ทรัพยากรเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการดำรงความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์พืชและสัตว์ต่างพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ดิน น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า แร่ธาตุ บรรยากาศและพลังงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งปัจจัยสี่ที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อีกทั้งยังช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศโดยเฉพาะป่าไม้นั้นเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร เป็นแหล่งกำเนิดของความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นตัวสร้างพลังงานจากแหล่งสีเขียว(Chlorophy) และแสงแดด เป็นแหล่งนำตัวเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นออกซิเจนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำ และแมลงต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้และพักผ่อนหย่อนใจ นับได้ว่ามีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมาก หากประเทศใดมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และประชาชนรู้จักใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างชาญฉลาดหรือมีการอนุรักษ์ก็จะส่งผลดีต่อประชากรทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่และฐานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ประเทศนั้นมีความมั่นคงในทางตรงกันข้ามถ้าประเทศใดขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติหรือไม่มีการอนุรักษ์ ก็จะประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนยากจน และทำให้ประเทศนั้นขาดความมั่นคงเรื่อย ๆ1
การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติในอดีตนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากกปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ในปัจจุบันกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ได้เริ่มมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลง การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา สาเหตุใหญ่เกิดจากการพัฒนาและการเพิ่มประชากร ทำให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างรวดเร็ว ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงเสื่อมโทรมหรือสูญสิ้นเร็วขึ้น โดยเฉพาะทรัพยากรป่า พบว่า ในปี พ.ศ. 2544 ป่าไม้ทั่วโลกได้ถูกทำลายลงหรือมีสภาพเสื่อมโทรมประมาณร้อยละ 80 ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่และมีความสมบูรณ์เพียงพอนั้นมีไม่มากนัก กระจัดกระจายอยู่ในบางส่วนของโลก เช่น แถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอนในอเมริกาใต้แคนาดา แอฟริกากลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัสเซีย ซึ่งป่าไม้เหล่านี้กำลังถูกคุกคามจากฝีมือมนุษย์ลงเรื่อย ๆ สาเหตุที่จำนวนพื้นที่ป่าไม้ลดลงนั้นเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าการทำเหมืองแร่ และการสูญเสียพื้นที่ป่าเนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ 2
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตมรสุมแถบร้อน (Tropical Monsoon) มีอากาศแบบร้อนชื้น(Humid Tropics) มีเนื้อที่ป่าประมาณ 320 ล้านไร่ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่มีประสิทธิภาพมากที่สุดประเทศหนึ่ง และมีการใช้ที่ดินไม่ถูกต้องเหมาะสมมาเป็นเวลาช้านาน จนเป็นเหตุให้ที่ดินเสื่อมคุณค่า มีการสูญเสียหน้าดินและการพังทลายของดินเป็นอันมาก อีกทั้งมีการแผ้วถางทำลายป่าในอัตราที่สูง โดยเปลี่ยนที่ดินป่าไม้ไปใช้เป็นที่ทำการเกษตรเพื่อผลิตอ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลังเพื่อการส่งออก ในระยะ 40 ปี ตั้งแต่เริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา ป่าไม้ของชาติได้ถูกทำลายไปแล้วมากกว่า 80 ล้านไร่ ปัจจุบันประเทศไทยมีป่าธรรมชาติ ปกคลุมพื้นที่ของประเทศเพียงประมาณ 80 ล้านไร่ เช่นกัน หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของเนื้อที่ประเทศ3
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งหมด 19 จังหวัด มีเนื้อที่รวมทั้งภาค 105,533,963 ไร่หรือร้อยละ 32.91 ของเนื้อที่ประเทศ แบ่งเป็นที่ที่ถือครองทางการเกษตร 57,429,749 ไร่หรือร้อยละ 54.42 เนื้อที่ป่าไม้ 13,144,948 ไร่ หรือร้อยละ 12.43 และเนื้อที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้จำแนกอีก 34,989,266 ไร่ หรือร้อยละ 33.15 เนื่องจากภาคอีสาน ดินส่วนใหญ่เป็นทราย อุ้มน้ำไว้ไม่อยู่รวมทั้งมีการชะล้างมากขาดความอุดมสมบูรณ์ให้ผลผลิตต่ำ นอกจากดินตะกอนตามริมฝั่งน้ำโดยเฉพาะริมลำน้ำโขงที่ยังอยู่ในเกณฑ์อุดมสมบูรณ์กว่าที่ดินทั่วๆ ไปของภาค ปัญหาการใช้ที่ดินมักเกี่ยวกับการใช้ที่ดินไม่ถูกต้องตามสมรรถนะของดินนั้น ๆ เช่น การทำนาในที่ดินที่ไม่เหมาะกับการทำนาที่ดินควรเก็บรักษาไว้เป็นป่าเพื่อรักษาความชุ่มชื้นร่มเย็นและกักเก็บน้ำ หลังถูกแผ้วถางไปเป็นไร่ปอและไร่มันสำปะหลัง เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องดินเค็มที่ขยายตัวคลุมพื้นที่มากขึ้นทุกปี ที่สำคัญคือภาคอีสานเป็นภาคที่จัดว่าแห้งแล้ง แต่กลับมีเนื้อที่ป่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ คือ มีป่าคลุมพื้นที่ภาคอีสานอยู่เพียงร้อยละ 12 เท่านั้น4
ประวัติเมืองเสลภูมิ
เดิมอำเภอเสลภูมิมีชื่อว่า "บ้านเขาดินบึงโดน" ชื่อนี้เข้าใจว่าจะเรียกชื่อตามบึงใหญ่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าบึงโดน ซึ่งอยู่ติดกับโคกภูดิน โดยมีหลวงจุมพลภักดีบุตรพระประทุม (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี เป็นนายกองปกครองบ้านเขาดินบึงโดน สังกัดอยู่กับ แขวงยโสธรซึ่งมีพระสนุทรวงศา (เหม็น) เจ้าเมือง และแต่งตั้งให้หลวงจุมพลภักดี เป็นกรมการเมืองยโสธร อีกด้วย ต่อมาพระสุนทรราชวงศา เหม็น) ตาย
พระสุนทรราชวงศาสุพรม ได้เป็นเจ้าเมืองยโสธรหลวงจุมพลภักดี กรมการเมืองขออาสานำพลเร็วยกขึ้นกรุงเทพฯ ฝ่ายพระสุนทรราชวงศาสุพรม ไม่ยอม หลวงจุมพลภักดี กรมการเมือง มีความขุ่นเคือง จึงนำบัญชีตัวเลขไปสมัครขึ้นกับพระราษฎรบริหารเจ้าเมืองกมลาสัย พระราษฎรบริหาร จึงได้มีใบบอกกราบบังคมทูลพราะกรุณาขอตั้งบ้านเขาดินบึงโดนเป็นเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งบ้านเขาดินบึงโดนเป็นเมืองเสลภูมินิคม เมื่อจุลศักราช 1240 ปีเถาะ (.ศ. 2422) และได้พระราชทานนามสัญญาบัตรตั้งหลวงจุมพลภักดี เป็นผู้ว่าราชการเมืองเสลภูมินิคม
ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งมณฑลร้อยเอ็ดขึ้น เมืองเสลภูมินิคม จึงรวมกับมณฑลร้อยเอ็ด เรียกว่า "เมืองเสลภูมิ" และในปี พ.ศ.2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าอจ้าอยู่หัว ทรงจัดรูปแบบการปกครองเป็นจังหวัด อำเภอ เมืองเสลภูมิจ จึงเป็นอำเภอเสลภูมิ สังกัดจังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา5
ประวัติชุมชนท่าม่วง
จากการรับรู้ของชาวท่าม่วงและบันทึกในหนังสือ รายงานการวิจัย เชื่อว่า บ้านท่าม่วง หมู่ที่ ๔ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๐โดยการนำ ของพ่อใหญ่สุทธิ์ แม่ใหญ่บัพภา ได้นำลูกหลานมาสร้างบ้านเรือน อยู่ฝั่งขวาแม่น้าชีฝั่งตรงข้ามกับบ้านท่าม่วงในปัจจุบัน แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวพื้นที่มีน้ำท่วมบ่อยครั้ง ในปี พ.ศ. 2230 จึงย้ายหมู่บ้านมาสร้างทางฝั่งซ้าย ของแม่น้ำชี ซึ่งเดิมเรียกว่า โนนหนามแท่ง
สำหรับชื่อบ้านท่าม่วง เรียกตามต้นมะม่วงใหญ่ อยู่ข้างลำาน้ำชี จึงได้เชื่อว่า บ้านท่าม่วง หรือชุมชนบ้านท่าม่วง ถิ่นเดิมอยู่ที่บ้าน นาพัง สวนหม่อน แขวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว เมื่อเกิดศึกสงครามและความวุ่นวายในอาณาจักรล้านช้างทำให้เกิดการอพยพของคนลาวข้ามสู่ผืนแผ่นดินอีสานมากขึ้น และ เมื่อสร้างบ้านเรือนแล้ว จึงสร้างวัดป่าสักดารามในปี ๒๑๑๐ วัด เหนือ ปี ๒๑๑๒ และวัดท่า ปี ๒๑๑๔6
ชุมชนท่าม่วงแบ่งการปกครองออกเป็น 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 2 , บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 3 ,บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 4 และบ้านท่าม่วงหมู่ที่ 9 ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดร้อยเอ็ดประมาณ 26 กิโลเมตร ห่างจากตัวอำเภอเสลภูมิประมาณ 16 กิโลเมตร ห่างจากถนนหมายเลข 2044 ร้อยเอ็ด - โพนทองประมาณ 3 กิโลเมตร
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดกับ บ้านนากะตึบ ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศใต้ ติดกับ แม่น้ำชี
ทิศตะวันออก ติดกับ บ้านหนองแดง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก ติดกับ บ้านดอนกอก ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ลักษณะภูมิประเทศของชุมชนท่าม่วงมีลักษณะเป็นที่ดอน ทางทิศใต้ติดกับแม่น้ำชี น้ำสามารถท่วมถึงในฤดูน้ำหลาก ชุมชนท่าม่วงจึงทำการเกษตรได้ดีในช่วงที่น้ำลด หรือฤดูร้อน โดยอาศัยการทำนาปรัง ส่วนพื้นที่ทางด้านทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก เป้นพื้นที่ที่ใช้ในการทำการเกษตร
นอกจากนี้ชุมชนท่าม่วงยังมีแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ คือแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำชีที่ไหลผ่านทางทิศใต้ของชุมชน ระยะทาง 2.50 กิโลเมตร แก่งขามลา ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ และสระหลวง ที่ชุมชนท่าม่วงมีการเลี้ยงปลาและปลูกผักรอบๆสระเพื่อใช้ในชุมชน ซึ่งแหล่งน้ำธรรมชาตินี้ชุนชนท่าม่วงได้ใช้ในการทำเกษตรกรรม และดำรงชีวิต
ทรัพยากรป่าไม้ สภาพป่าไม้ในชุมชนท่าม่วงเป็นป่าโปร่งแบบป่าเบ็ญจพรรณ มีต้นไมม้ที่สำคัญ คือ ไม้เต้ง ไม้รัง ไม้ยางนา เป็นต้น ปัจจุบันป่าของชุมชนได้ลดน้อยลงเนื่องจากการแผ้วถางป่าเพื่อการทำเกษตรกรรม แต่ก็เหลือป่าที่ชุมชนท่าม่วงรักษาไว้คือ ป่าสงวนดงหัน และเขตอนุรักษ์ป่าวัดป่าสักดาราม โดยใช้เป็นพื้นที่ที่ใช้ในการหาของป่าเพื่อดำรงชีวิต เช่น หาฟืน เก็บเห็ด หน่อไม้และสมุนไพรต่างๆ
ด้านการปกครอง การปกครองของชาวท่าม่วงแต่เดิมนั้นเป็นการปกครองตามรูปแบบของชุมชนอีสานทั่วไป คือ มีผู้ใหญ่บ้านเป้นหัวหน้าและรักษากิจการของชุมชน ต่อมาเมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น และมีการขยายตัวของชุมชน จึงได้มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 4 หมู่บ้าน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานระดับตำบล โดยมีการจัดตั้งสภาตำบลท่าม่วง ขึ้นในปี พ.ศ. 2524 และได้พัฒนาเป็นสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วงในปี พ.ศ. 2540 และเปลี่ยนเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วงในปี พ.ศ. 2547
ด้านสาธารณะสุข ในสมัยที่การสาธารณะสุขแบบปัจจุบันยังไม่เข้ามาถึงชุมชน ชาวชุมชนท่าม่วงในอดีต เป็นระบบสาธารณะสุขโดยอาศัยองค์ความรู้จากหมอยากลางบ้าน โดยมีการถ่ายทอดความรู้ผ่านการจดจำและการจดบันทึกไว้ในใบลาน ที่เรียกว่าลานก้อม มีการักษาแบบพื้นบ้านคือ การรักษาจากเภษัชวัตถุ การใช้เวทมนต์คาถา และใช้พิธีกรรมในการรักษาโรค หมอยาคนที่มีชื่อเสียงในอดีตคือ พ่อใหญ่อ่อนสา ปู่แพทย์ และปู่ขุนพรหม ส่วนหมอตำแยที่มีชื่อเสียงคือ ย่าเคน ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีบทบาทที่สำคัญต่อชุมชนท่าม่วงในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา
ในปัจจุบันชุมชนท่าม่วง อยู่ในความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพท่าม่วง ตั้งอยู่ที่บ้านท่าม่วงหมู่ที่ 4
การศึกษา การศึกษาของชุมชนท่าม่วงในอดีตเห็นได้อย่างชัดเจน และหลงเหลือหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการบันทึกลงในใบลาน ซึ่งเดิมใช้วัดในการศึกษา ในชุมชนท่าม่วงใช้วัดป่าสักดาราม ในการศึกษา ผู้ที่ศึกษาส่วนมากจะเป็นผู้ชาย เข้าศึกษาโดยการบวชเรียน ส่วนผู้หญิงนั้นจะเรียนรู้อยู่ที่บ้าน
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนระบบการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล การศึกษาที่วัดจึงได้หมดความสำคัญลง เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาที่สถานศึกษา คือโรงเรียน ในชุมชนท่าม่วงมีโรงเรียนอยู่ 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านท่าม่วง สอนตั้งแต่ระบบปฐมวัยจนถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และโรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 68
การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรป่าไม้กับวิถีชีวิตชุมชนท่าม่วง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2110 - 2553
ก่อนปี พ.ศ. 2504 ของชาวท่าม่วง ทำนาปี ผลิตแบบด้วยเครื่องมือแบบเก่า เนื่องจากภาครัฐยังไม่ได้เข้ามามีส่วนในการพัฒนามากนัก กาทำนาของชาวท่าม่วงจะใช้เพียง คราด จอบ เสียม ใช้แรงงานคนเป็นหลัก ผลผลิตที่ได้จะใช้บริโภคเพียงอย่างเดียวหรืออาจจะมีการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ขาดเขินกับชุมชนรอบข้างบ้าง วิถีชีวิตของคนท่าม่วงใช้เวลาอยู่กับการทำนาและจับปลาในลำน้ำชีเพื่อใช้ในการบริโภค จากการที่บ้านท่าม่วงตั้งอยู่ไกล้ลำน้ำชี ชาวท่าม่วงจึงมีปลาให้กินตลอดปี และชาวบ้านก็ไม่ไปทำงานในที่อื่น แต่สิ่งที่ชาวท่าม่วงต้องประสบปัญหาเกือบทุกปีคือ น้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร เนื่องจากลักษณทางภูมิศาสตร์ของบ้านท่าม่วงนั้นอยู่ติดกับลำน้ำชี จึงต้องเกิดปัญหานี้เป็นประจำ เมื่อว่างจากการทำเกษตรกรรม ชาวท่าม่วงจะมีการร่วมกันแข่งเรือ ในช่วงออกพรรษา มีการตีคลีไฟ ในชุมชน
การใช้ทรัพยากรป่าไม้ของคนในชุมชนจะใช้ป่าเป็นตลาด ชีวิตของชาวท่าม่วงในยุคก่อนปี พ.ศ. 2504 จะมีความผูกพันกับป่าเป็นอย่างมาก เพราะป่าเป็นที่มาของปัจจัยสี่และความผูกพันในวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เช้าจนค่ำ เริ่มตั้งแต้ติดไฟหุงข้าวก็ต้องอาศัยฟืนจากป่ารอบ ๆ หมู่บ้าน มวยหุงข้าวก็สานมาจากไม้ไผ่เช่นเดียวกัน กระด้งหรือบ่มสำหรับส่ายข้าวที่นึ่งแล้วเพื่อไล่ไอน้ำออกมิให้ข้าวแฉะก็ทำมาจากไม้ แล้วจึงนำมาใส่กระกระติบข้าวซึ่งทำมาจากไม้ไผ่กับข้าวก็เก็บจากป่าใกล้ๆ หมู่บ้าน ตกสายก็นำควายออกไปเลี้ยงในป่าทำเลเลี้ยงสัตว์ ระห่างเลี้ยงควายก็หาผักป่าจับสัตว์เล็กๆ ในป่า หรือไม่ก็จับสัตว์น้ำหรือครึ่งบกครึ่งน้ำเช่น ปู ปลา เต่าเอาไว้เป็นอาหารเย็น ตอนเย็นต้อนควายเข้าคอกก็เก็บฟืนจากป่าเอามานึ่งข้าวและก่อไฟใต้ถุนบ้านเพื่อไล่ยุงมิให้มารบกวนโคกระบือและให้แสงสว่างแก่คนในยามค่ำคืน ป่าของชุมชนท่าม่วงแต่เดิมนั้น มีป่าดอนปู่ตา ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง ป่าในบริเวณโรงเรียนบ้านท่าม่วงและโรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม ป่าสงวนดงหัน เขตอนุรักษ์ป่าวัดสักดาราม
ปี พ.ศ. 2504 – 2524 ชาวท่าม่วงหันมาใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตรมากขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐ คือรัฐบาลได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยในการผ่อนแรง และสามารถผลิตผลผลิตได้ในปริมาณมากขึ้น แต่ก็ยังทำนาปีอยู่ และในช่วงนี้นอกจากการปลูกสำหรับบริโภคในครัวเรือนแล้วยังมีการขายเมื่อเหลือจากการบริโภคหรือเมื่อขาดเขิน ในช่วงนี้ยังมีการนำพืชเศรษฐกิจมาปลูกเพื่อเพิ่มรายได้ คือ ปอ และมันสำปะหลัง แต่การทำการเกษตรขอองชาวท่าม่วงก็ยังประสบปัญหาเดิมคือน้ำท่วม และเรื่องของดินที่เสื่อมคุณภาพด้วย
ในช่วงนี้ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนท่าม่วงได้ลดลงเนื่องจากการนำพื้นที่ป่ามาทำเป็นสถานที่ราชการ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง โรงเรียนบ้านท่าม่วง โรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าการเสียพื้นที่ป่าเพื่อพัฒนาคนในหมู่บ้านจะดีกว่า นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบความเชื่อเรื่องผีปู่ตา จากการที่มีการสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วงซึ่งเดิมเป็นป่าดอนปู่ตา เมื่อมีการสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลศาลปู่ตาได้หายไป แต่ชาวบ้านยังคงมีการประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องอยู่คือ บุญเบิกบ้าน
นอกจากนี้การเปลี่ยนจากการผลิตพืชทางการเกษตร เช่นข้าว ปอและมันสำปะหลัง ได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนโยบายของรัฐที่สนับสนุน ทำให้การบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรได้ง่ายและมีมากขึ้น
ปี พ.ศ. 2524- 2547 ในปี พ.ศ. 2524 สมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 ซึ่งเน้นเสริมสร้างสวัสดิภาพทางสังคมแก่คนในชาติมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เข้ามาพัฒนาและเหลียวแลภาคอีสานมากขึ้น เนื่องจากเกิดปัญหาคอมมิวนิสในภาคอีสาน9 บ้านท่าม่วงเองก็ได้รับการพัฒนาจากโครงการของรัฐ คือ การสร้างชลประทาน ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำชี การทำนาของชาวท่าม่วงได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นการทำนาสองครั้ง หรือการทำนาปรัง เนื่องจากการที่มีชลประทานในการส่งน้ำ ทำให้น้ำสามารถเข้าถึงพื้นที่ทางการเกษตรได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการขยายพื้นที่ทางการเกษตรด้วยเช่นกัน แต่ชาวบ้านได้อนุรักษ์ให้ป่าของชุมชนเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเหลืออยู่ 2 แห่ง คือ ป่าสงวนดงหัน และเขตอนุรักษ์ป่าวัดสักดาราม ที่ชาวบ้านสามารถเก็บผัก หาฟืน และหาของป่าเพื่อการดำรงชีวิตได้
ปี พ.ศ.2547-2553 จากการลงพื้นที่ทำเวทีชาวบ้านพบว่า ป่าสงวนดงหันได้มีบุคคลภายนอกเข้ามาหาผลประโยชน์โดยการลักลอบตัดไม้ และหาของป่าไปขายตลาด เนื่องจากความเจริญเข้ามาใกล้ชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะการมีมหาวิทยาลัราชภัฎร้อยเอ็ดซึ่งห่างจากบ้านท่าม่วงเพียง 3 กิโลเมตร ส่งผลให้ชาวชุมชนท่าม่วงหาของป่าได้น้อยลง ทรัพยากรน้อยลง และการใช้พื้นที่ป่าน้อยลงเนื่องจากหาของป่าได้น้อยลง นอกจากนี้การเกิดไฟไหม้ป่าทุกปี ยังมีผลทีทำให้ป่าลดน้อยลงด้วย
ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนท่าม่วงในอดีตมีมาก มีการใช้ประโยชน์จากป่า เช่นเก็บผัก เก็บเห็ด หาฟืน และยังใช้ในการประกอบพิธีกรรม คือการเลี้ยงผีปู่ตา แต่เนื่องจากการแผ้วถางป่าเพื่อทำองค์การบริหารส่วนตำบลท่ามวง โรงเรียนบ้านท่าม่วง โรงเรียนท่าม่วงวิทยาคม เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ป่าไม้พื้นที่ในการหากินและของชุมชนลดลง นอกจากนี้พิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาก็ได้หายไปเนื่องจากพื้นที่ที่เป็นดอนปู่ตา ได้มีการสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง แต่ชุมชนท่าม่วงก็ได้มีการอนุรักษ์ป่าไว้ปัจจุบันเหลือ 2 แห่ง คือป่าสงวนดงหันและเขตอนุรักษ์ป่าวัดป่าสักดาราม แต่เมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ชาวบ้านได้ประโยชน์จากป่าสงวนดงหันน้อยลงเนื่องจากมีบุคคลภายนอกเข้ามาลักลอบตัดไม้ ทำให้ความสมบูรณ์ของป่าน้อยลงซึ่งมีผลผระทบต่อการหาอาหารในป่าของชาวท่าม่วง
แนวทางแก้ไขปัญหา ข้าพเจ้าคิดว่าคนในชุมชนควรช่วยกันในการสอดส่องดูแลฝืนป่า และมีการจับกุมอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้กลุ่มบุคคลภายนอกกล้าเข้ามาลักลอบตัดไม้ในป่า รวมทั้งคนในชุมชนเองก็ต้องใช้พื้นที่ป่าอย่างรู้ค่า และสร้างสำนึกให้มีความรักและหวงแหนป่า
1เกษม จันทร์แก้ว. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : ภาควิชาอนุรักษ์วิทยาคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2540.
2ชัยวุฒิ หมื่นแก้ว. “สถานการณ์ป่าไม้ของประเทศไทย,” ใน บทความรู้การป่าไม้เผยแพร่ในรายการวิทยุ ปี 2528. หน้า 26–29. กรุงเทพฯ : สำนักงานป่าไม้เขตขอนแก่น กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2538.
3นิวัต เรืองพานิช. ป่าและการป่าไม้ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, 2548.
4บัวเรศ ประไชโย. การจัดการป่าชุมชน วนศาสตร์ชุมชน : ทางเลือกในการพัฒนาป่าไม้ โครงการวิจัยวนศาสตร์ชุมชน. ขอนแก่น : คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2535.
5http://www.amphoe.com/ศูนย์บริการข้อมูลอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
6ธีรพันธ์ รัตนบุศย์ . รายงานการพัฒนาหมู่บ้านท่าม่วง . ร้อยเอ็ด : สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเสลภูมิ , 2554 .
7Google earth/บ้านท่าม่วง เสลภูมิ ร้อยเอ็ด
8สมัย วรรณอุดร , ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ , ทิพย์วารี สงนอก . บทบาทพระสงฆ์กับการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานและวัฒนธรรมท้องถิ่น กรณีศึกษา พระครูสีลสาราภรณ์ วัดป่าสักดาราม บ้านท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด . มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2550. 12-16
9สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ .แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-11 . 2552
บรรณานุกรม
เกษม จันทร์แก้ว. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ :
ภาควิชาอนุรักษ์วิทยาคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2540.
ชัยวุฒิ หมื่นแก้ว. “สถานการณ์ป่าไม้ของประเทศไทย,” ใน บทความรู้การป่าไม้เผยแพร่ในรายการวิทยุ
ปี 2528 : สำนักงานป่าไม้เขตขอนแก่น กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2538.
ธีรพันธ์ รัตนบุศย์ . รายงานการพัฒนาหมู่บ้านท่าม่วง . ร้อยเอ็ด : สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเสลภูมิ ,
2554 .
นิวัต เรืองพานิช. ป่าและการป่าไม้ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, 2548.
บัวเรศ ประไชโย. การจัดการป่าชุมชน วนศาสตร์ชุมชน : ทางเลือกในการพัฒนาป่าไม้ โครงการ
วิจัยวนศาสตร์ชุมชน. ขอนแก่น : คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2535.
สมัย วรรณอุดร , ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ , ทิพย์วารี สงนอก . บทบาทพระสงฆ์กับการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานและ
วัฒนธรรมท้องถิ่น กรณีศึกษา พระครูสีลสาราภรณ์ วัดป่าสักดาราม บ้านท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัด
ร้อยเอ็ด . มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2550.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ .แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 1-11 . 2552
Google earth/บ้านท่าม่วง เสลภูมิ ร้อยเอ็ด
http://www.amphoe.com/ศูนย์บริการข้อมูลอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
โกวิทย์ ขันชาลี ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
คมสัน แก้วสะอาด ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
คมสัน ประทุมอ่อน ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
จิระศักดิ์ อ่วมคำ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ฉลาด ไชยสิงห์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทิ้ง สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ทองสุข สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
บัญชา สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
บุญมา สารพัฒน์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
บัว สุริโย ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประเทือง สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประสบ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประสิทธ์ ลีพิทักษ์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประสิทธิ์ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ประยงค์ กล้าทน ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
พิศมัย สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ไพโรชน์ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ไพศาล สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ยุพารันต์ กุสุมาลย์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
รัศมี ภูมิวรรณ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ศักดิ์ชัย บุตรพรม ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ศิริพงษ์ สุทธิประภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
สง่า อุทุมภา ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
เสน่ห์ สิงห์ท้วม ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
สงค์ ลีพิทักษ์ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ . วัดท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด