ที่ตั้งและอาณาเขต
อำเภอแวงใหญ่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัด
มีพื้นที่ 189.069 ตร.กม. และมีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ
ติดต่อกับอำเภอโคกโพธิ์ไชยและอำเภอชนบท
ทิศตะวันออก
ติดต่อกับอำเภอพล
ทิศใต้
ติดต่อกับอำเภอแวงน้อย
ทิศตะวันตก
ติดต่อกับอำเภอคอนสวรรค์ (จังหวัดชัยภูมิ)
การรับรู้เรื่องราวและความเป็นมาของแวงใหญ่ในมิติของคนท้องถิ่น
คนอีสานในอดีตนิยมตั้งชื่อที่อยู่อาศัยหรือหมู่บ้านตามลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์หรือลักษณะเด่นที่มีอยู่ในหมู่บ้านตน เช่น
มีคำว่าท่า,หนอง,ดอน,โสก,โคก เพราะจะทำให้ง่ายต่อการจดจำ
ในกรณีของแวงใหญ่ก็เช่นเดียวกัน“แวง” เป็นชื่อของพืชตระกูลเดียวกันกับ ต้นกกและธูปฤาษีแต่มีขนาดเล็กกว่า
มีลักษณะเป็นใบเรียวยาว เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ใบเลี้ยงเดี่ยว
เป็นพืชที่เจริญเติบโตอยู่ในน้ำ เกิดอยู่บริเวณหนองน้ำขนาดใหญ่บริเวณทางทิศตะวันตกของถนนชนบท-กุดรูในปัจจุบัน
ชาวบ้านในแถบนั้นจึงเรียกว่า “บ้านแวงใหญ่” ตามลักษณะพื้นที่ที่มีต้นแวงขึ้นชุกชุมนั้นเอง
จากการศึกษาจากเอกสาร
ได้ความว่าจากการพบเห็นวัตถุต่างๆในบริเวณหนองแวง
เป็นหนองที่ลึกมากมีป่าดงทึบมีผู้เล่าว่ามีสัตว์ป่า เช่น เสือ กวาง หมู ช้าง
สัตว์เล็กสัตว์น้อยมีมากมายหลายชนิด มีใบพุทธสีมาอยู่โบสถ์เก่าอยู่หนองแวงโบสถ์
คงเป็นสมัยขอมเพราะมีผู้ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ กระดูกแขนกระดูกขายาวมาก
คงเป็นที่ฝังศพของคนในสมัยโบราณ คุ้มบ้านเหล่าที่พวกเราเรียกกันอยู่ทุกวันนี้
สำหรับบ้านแวงใหญ่นั้นตั้งมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี
ได้สั่งให้พระยาจักรีและเจาพระยาสุรศรียกกองทัพขึ้นไปตีเวียงจันทร์
สมัยนั้นเจ้านายใช้ช้างเป็นพาหนะต้องผ่านหนองแวงหรอพักทัพที่หนองแวงก่อนที่จะยกทัพไป
ตระกูลที่มาจากถิ่นต่างๆ
สำหรับตระกูลที่มาจากเขตเมืองคือ พ่อเล็ก วิเศษ เป็นนายสาระเวทาง พ่อทองอินทร์
ดีหลี มาอยู่แวงใหญ่ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๕๘ มาจากนครนายก คนหนึ่งคือพ่อสิงห์
ปลัดศรีช่วย และพ่อห่มซ้าย หงส์คำดี มาจากนครปฐม ตระกูลโคสาดี
มาจากบ้านเหล่าชัยภูมิ ตระกูลพรมราชมาจากหนองบัวลำภู ตระกูลจงเอื้อง จันทร์แป๊ะ แว่นประชา
มาจากพนัสนิคม หวัดชลบุรี นอกจากนั้นไม่ทราบแหล่งที่มา
วัดบ้านแวงใหญ่คือวัดสระเกษทุกวันนี้ สมภารคนแรกคือ ท้าวกวน ทุมมา
แต่ก่อนไม่มีผู้ใหญ่บ้านกำนัน มีแต่หัวหน้าบ้าน คือนายชานนท์ ไชยมูล นายชาเนตร
กระโจม นายแสน แคว้นคอนฉิม สำหรับหัวหน้าบ้านเป็นคนร่างใหญ่
สักลายเต็มตัวกล้าหาญมาก การปกครองสมัย ตำบลคอนฉิม อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น
สมัยนั้นขอนแก่นมี ๕ อำเภอ คือ อำเภอชนบท อำเภอมัญจาคีรี อำเภอภูเวียง อำเภอน้ำพอง
อำเภอพลับเมือง บ้านแวงใหญ่เมื่อมีประชากรมากขึ้นจึงขยายเป็นหมู่บ้านหนองกระรอก
บ้านบะแค บ้านดอนบาลไทและบ้านหัวหนองแวง ในเวลาต่อมา
รายชื่อผู้ใหญ่บ้าน
๑. ขุนตาตั้ง
สิงศ์ศร พ.ศ. ๒๔๕๑ – ๒๔๖๐
๒. ขุนคอนฉิม
ธุระเฉท พ.ศ. ๒๔๖๑ – ๒๔๖๕
๓. พ่อทองสุข
วิเศษ พ.ศ. ๒๔๖๕ – ๒๔๗๔
๔. นายทวี
แหวนนิน พ.ศ. ๒๔๗๔ – ๒๔๘๘
๕. นายลี
กองกูล พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๒
