หลังจากกบฏเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่
๓ รัฐไทยได้เข้ามามีส่วนในการปกครองแผ่นดินในแถบภาคอีสานมากขึ้น โดยอาศัยกลุ่มเจ้าเมืองในเขตพื้นเมืองอีสานเป็นผู้เข้าดำเนินการจัดการปกครองดูแล
ภายใต้การควบคุมดูแลของเมืองนครราชสีมาอีกครั้งหนึ่ง
แต่รัฐไทยไม่มีนโยบายในการเข้าปกครองหัวเมืองเหล่านี้ด้วยตนเอง ยังคงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆในภาคอีสานมีอิสระในการปกครองตามแบบธรรมเนียมลาว
ที่เรียกว่า “อาญาสี่”
ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองต่างๆในภาคอีสานกับรัฐไทยหรือกรุงเทพฯ จึงเป็นการส่งส่วย
เกณฑ์แรงงาน แลละรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเจ้าเมือง กรมการเมือง
ตามที่เห็นสมควรเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามที่เผชิญหน้ากับฝรั่งเศสในภาคอีสานทำให้รัฐไทยตื่นตัวในการปรับปรุงการปกครองหัวเมืองอีสานให้เป็นระเบียบและรัดกุมมากขึ้น
ด้วยเหตุผลนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเร่งรัดจัดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบราชการหลายอย่างในหัวเมืองอีสาน
เพื่อในการปกครองรัดกุมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐไทยมากยิ่งขึ้น
โดยการใช้วิธีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง (Centralization)นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ เป็นต้นมา โดยมีการส่งเข้าหลวงเข้าจากส่วนกลางเข้าไปปกครองและอำนาจส่วนกลางเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคในปี
พ.ศ. ๒๔๓๕ จึงส่งผลให้ “ระบบกินเมือง”๑ ในภาคอีสานถูกลดบดบาดลงและเพื่อให้นโยบายความเป็นอันหนึ่งอันเดียวมีผลสัมฤทธิ์มากขึ้น
จึงมีการสร้างทางรถไฟเข้ามาในภาคอีสาน ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๓
อาจกล่าวได้ว่านโยบายของรัฐไทยในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้นรัฐมุ่งเน้นการควบคุม ( Control )ส่วนภูมิภาคมากกว่าการให้บริการ
(Service)และยังดูดเอาทรัพยากรจากภูมิภาคไป เช่น ปี พ.ศ.
๒๔๔๘ รัฐได้ออก พรบ. เก็บเงินค่าราชการใหม่ โดยเพิ่มเงินข้าราชการขึ้นเป็น ๔ บาท
มีผลให้ราษฎรได้รับความเดืดดร้อน
จนแสดงออกมาในขบววนการที่เรียกว่าผู้มีบุญตั้งแต่นั้นเรื่อยๆมา
๑ระบบกินเมือง เกิดจากการที่เจ้าเมืองในหัวเมืองอีสานเรียกเก็บส่วยจากประชากรในเมืองมากเกินกว่าที่รัฐส่วนกลางกำหนด
โดยส่วนที่เกินมานั้นเจ้าเมืองจะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
การกบฏเหล่านี้เกิดขึ้นสืบเนื่องกันเป็นเวลายาวนาน
มีสาเหตุสำคัญคล้ายกัน คือ ต่อต้านอำนาจรัฐที่พยายามเข้าไปควบคุมเก็บภาษีจากหมู่บ้านและพยายามคิดฟื้นฟูนครเวียงจันทร์รวมทั้งนำคนอีสานไปขึ้นกับเวียงจันทร์
อุดมการณ์ของขบถผีบุญภาคอีสานมีลัษณะร่วม ๓ ประการ คือ ๑)ปฏิเสธรัฐ
มีเป้าหมายก่อตั้งระบบใหม่เป็นระบบสังคมนิยมหมู่บ้านอิสระจากอำนาจรัฐ
๒)เชื่อว่ามีมิคสัญญีจะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้ และหลังจากนั้นจะมีระบบใหม่ที่มีแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทางวัตถุจะตามมา
๓)วิธีการที่จะได้มาซึ่งระบบใหม่คือการรวมใจของชาวบ้านก่อการแข็งข้อโดยอาศัยจิตสำนึกประวัติศาสตร์ศาสนา
และประวัติศาสตร์ชนชาติ
และให้สังคมชาวบ้านนั้นประพฤติธรรมรักษาศีลภาวนาสมาธิโดยเคร่งครัด ทำให้พระศรีอริยเมตไตร
หรือผีมีบุญจุติลงมาช่วย
หลักฐานและข้อมูลเบื้องต้นที่ทางราชการเชื่อว่าอาจก่อให้เกิดกบฏผีบุญแรกเริ่มมีการสะสมกำลังเป็นจำนวนมาก
ชาวบ้านปฏิบัติตามจารีตอย่างเคร่งครัดมากกว่ากฏหมายทางราชการ
การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆ และพัฒนาการไปจนถึงการต่อต้านอำนาจรัฐ ในขณะที่ชุมชนอีสานบางกลุ่มในเวลานั้นมีการรวมกลุ่มกันเป็นสังคมเพื่อความอยู่รอดจากความแห้งแล้ง
ความเจ็บป่วย การเข้าไปพึ่งบารมีของเกจิอาจารย์ หรือผู้ที่มีอิทธฤทธิ์ต่างๆ ๒
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้เองก่อให้เกิดปัญหา
เริ่มต้นจากจุดเล็กๆคือความไม่เข้าใจในเรื่องระบอบการเสียภาษีและรูปแบบการปกครอง
ซึ่งชาวอีสานแต่เดิมชินกับการปกครองระบบอัญญาสี่มีการเสียภาษีในรูปผ้าขาว ขี้ผึ้ง
ฯลฯ ประกอบกับมีเจ้าเมือง มีกฏหมายค่อนข้างเป็นแบบใช้ศีลธรรมในการปกครอง พระสงฆ์
หมอธรรม(ผู้ประกอบพิธีกรรมความเชื่อฝ่ายจิตวิญญาณของอานที่ตอบสนองความต้องการในรูปแบบบำบัดในสังคม)
อีกทั้งมีความเชื่อในเรื่องของพระศรีอริยเมตไตรที่กล่าวถึงโลกในความฝันมีแต่ความสุข
ความอุดมสมบูรณ์
๒ดารารัตน์
เมตตาริกานนท์ , สุวิทย์ ธีรศาศวัต.
ประวัติศาสตรือีสานหลังสงครามโลกครั้งที่สองถึงปัจจุบัน . ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา , ๒๕๓๘ .
และความเท่าเทียมในสังคม
ความเชื่อดังกล่าวนี้เองมีการผนวกเข้าเป็นประเพณีสำคัญที่สุดของชาวอีสาน
คือบุญเดือนสี่(บุญผะเหวด) ที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยตลอดมายาวนาน
เนื้อเรื่องในการเทศในประเพณีจะกล่าวถึงความเชื่อและให้ความหวังแก่ผู้ประกอบกิจกุศลว่าหากทำตามเนื้อเรื่องบอกกล่าวจะก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และจะได้ไปเกิดในชาติพระศรีอริยเมตไตรอย่างแน่นอน
ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อหลักของชนชาวอีสานเมื่อถึงวันเดือนปีหนึ่ง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชการที่ ๕)
ความหวังเหล่านั้นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง จึงเกิดระบบหนึ่งของผู้นำเดิม คือ
พระสงฆ์และหมอธรรมกลุ่มปกครองเดิมได้ทำการสร้างความเชื่อใหม่เพื่อเร่งรัดให้เกิดยุคพระศรีอริยเมตไตรให้เร็วขึ้น
โดยใช้หลักฐานความเชื่อร่วมกันในเรื่องศาสนา ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์
ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเครื่องรองรับ มีการยกตำราหนังสือเทศน์ ชื่อว่า
“จุ้มพระอินทร์” “หนังสือพงศาวดาร” เป็นต้น ที่มีเนื้อความกล่าวถึง
การเกิดและมาโปรดของผู้มีบุญ(ธรรมิกราช)
และการกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งของอาณาจักรล้านช้าง
เมื่อขบวนการดังกล่าวที่เรียกร้องหาความเป็นธรรมในสิ่งที่มีจุดสงวนร่วมกันเกิดขึ้น
คือความไม่ต้องการการปกครองแบบใหม่อันมีความเชื่อว่าเป็น “กลียุค”
เริ่มเข้มแข็งในจุดต่างของพื้นที่ทั่วภาคอีสานจึงก่อให้เกิดผู้ร่วมอุดมการณ์มากขึ้น
ก่อให้เกิดปัญหาในการปกครองระบบใหม่ของสยามจนเห็นได้ชัด
ปัญหาเหล่านี้ได้พัฒนารูปแบบรุนแรงขึ้นในกลุ่มพื้นที่อุบลราชธานี
มีการฆ่าฟันผู้ปกครองของสยามจนถึงแก่ชีวิต ปัญหานี้ได้ขยายไปเรื่อยๆ
จึงมีการรายงานจากหัวเมืองสู่ส่วนกลาง
และขยายผลคือปราบปรามอย่างเด็ดขาดแก่ผู้ก่อความไม่สงบคือการประหารชีวิต
ในที่สุดกลุ่มชนอีสานจึงถูกยัดเยียดข้อหากบฏตั้งแต่นั้นมา๓
๓ปฐมพงศ์ ลิ้มเจริญ . รายงานการสังเคราะห์งานวิจัย กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน
. ๒๕๕๓ .
ในกรณีของกบฏหมอลำน้อยชาดา
หรือนายคำสา สุมังกะเศษ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๗๖ โดยได้อ้างตนเป็นผู้วิเศษ
เที่ยวลำและสั่งสอนคำทำนายไปตามตำบลต่างๆ ด้วยความที่หมอลำชาดามีรูปร่างเล็ก
คนทั่วไปจึงเรียกเขาว่า “หมอลำน้อย” นายคำสาอ้างตัวว่าเป็นพระชาดาผู้มีบุญในปี
พ.ศ. ๒๔๔๔ – ๒๔๔๕ กลับชาติมาเกิด เขาสั่งสอนให้คนถือศีล
ไม่เบียดเบียน มีการทำพิธีสู่ขวัญ รักษาโรคโดยการใช้คาถาอาคมต่างๆ
จนชาวบ้านให้การยอมรับว่าเป็นผู้วิเศษ สอบถามพ่อใหญ่บุตรดี โครตมุงคุณ๔ชาวบ้านเชียงเหียน
ทราบว่า หมอลำชาดามีภูมิลำเนาเดิมอยู่ทาง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
โดยทางกลุ่มอำเภอกุมภวาปีก็มีกลุ่มที่ถูกเรียกว่าผู้มีบุญด้วย
คือ กลุ่มของหลวงพ่อพิบูลย์
ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้มีบุญในเขตนั้นด้วยเช่นกัน
เพราะฉนั้นอาจเป็นไปได้ว่าหมอลำชาดาหรือนายคำสา อาจได้รับแนวความคิดเรื่องผู้มีบุญ
และหมอธรรม มาจากหลวงปู่พิบูลย์
แนวความคิดของหมอลำน้อยชาดา
เชื่อว่าเมืองเวียงจันทร์จะกลับมารุ่งเรื่องอีกครั้ง เช่นคำที่ว่า “
ไผว่าเวียงจันทร์เศร้า สาวเอยอย่าฟ้าวว่า มันสิโก้บาดหล่าบักแตงซ้างหน่วยปลาย”
หมายถึง เมืองเวียงจันทร์ถึงแม้จะยังไม่เจริญก็อย่าพึ่งไปติเตียน
เพราะเมืองเวียงจันทร์จะเจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
และในบางตอนของกลอนลำยังกล่าวถึงการไม่เหลียวแลของรัฐบาล เช่นคำที่ว่า “
คันฝั่งไทยบ่ตุ้ม สิกลับเข้าสู่เวียง” หมายถึง
ถ้ารัฐไทยไม่ยอมรับและดูแลเขาก็จะกลับไปบ้านเมืองเดิมของเขาคือเมืองเวียงจันทร์
หมอลำน้อยชาดายังได้ทำนายเรื่องต่างๆเกี่ยวกับบ้านเมืองไว้ เช่น
“ดวงตะเว็นสิมีหลายหน่วย” หมายถึงพระอาทิตย์จะมีหลายดวง๕ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการผูกตำนานเรื่องท้าวฝ่าตีนแดง
ซึ่งกล่าวถึงผู้ที่จะกอบกู้บ้านเมืองเดิมคืน โดยจะมีผู้มีบุญมาเกิดสามคน คือ
ท้าวลิ้นก่าน ท้าวฝ่าตีนแดง และท้าวแขนซ้ายสั้น นายคำสาเป็นหนึ่งในนั้น
เพราะนายคำสามันจะพูดว่า “ฟังเด้อหล่า บักชาดา ลิ้นก่าน”ว่าแล้วก็แลบลิ้นให้คนดู
๔ บุตรดี
โครตมุงคุณ ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม
วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ , บ้านเชียงเหียน หมู่ที่ ๓ ตำบลเขวา อำเภอเมือง
จังหวัดมหาสารคาม วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ .
๕บุรี ขัตติยวงศ์
ผู้ให้สัมภาษณ์ . อธิคม วงษ์นาง ผู้สัมภาษณ์ , บ้านเชียงเหียน หมู่ที่ ๑๗ ตำบลเขวา
อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ .
วิธีการที่หมอลำชาดาใช้ในการปลุกระดมคน
คือ การรักษาโรคด้วยคาถาอาคมและการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ต่างๆ
การอ้างตนว่าเป็นพระชาดากลับชาติมาเกิด การปลุกระดมด้วยกลอนลำ แต่สิ่งที่ชาวบ้านเชื่อถือหมอลำคำสามากที่สุดคือการรักษาโรคด้วยธรรมหรือคาถาอาคม
ตัวอย่างกลอนลำของหมอลำคำสา สุมังกะเศษ
“โอมพุทโธ นโมเป็นเค้า ฟังเด้อเจ้านักปราชญ์บัณฑิต
ทิดและจารกุมารใหญ่น้อย หน้าซื่อซ้อยจงค่อยฟังเอา
เห็นว่าเวียงจันทร์เศร้าสาวเอยอย่าฟ้าวว่า มันสิโก้ปาดหล้าบักแตงช้างหน่วยปลาย
อันว่าไทยอยู่ไกลลาวสิได้อยู่ใกล้ เฮาสิได้สักสุ่มหนองหาร
ทิดและจารย์ฟังเอาให้คัก ต้องได้ยักกว้างบาดยายนีไทยเขามีอำเภอญายไว้ทุกบ่อน
ตั้งแต่เมืองไซงอนขึ้นส่วยเชียงขวาง ลาวทั้งปวงเจ้ากะอย่าได้ฮ้อน
เห็นว่าดอนจันทร์ฮ้างกลางทางเป็นป่า ท่ายังบ่อึ้งตึ้งซึงสิฮ้างหน่างกวาง
ความประสงค์แล้วเอาแกวมาสร้างก่อน ในผักกาดบงไว้แล้วยังสิได้จุ่มแนว
ซาดที่แฮ้งหลบใต้หลังคา ปลาบึกขึ้นเทิงปลายยางเปิดอ่าง
ลิงกะเบิดง่าไม้ลงลี้อยู่หนอง ทางของมันหากเป็นทางค้า
กรุงศรีอยุธยามันสิได้เป็นป่า ยายย่าเฒ่าเกิดเป็นเด็กน้อยหลานหล่าแก่แทน
แจนแว่นเอยเห็นควายตูบ่ เห็นบ่แพ้จักสิแม่นโตได๋
เหลียวอยู่ไกลคือสิแม่นตมแปด หนามขี้แดล้มดูกเป็นเขา
ฝูงหมู่แซงกะเบาหนามยาวเป็นศอก ฝูงกะฮอกดำปี้จั่งกา
ฝูงกาดำขาวปานนกเจ่า แนวเป็นเหล่าแก้หญ้าบ่ไหว
ไทยเป็นไหวลาวสิเป็นคนแก้ จักหน่อยนี้แหน่สิขึ้นเกี่ยวค้าง
ปลายยางบอกว่าต่ำ คักแล้ว เหลืองกะเหลืองแต่นอกในหั่นกะพากขาว
หาวกะหาวแต่ปากทางตากะหลับอยู่ เพิ่นกะคึดฮอดซู้
ผู้บ่ทันได้เว้าเหลือสิฮ้างห่างสอง
จักหน่อยนี้องค์สิฝากเขาไว้นำกัน ค้ายค่ำแล้วคอยข่อยค่อยอยู่ดี
เจ้าผู้จำปีต้นสักซุมให้ค่อยอยู่ดีเด้อ หลอนว่าได้หลายปีมันสิป่ง
ปลงใส่หัวพอแล้วจั่งสิคืน มืนตาขึ้นเห็นแต่แกวกับฝรั่ง
เห็นแต่ข่าทั้งบั้งไหลหลั่งตามหลัง ผู้มาสังเกตพอให้รู้เหตุคอง
กูมาเสียดายเด้
องค์พระแก้งองค์ประเสริฐใสๆ กูเด้ กับทั้งองค์พระบาง
หน่อพุทโธคูณค้ำ
ไทยหากจำเอาจำไว้โซ่ใส่คาติด ปิดตาไท้องค์พุทโธพระพ่อกูนอ
เขากะฆ่ามอดเมี้ยนเสียเสี้ยงหน่อพุทโธ บัดนี้ กูจักหนีไปหน้าหาดีมาตื่ม
พ่อลงถึกล้อปานนั้นจั่งเคราะห์เมือง เหรียญแปดลี้ สีแปดทองศูนย์
นามสกุลยังมีแห่งองค์พุทโธเจ้า บัดนี้กูจักเอาตนเข้าภูซุนไปเพิ่งแกวแล้ว
หาที่ยัง เฮียนฮู้ศาสตร์ศิลป์ เอาท่ออินทร์โทเอี้ยนคือบาเมาท่าน
จักว่าหวานหรือส้มขมคือตับไก่ ตุ้มไพร่เด้อไทยเอ้ย
คันว่าไทยบ่ตุ้มสิไหลเข้าสู่เวียง เห็นว่าเวียงจันทร์ฮ้างเป็นโนนขี้หมาจอก
บาทว่าบางกอกฮ้างยังสิฮ้างกว่าเวียง”๖
ภาคอีสานเป็นภาคที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในประเทศ
เป็นภาคที่มีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะปัญกาเรื่องน้ำ
ซึ่งส่งผลต่อการเพราะพืชของชาวอีสาน
ชาวอีสานจึงแสวงหาโลกที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ในอุดมคติคือโลกของพระศรีอาริยเมตไตย์
ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝันแต่ก็เป็นการดิ้นรนหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นกับชุมชนอีสานรวมทั้งกรณีกบฏหมอลำน้อยชาดาเช่นเดียวกัน
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากเดิมคืออาญาสี่ ก็มีส่วนทำให้มีกลุ่มคนบางส่วนไม่พอใจและเกิดคัดค้านจนถูกเรียกว่าเป็นกบฏ
๖เอกสารการคัดลอกจาก นายสังข์
รัตนะพลแสน
ในงานเสวนาปราชญ์ชาวบ้านถ่ายทอดภูมิปัญญาอีสาน ณ วัดศรีสวัสดิ์ อำเภอเมือง
จังหวัดมหาสารคาม๒๒-๒๓-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๗ คัดลอดโดย รศ. ธีรชัย บุญมาธรรม
มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม .