ขอมกับทวาฯใครมาก่อนกัน
ยุคประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุดในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่ามาพร้อมๆ
กับพระพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ กล่าวคือ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๕๐๐ เป็นต้นมา
การติดต่อระหว่างบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทยกับดินแดนอินเดียเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น
การติดต่อนี้อาจเป็นการติดต่อค้าขายเพียงอย่างเดียวในช่วงแรก
เมื่อพ่อค้าชำนาญการเดินเรือแล้วจึงค่อยนำศิลปะและวัฒนธรรมเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนประเทศไทยด้วย
ศิลปะในพระพุทธศาสนาหรือที่เราเรียกกันว่าพระพุทธรูปในยุคแรกเป็นการนำเข้ามาโดยพวกพ่อค้าเดินเรือ
มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปสามารถพกติดตัวได้
ศิลปะของพระพุทธรูปในยุคนี้เป็นศิลปะแบบคุปตะ และต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖
ศิลปะแบบอมราวดี พระพุทธรูปในยุคแรกนี้ส่วนมากแล้วจะเป็นปางแสดงธรรมหรือไม่ก็เป็นปางประทานพร
พระพุทธรูปศิลปะคุปตะที่นำเข้ามาในยุคแรก
ศิลปะแบบอมราวดีที่นำเข้ามาหลังแบบคุปตะ
ซึ่งนอกจากพระพุทธรูปแล้วตัวอักษรก็เป็นหลักฐานที่สำคัญที่ทำให้เราทราบถึงการรับอิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากอินเดีย
(รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง : ๒๕๕๖ , ๖-๑๖)อักษรที่ดินแดนประเทศไทยรับจากอินเดียคืออักษรปัลลวะ
หลักจากนั้นดินแดนในประเทศไทยจึงเริ่มรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาผสานกับความเชื่อเดิมคือบูชาผี
จนสามารถพัฒนาเป็นรูปแบบของเมืองได้อย่างเต็มรูปแบบในรัฐที่ชื่อว่าทวารวดี
ทวารวดีอาจเกิดขึ้นในชวงพุทธศตวรรษที่
9- 10 หลักฐานที่สามารถยืนยันไดนั้นพบในชวงพุทธศตวรรษที่ 12
เปนหลักฐานทางศิลปกรรมและจารึก
ซึ่งชวงนี้ศิลปกรรมสวนใหญเปนของที่นําเขามาจากผูเผยแพรศาสนาหรือการคา
โดยพบพระพุทธรูปกลุมหนึ่งเปนพระพุทธรูปองคเล็กๆ เราเรียกวา“พระพุทธรูปรุนเกา”ตอมามีการเผยแพรพุทธศาสนาเราจึงเริ่มมีรูปแบบงานศิลปกรรมของเราเองคือ
ทวารวดี ซึ่งตรงกับราชวงศคุปตะของอินเดียและตะวันออกของอินเดียทางอมราวดี
ทางตอนใตของอินเดียสูลังกา บางทีผานกวางตุงเป็นเอกสารที่กลาวในเอกสารของพระภิกษุอี้จิง
หรืออี้ชิง ที่เดินทางไปจาริกศาสนาในอินเดียและเดินทางกลับทางสุมาตรา กลาววาศาสนาพุทธมหายานในสุมาตรารุงเรืองมากและมีการติดตอ
คาขายและรับอิทธิพลอินเดียเปนระยะๆ
กอนพุทธศาสนาเขามาสังคมของไทยเปนชวงกอนประวัติศาสตรอยูแบบดั่งเดิมหาของปา ตัวที่กําหนดการรับอิทธิพลภายนอกสิ่งหนึ่ง
คือ วัฒนธรรมการฝงศพ แตพอรับอิทธิพลจากอินเดียจึงเริ่มมีการเผาศพ
ตัวอยางชิ้นแรกภาพเขียนสีที่ผาแตมเปนศิลปกรรมในชวงกอนประวัติศาสตร
ในการศึกษาทางดานประวัติศาสตรเดิมจะเริ่มเมื่อมีการจารึก
แลวอานออกเราถือเปนชวงประวัติศาสตร อักษรที่เกาแก่ที่สุดพบทางภาค ใตคือ “อักษรปาลวะ” ภายหลังชาวพื้นเมืองรูจักเขียนตัวอักษรใชเองแตไม่ใชอักษรปาลาวะ
เราจึงเรียก “อักษรหลังปาลาวะ” พบในชวงพุทธศตวรรษที่
12 –14 และเปลี่ยนไปเปนอักษรมอญ
เปนอักษรขอมและในสมัยพอขุนรามคําแหงก็นําอักษรมอญและขอมมาผสมกันเปนอักษรไทย ชื่อทวารวดีมาจากคําวา
“ทวารวติ” ในเอกสารจีนเรียก “โถโลโปตี” บันทึกไวตั้งแตรุนพระถังซําจั๋ง
อาณาจักรโถโลโปตี อยูระหวาอาณาจักรศรีเกษตร (พมา) และอิสานปุระ (เขมร)
ศาสตราจารยยอรช เซเดย พบเหรียญเงินที่มีจารึก วา “ศรีทวารวติ
ศวรปุณยะ” แปลวาบุญกุศลของพระราชาแหงทวารวดี นาจะมีอาณาจักรและมีกษัตริยปกครอง
ศูนยกลางอยูทางภาคกลางของประเทศไทย นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เลื่อยไปจนถึงลําพูน