๖. นายภา
หอมทอง ไม่ปรากฏปีพ.ศ.น่าจะเป็นช่วงเดียวกันกับนายลี กองกูล (ผู้เขียน)
๗. นายสี
กระโจม พ.ศ. ๒๔๙๒ – ๒๔๙๖
๘. นายเย็น
ดงอานนท์ พ.ศ. ๒๔๙๖ – ๒๔๙๙
๙. นายบุญหา
แถวหมอ พ.ศ. ๒๔๙๙ – ๒๕๐๙
๑๐. นายพูล
ปลัดศรีช่วย พ.ศ. ๒๕๐๙ – ๒๕๑๘
๑๑. นายสมหวัง
หอมทอง พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๒๐
๑๒. นายเขียน
คุณภู่ พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๒
๑๓. นายทองสุข
แฝงดาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ – ๒๕๒๔
๑๔. นายบัวผา
จันทร์หนองแวง พ.ศ. ๒๕๒๔ – ๒๕๒๘
๑๕. นายสุลี
งวงช้าง พ.ศ. ๒๕๒๘ – ๒๕๔๒
*ผู้เล่าประวัติคือ
พ่อปั่น ดีหลี ในหนังสือคล้ายวันเกิดพระครูสารธรรมาภรณ์ (หลวงปู่เฉย)
มหาวิทยาลัยปูนาสาขาวัดสระเกษ
อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น .
หนังสืองานวันคล้ายวันเกิดพระครูสารธรรมาภรณ์(หลวงปู่เฉย) . บุรีรัมย์ :
ก๊อปปี้พุทไธสง , ๒๕๔๓
ข้อสันนิษฐานจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏ
หลักฐานที่ปรากฏในยุคก่อนประวัติศาสตร์.......ในเขตบ้านดอนบาลไทหมู่ที่
๒ ในปัจจุบันมีสถานที่ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านแวงใหญ่ บ้านดอนบาลไท
บ้านแวงพัฒนาและบ้านหัวหนองแวงบางส่วน ใช้ในการประกอบพิธีกรรม “บุญเบิกบ้าน”
นั้นคือ “หนองโบสถ์” จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบคือ พบหินขนาด สูงประมาณ ๓ ฟุต
ยาวประมาณ ๑ ฟุตครึ่ง(ปัจจุบันถูกคอนกรีตทับเหลือเฉพาะส่วนยอด) ปักอยู่โดยจับเป็นกลุ่มประมาณ
๕- ๑๐ หลัก
ตามหลักทางพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
การปักเสมาคือการปักเขตการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์
ซึ่งจะใช้พื้นที่ที่เห็นว่าสมควรที่จะใช้ในการทำสังฆกรรม แล้วก่อสร้างสิม
(สีมา,พัทธสีมาหรืออุโบสถ์ แต่คนอีสานเรียกว่าสิม)
จนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็จะมีการประกาศวิสุงคามสีมาและปักใบเสมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเขตวิสุงคามสีมาหรือสถานที่ใช้ในการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์
จากการศึกษาเรื่องใบเสมาในภาคอีสานของอาจารย์ธวัช ปุณโณทกได้เสนอว่าเสมาที่ใช้ปักรอบพระอุโบสถ์ในปัจจุบันมีการพัฒนาการมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์
กล่าวคือ ได้พัฒนาการมาจากลัทธิหินตั้งของคนในเขตอุศาคเนย์อีสาน ลาว
เวียดนามบางส่วน การปักหินตั้งของคนสมัยนี้จะนิยามปักเพื่อบอกว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือการประกอบพิธีกรรม
หินตั้งยังสามารถใช้ในพิธีการฝังศพได้อีกด้วย (ช่วงนี้ยังนับถือผีอยู่)
เมื่อประมาณพุทธศตวรรศที่ ๑๒ – ๑๗
อารยะธรรมทวารวดีได้แพร่เข้ามายังอุศาคเนย์รวมทั้งภาคอีสาน คนกลุ่มนี้ได้รับเอาอารยธรรมของทวารวดีและพระพุทธศาสนาเข้ามาปฎิบัติจนเริ่มเกิดสังคมที่มีการนับถือพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
หินตั้งในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้ถูกนำมาใช้สังคมแบบทวารวดีจนกลายเป็นเสมาหินในพระพุทธศาสนา
เมื่อนำข้อมูลทางวิชาการที่นักวิชาการได้อธิบายไว้มาพิจารณากับลักษณะพื้นที่และกลุ่มหินที่พบในบริเวณหนองโบสถ์
อาจกล่าวได้ว่าหนองโบสถ์เป็นพื้นที่ที่คนในเขตบ้านแวงใหญ่ได้ให้ความสำคัญมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
กลุ่มหินที่พบในหนองโบสถ์คือหินตั้ง มีมาก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาถึง
เพราะถ้ามองว่าเป็นเขตการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์นั้นมีความเป็นไปได้น้อยเนื่องจากระยะห่างของหินนั้นแคบมากไม่เหมาะที่จะเป็นที่ทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ได้
นอกจากนี้ยังมีการขุดพบการฝังศพแบบโบราณ(ผู้เขียนลงพื้นที่สำรวจและขุดตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน)คือการฝังศพที่ใส่ข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายลงไปในหลุมศพเป็นจำนวนมาก
ที่ริมถนนชนบท – กุดรู
ระหว่างทางบ้านหนองแสบงและหนองโนด้วย
สมัยขอมลพบุรี......หลักฐานที่พบในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง
คือ บริเวณศาลปู่ตาบ้านหนองโน ตำบลห้วยแก อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าบ้านทุ่มห้วย ได้มีการขุดพบฐานโยนีในสมัยขอมเรื่องอำนาจได้โดยบังเอิญ
จากการขุดสระน้ำในบริเวณศาลปู่ตาดังกล่าว ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา
ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งคือความต่อเนื่องของการอยู่อาศัยของผู้คนในแถบนี้
ซึ่งมีการรับวัฒนธรรมที่ต่อเนื่องมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีการพบแหล่งตัดหินเพื่อนำไปสร้างปราสาทในเขตอำเภอแวงใหญ่ในปัจจุบันยังสามารถอธิบายถึงการเข้ามาอยู่ของผู้คนกับความสัมพันธ์ของพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
จากหลักฐานทั้งหมดที่มีการพบและขุดพบทำให้ทราบได้ว่าบริเวณแถบบ้านแวงใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียงมีการอยู่อาศัยของผู้คนมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์และมีการต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในยุคสมัยต่างๆมาจนถึงปัจจุบัน
ประเด็นการอพยพของคนแวงใหญ่
ในเขตพื้นที่แวงใหญ่ยอมคนหลายกลุ่มที่ปะปนกันอยู่อย่างแยกไม่ได้ว่าใครเป็นชาติพันธุ์อะไร
เพราะต่างกลุ่มก็ต่างพบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน จากการหนีภัยการเมือง (สงครามในลาว) การหาแหล่งที่ทำกินใหม่เพื่อหนีปัญหาความแห้งแล้ง และการแต่งงานก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการทำให้คนมีการผสมผสานกันระหว่างชาติพันธุ์มากขึ้น
เมื่อมองภาพในฐานะผู้เขียนเป็นคนใน
อาจสันนิษฐานว่าคนส่วนใหญ่ที่นอกจากจะอาศัยอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว
ยังอาจมีกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากในช่วงหนึ่ง
นั้นคือกลุ่มลาวเวียงจันทร์ที่อพยพเข้ามาอยู่กับพระยาไกรภักดีและพระยาแล
โยสังเกตจากการพูดจาในสำเนียงที่เหมือนทางชาวชัยภูมิ
จึงสันนิษฐานว่าคนในแวงใหญ่อาจได้รับวัฒนธรรมมาจากกลุ่มลาวเวียงจันทร์หรือไม่ก็อพยพมาพร้อมกับคนกลุ่มลาวเวียงจันทร์ด้วยส่วนหนึ่ง
(การมองภาพอดีตให้ลบเส้นแดนจังหวัดที่ขีดขึ้นในปัจจุบันออก) ส่วนในระยะหลังๆย่อมมีหลายกลุ่มที่เข้ามาอยู่จากการแต่งงาน
โดยมีปัจจัยที่สำคัญคือการคมนาคมที่สะดวกขึ้นนั่นเอง