาไปทำงานนอกภาคการเกษตรและยังไปทำงานในที่ต่างถิ่นอีกด้วย ดังที่ ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ ได้อธิบายไว้ในเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาเกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรทฤษฎีใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ว่า(7) ตั่งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ เป็นต้นมา จนถึงฉบับที่ ๗  ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในด้านการเกษตรมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิต และการส่งออก โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการผลิตต่อไร่ เพิ่มพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน เน้นการส่งอกนำรายได้เข้าประเทศ และยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกร แนวทางนี้ทำให้เกษตรกรต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ นับตั้งแต่พันธุ์พืช ปุ๋ยเคมี สารกำจักศัตรูพืช  เครื่องจักรกลทางการเกษตร  ซึ้งต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เหมาะสำหรับการทำเกษตรบนพื้นที่ผืนใหญ่ ฟาร์มขนานใหญ่ที่มีทุนมาก และสามารถทำการเกษตรแบบครบวงจร แต่ไม่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อยที่ไม่มีทุน และยังมีพื้นที่น้อย เมื่อต้องปฏิบัติตามกระแสของการใช้เทคโนโลยีที่ใช้ต้นทุนสูง จึงเข้าสู่ระบบการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิต ปัจจัยการผลิต ค่าแรงงาน และค่าจ้างสำหรับเครื่องจักรกลทางการเกษตร เมื่อรวมแล้วต้นทุนในการทำเกษตรยุคใหม่ จึงนับว่าสูงกว่าแต่ก่อนมาก แม้ว่าวิธีการใช้เทคโนโลยีจะทำให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น  แต่ปรากฏว่ารายได้ของเกษตรกรกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ควร
                                                                                               
        7 ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ . เกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรทฤษฏีใหม่(ตอนที่๑) . กรุงเทพฯ ; มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร , ๒๕๕๐ .
เพราะราคาผลผลิตการเกษตรที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่ได้สัดส่วนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรของเกษตรกรกลับลดลงกว่าเดิม ยิ่งทำในพื้นที่น้อยยิ่งมีรายได้ลดลงมาก บางรายถึงกับขาดทุน ต้องเป็นหนี้ธนาคาร และสุดท้ายเมื่อไม่สามารถหาชำระได้ที่ต้องถูกยึด”
จากข้อความข้างต้นนั้น ทำให้มองเห็นว่า มีการถือครองที่ดินในลักษณะที่เป็นเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆเลย และอาจกล่าวได้ว่าการถือครองที่ดินในลักษณะที่เป็นเอกสารสิทธิ์นั้นเกิดจาก เนื่องจากการขยายตัวของประชากรภาคอีสาน อันเนื่องมาจากการขยายตัวของนโยบายของรัฐที่ให้ความสำคัญทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการเกิดและการตายไม่สมดุลกัน คือ มีอัตราการตายที่ลดลงมาก จึงส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องใช้เพิ่มมากขึ้น และไม่สามารถที่จะขยายพื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่อยู่อาศัยได้ จึงนำไปสู่การเริ่มทำเอกสารสิทธิ์ในการถือครองที่ดินเพื่อไม่ให้เกิดการรุกล้ำที่ทำกินและที่อยู่อาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อประชากรมีมากขึ้น การผลิตและการใช้ทรัพยากรก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปริมาณการผลิตข้าวของภาคอีสานได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ในยุคก่อนพืชพาณิชย์หรือช่วงที่มีทางรถไฟในภาคอีสานแล้ว แต่ภาคอีสานก็เป็นพื้นที่ที่เป็นรองภาคกลางอยู่ในด้านการผลิตข้าว ในยุคพืชพาณิชย์นี้มีการผลิตข้าวที่มากกว่าการบริโภคในครัวเรือนทำให้มีข้าวที่เก็บเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้ภาคอีสานมาความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น รวมทั้งมีการผลิตพืชไร่มากขึ้น คือผลผลิตทางการเกษตรที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องการ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ เช่น การน้ำอ้ายไปทำน้ำตาล การนำปอเพื่อไปทำกระสอบและเชือก เป็นต้น
จากการเพิ่มการผลิตทางการเกษตร การเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก ซึ่งต้องจำเป็นต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมากและทำให้การผลิตต้องใช้เวลามาก เพื่อให้ทันกับระยะเวลาการเพาะปลูก จึงได้มีการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงขึ้นมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการเกษตร โดยเฉพาะรถแทรกเตอร์ โดยมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น ๑๐.๖ เท่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๔๐ เพราะประสิทธิภาพในการบุกเบิกที่ดินและการไถพรวนที่ใช้เวลาน้อย  นอกจากนี้ยังมีรถไถเดินตาม ซึ่งใช้กันมากในการทำนาในช่วงนี้ เพราะเห็นว่ามีความสะดวกสบายและประหยัดเวลา รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงพันธุ์ข้าวพื้นเมืองไปใช้ข้าวที่ได้รักการแนะนำจากเกษตรอำเภอ ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีความต้านทานโรคที่ต่ำ ทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มการใช้สารเคมีและปุ๋ยในการบำรุง และทำให้เกิดการเป็นหนี้ซึ่งเกิดจากการกู้เงินมาทำการเกษตรเป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงแรงงาน แรงงานในพื้นที่ต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากปริมาณการผลิตที่มากขึ้นเพราะการผลิตไม่ได้ผลิตเพื่อกินเพียงอย่างเดียว และยังต้องไปปลูกพืชไร่เพื่อขายอีกด้วย การแลกเปลี่ยนแรงงานและการลงแขกมีน้อยเนื่องจากทุกคนต้องทำงานของตัวเองให้ทันเวลา จึงไม่มีเวลาไปช่วยคนอื่น และการลงแขกได้เปลี่ยนมาเป็นการจ้างแรงงานแทน แต่เป้าหมายของการผลิตข้าวคือผลิตไว้บริโภคในครัวเรือนแต่ถ้าเหลือก็ขาย แต่พืชไร่จะปลูกเพื่อขายเพียงอย่างเดียว แต่ในช่วงนี้เกษตรกรชาวอีสานได้รับปัญหาและความเดือดร้อนมากจากการที่ต้องไปกู้เงินมาซื้อเครื่องทุ่นแรงทางการเกษตร ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐที่เน้นในด้านการผลิตผลผลิตด้านการเกษตรในการส่งออกนั้น ทำให้ชาวอีสานแทนที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลับต้องเป็นหนี้ทั้งในระบบคือ ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์กรเกษตร และนอกระบบคือญาติพี่น้อง นายทุน และแหล่งเงินกู้ต่างๆ เนื่องจากการผลิตผลผลิตทางการเกษตรที่ให้ได้ผลผลิตมากๆนั้นต้องอาศัยเครื่องทุนแรง เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถเดินตาม เครื่องสูบน้ำ ยาฆ่าแมลง เป็นต้น ซึ่งมีต้นทุนที่สูง การที่ชาวบ้านจะมีได้ต้องกู้เงินในทางต่างๆจนเป็นหนี้ รวมทั้งการกดราคาสินค้าของพ่อค้าคนกลาง คือสินค้าทางด้านการเกษตรนั้น ถึงแม้เกษตรกรจะเป็นคนปลูกก็จริงแต่ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดราคา ซึ่งการกำหนดราคานั้นต้องขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ในบางปีที่ได้ผลผลิตมากผลผลิตก็มีราคาที่ตกต่ำ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถใช้หนี้สินได้ จึงเป็นหนี้สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ในงานวิจัยของ สุวิทย์ ธีรศาศวัต และชอบ ดีสวนโคก เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่า “ทั้งค่าพันธุ์พืช ค่าจ้างแรงงาน ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายสูงการไถก็ต้องใช้รถไถ หรือรถไถเดินตาม ซึ่งต้องจ้างรถไถเดินตาม ในบางครัวเรือนก็ซื้อ ๑ คัน เท่ากับขายควายประมาณ ๔ ตัว เอามาซื้อและยังค่าดูแลรักษา ค่าน้ำมัน ฯลฯ แต่ราคาผลผลิตที่ขายได้นั้นขึ้นๆลงๆ บางปีขาดทุน บางปีเสมอตัว มีน้อยปีที่ได้กำไร ปีที่ได้กำไรคือมีคนปลูกน้อย ซึ่งก็หมายความว่า มีคนได้กำไรน้อยคน พอราคาดี เกษตรกรก็พากันปลูกมากมาย ราคาก็กลับตกลงมาก ขาดทุนมาก ก็พากันเลิกไปเลย แต่ต้นทุนไม่เคยราคาตกต่ำ การขาดทุน ๑-๒ปี ทำให้เกษตรกรเป็นหนี้ไปอีกหลายปี กล่าวโดยสรุปคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจนำไปสู่ความอยากจน เกษตรกรจึงเป็นเบี้ยล่างนายทุนตลอดมา”(8)
                                                                                               
      8 สุวิทย์ ธีรศาศวัต ,ชอบ ดีสวนโคก . การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๖ . (๑๓๓)
และส่งผลให้ชาวอีสานหันหน้าที่ทำงานในกรุงเทพฯหรือเมืองอุตสาหกรมเพิ่มมากขึ้น จนถึงสมัยของ พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยแรก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้นำเอานโยบาย หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) มาใช้เป็นแนวคิดที่ต้องการให้แต่ละหมู่บ้านมีผลิตภัณฑ์หลักเป็นของตัวเอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบหรือทรัพยากร และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทำการพัฒนาจนกลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้แก่ ชุมชน  โดย 4 ปีที่รัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ ได้ประกาศนโยบายประเทศไทยจะไม่มีคนจน รัฐบาล ส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้เพิ่ม จากการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยผลักดันโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อให้ชุมชนคิดค้นสินค้าจากท้องถิ่น ที่มีเอกลักษณ์ สามารถ พัฒนาคุณภาพตรงใจตลาดและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าจนสามารถนำส่งออกไปขายยัง ต่างประเทศได้ มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาสนับสนุน ในเรื่องวิชาการ เทคโนโลยี ช่องทางการตลาด และขยายโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเกิดขึ้นจากผลกระทบทางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงวิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ การแข่งขันด้านระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสูง ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และประชาชนทุกระดับประสบปัญหาต่าง ๆ ปัญหาหนึ่งที่ประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศถูกรุมเร้า คือปัญหา ความยากจน รัฐบาล (รัฐบาล พ... ทักษิณ ชนวัตร) จึงได้ประกาศสงครามกับความยากจนโดยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า โดยรัฐพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย และอินเตอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการ ของตลาด ทั้งในและต่างประเทศและได้กำหนดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน 2544
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ แต่ระบบการผลิตยังคงเดิมมีการผลิตทั้งพืชไร่และทำนา แต่หันมาทำเกษตรแบบอินทรีย์มากขึ้น แต่เทคโนโลยีที่ใช้นั้นยังเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่ จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างคือ การผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเติมแทน หรือบางหมู่บ้านก็นำปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันใช้ ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มของคนในหมู่บ้าน โดยใช้เวลาที่ว่างจากภาคการเกษตรหันมาทำอาชีพเสริม ซึ่งเป็นการหารายได้เสริมได้ทางหนึ่ง แต่ผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ควบคู่กันคือ กองทุนหมู่บ้านละ ๑ ล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดการกู้เงินและเพิ่มหนี้สินให้กับเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น เพราะเกษตรกรต้องกู้เงินทุนไปทำกิจกรรมทางครอบครัว และนโยบายOTOP ไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกหมู่บ้านในภาคอีสาน แต่ก็ทำให้วิถีชีวิตของชาวอีสานส่วนหนึ่งอยู่ดีกินดีขึ้นจากเดิม (9)














                                                                                               
9 http://www.warincity.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2227:-otop&catid=122:-otop&Itemid=133 (ค้นวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)

บรรณานุกรม
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา . การคงอยู่ของเศรษฐกิจหมู่บ้านพอยังชีพในภาคเหนือ ใต้และอีสาน 1855-1932 .
       กรุงเทพฯ ; สร้างสรรค์และหมู่บ้าน, ๒๕๓๓ .
ประนุช ทรัพยสาร . ประวัติศาสตร์เกษตรกิจอีสาน . มหาสารคาม ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       สถาบันราชภัฎมหาสารคาม , ๒๕๔๕ .
มณีมัย  ทองอยู่  . การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจอีสาน . กรุงเทพฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ , ๒๕๔๖ .
สุนทร สุรวาทกุล . นายฮ้อย : พ่อค้าท้องถิ่นอีสาน.......กับบทบาทการค้าขายในอดีต พ.ศ. ๒๓๙๘ – ๒๕๐๔ .
       ร้อยเอ็ด ; ศูนย์วัฒนธรรมโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม , ๒๕๓๔ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต ,ชอบ ดีสวนโคก . การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสาน
       เหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ . ขอนแก่น ; คณะ 
       มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๖ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต , ชอบดีสวนโคก , ชลิต ชัยครรชิต . การเปลี่ยนแปลงอาชีพของชาวนาอีสานในชุมชน
       บ้านเมืองหลักตั้งแต่ตั้งชุมชนถึงปัจจุบัน . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๕ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต . ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน . ขอนแก่น ; คลังนานาวิทยา , ๒๕๔๖ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต . เศรษฐกิจอีสานหลังมีทางรถไฟ พ.ศ. ๒๔๔๓ – ๒๔๘๘ . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์
        และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๕๑.
สมคิด พรมจุ้ย . เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสานใต้ . กรุงเทพฯ ; ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
       ๒๕๔๖ .
http://www.warincity.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2227:-otop&catid=122:-otop&Itemid=133 (ค้นวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)