สวนสายตะวันออกชลบุรี บุรีรัมยจนถึงอีสานเหนือเปนดินแดนที่แพรหลายใหญที่สุด (ศักดิ์ชัย
สายสิงห : เอกสาร
PDF)
ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 16 อำนาจของขอม
ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพระนคร (อยู่ในประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) ได้ขยายอำนาจมายังบริเวณปากแม่น้ำโขง กัมพูชา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของไทยประกอบกับการเสื่อมของการปกครองแบบทวารวดี และสืบอำนาจต่อจากอาณาจักรเจนละอาณาจักรขอมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
โดยเฉพาะในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระองค์โปรดให้สร้าง “บ้านมีไฟ” หรือที่พักคนเดินทาง ซึ่งก่อด้วยศิลา
และจุดไฟไว้ตลอด
ศาสตราจารย์ หลุยส์ ฟิโนต์ ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เรียกอาคารแบบนี้ว่า “ธรรมศาลา”จารึกที่ปราสาทพระขรรค์ กล่าวถึงที่พักคนเดินทางว่ามีจำนวน 121 แห่ง อยู่ตามทางเดินทั่วราชอาณาจักร และตามทางเดินไปเมืองต่างๆ ในจำนวนนั้น มี 17 แห่งอยู่ระหว่างการเดินจากเมืองพระนครไปยังเมืองพิมาย ซึ่งศาสตรจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล พบว่าที่พักคนเดินทางเท่าที่ค้นพบแล้วมี 7 แห่ง แต่ละแห่งห่างกันประมาณ 12 – 15 กิโลเมตร อีกหลายแห่งจารึกปราสาทพระขรรค์ระบุอีกว่า มีการสร้างโรงพยาบาล หรือที่จารึกเรียกว่า “อโรคยาศาลา” จำนวน 102 แห่ง กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย (วิกิพีเดีย) อาณาจักรขอมรับวัฒนธรรมจากอินเดีย มีการปกครองแบบเทวราช(ปกครองแบบรวมศูนย์แตกต่างกับทวารวดี เนื่องจากทวารวดีปกครองแบบกระจายอำนาจ) และใช้ระบบจตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีการสร้างเทวรูปและปราสาทหิน ที่สำคัญคือนครวัด นครธม ส่วนในดินแดนไทยมีศาสนสถานที่ได้รับอิทธิพลเขมรอยู่ทั่วไป เช่น ปราสาทหิน พิมายที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์และพระปรางค์สามยอดที่จังหวัดลพบุรี เป็นต้น (เว็ปไซด์ทรูปลูกปัญญา)
จากข้อมูลข้างต้นทำให้เราทราบว่าแน่นอนคืออาณาจักรทวารวดีย่อมเกิดก่อนอาณาจักรขอมแน่นอน
ดังนั้นศิลปะของทั้งสองอาณาจักรย่อมมีความแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งจะได้กล่าวในตอนต่อไป
กู่สั้นตรัตน์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม อโรคยาศาลาอีกแห่งหนึ่งที่มีการค้นพบ
ศาสตราจารย์ หลุยส์ ฟิโนต์ ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เรียกอาคารแบบนี้ว่า “ธรรมศาลา”จารึกที่ปราสาทพระขรรค์ กล่าวถึงที่พักคนเดินทางว่ามีจำนวน 121 แห่ง อยู่ตามทางเดินทั่วราชอาณาจักร และตามทางเดินไปเมืองต่างๆ ในจำนวนนั้น มี 17 แห่งอยู่ระหว่างการเดินจากเมืองพระนครไปยังเมืองพิมาย ซึ่งศาสตรจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล พบว่าที่พักคนเดินทางเท่าที่ค้นพบแล้วมี 7 แห่ง แต่ละแห่งห่างกันประมาณ 12 – 15 กิโลเมตร อีกหลายแห่งจารึกปราสาทพระขรรค์ระบุอีกว่า มีการสร้างโรงพยาบาล หรือที่จารึกเรียกว่า “อโรคยาศาลา” จำนวน 102 แห่ง กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย (วิกิพีเดีย) อาณาจักรขอมรับวัฒนธรรมจากอินเดีย มีการปกครองแบบเทวราช(ปกครองแบบรวมศูนย์แตกต่างกับทวารวดี เนื่องจากทวารวดีปกครองแบบกระจายอำนาจ) และใช้ระบบจตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีการสร้างเทวรูปและปราสาทหิน ที่สำคัญคือนครวัด นครธม ส่วนในดินแดนไทยมีศาสนสถานที่ได้รับอิทธิพลเขมรอยู่ทั่วไป เช่น ปราสาทหิน พิมายที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์และพระปรางค์สามยอดที่จังหวัดลพบุรี เป็นต้น (เว็ปไซด์ทรูปลูกปัญญา)
โดย อธิคม วงษ์นาง นิสิตระดับปริญญาโทสาขาวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม