อธิคม วงษ์นาง คัดสรร
“ฮีตหนึ่ง
พอเถิงเดือนสี่ได้ให้เก็บดอกบุปผา หามาลาดวงหอมสู่ตนเก็บไว้
อย่าได้ไลคองนี้เสียศรีสูญเปล่า
หาเอาตากแดดไว้ได้ทำแท้สู่คน อย่าได้ไลหนีเว้นแนวคองตั้งแต่เก่า ไฟทั้งหลายสิแล่นเข้าเผาบ้านสิเสื่อมสูญเด้”
“บุญผะเหวด”
เป็นสําเนียงชาวอีสานที่มาจากคําว่า “บุญพระเวส”
หรือพระเวสสันดร
เป็นประเพณีตามคติความเชื่อของชาวอีสานที่ว่า หากผู้ใดได้ฟัง
เทศน์เรื่องพระเวสสันดรทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียว
จะได้เกิดร่วมชาติภพกับพระศรีอริยเมตไตรย บุญผะเหวดนี้จะทําติดต่อกันสามวัน
วันแรกจัดเตรียมสถานที่ตกแต่ง ศาลาการเปรียญวันที่สองเป็นวันเฉลิมฉลองพระเวสสันดร
ชาวบ้านร่วมทั้งพระภิกษุสงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมา
ร่วมพิธีมีทั้งการจัดขบวนแห่เครื่องไทยทานฟังเทศน์และแห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะเหวด
(ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าเรื่องพระเวสสันดร) ซึ่งสมมติเป็น
การแห่พระเวสสันดรเข้าสู่เมือง เมื่อถึงเวลาค่ำจะมีเทศน์เรื่องพระมาลัย
ส่วนวันที่สามเป็นงานบุญพิธี ชาวบ้านจะร่วมกันตักบาตรข้าวพันก้อน พิธีจะมี ไปจนค่ำ
ชาวบ้านจะแห่แหน ฟ้อนรําตั้งขบวนเรียงรายตั้งกัณฑ์มาถวายอานิสงฆ์อีกกัณฑ์หนึ่ง
จึงเสร็จพิธีมูลเหตุของพิธีกรรมพระสงฆ์จะเทศน์เรื่อง เวสสันดรชาดกจนจบและเทศน์
จากเรื่องในหนังสือมาลัยหมื่นมาลัยแสนกล่าวว่า
ครั้งหนึ่งพระมาลัยเถระได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้พบปะสนทนากับพระศรีอริยเมตไตย
ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตและพระศรีอริยเมตไตรยได้สั่งความมากับ
พระมาลัยว่า “ถ้ามนุษย์อยากจะพบและร่วมเกิดในศาสนาของพระองค์แล้วจะต้องปฏิบัติตนดังต่อไปนี้คือ”
1.
จงอย่าฆ่าพ่อตีแม่ สมณพราหมณ์
2.
จงอย่าทําร้ายพระพุทธเจ้า และยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน
3.
ให้ตั้งใจฟังเทศน์เรื่อง พระเวสสันดรให้จบในวันเดียวด้วยเหตุ
ที่ชาวอีสานต้องการจะได้พบพระศรีอริยเมตไตรยและเกิดร่วมศาสนาของพระองค์จึง
มีการทําบุญผะเหวด ซึ่งเป็นประจําทุกปี
1.
แบ่งหนังสือ นําหนังสือลําผะเหวดหรือลํามหาชาติ (หนังสือเรื่องพระเวสสันดรชาดก)
ซึ่งมีจํานวน 13 กัณฑ์ (หรือ 13 ผูกใหญ่) แบ่ง เป็นผูกเล็กๆ
เท่ากับจํานวนพระเณรที่จะนิมนต์มาเทศน์ในคราวนั้นๆ
2.
การใส่หนังสือ นําหนังสือผูกเล็กที่แบ่งออก จากกัณฑ์ต่างๆ 13
กัณฑ์ไปนิมนต์พระเณรทั้งวัดในหมู่บ้านตนเองและจากวัด ในหมู่บ้าน
อื่นที่อยู่ใกล้เคียงให้มาเทศน์ โดยจะมีใบฎีกาบอกรายละเอียดวันเวลาเทศน์
ตลอดจนบอกเจ้าศรัทธา ผู้ที่จะเป็นเจ้าของกัณฑ์นั้นๆ ไว้ด้วย
3.
การจัดแบ่งเจ้าศรัทธา เพื่อพระเณรท่านเทศน์จบในแต่ละกัณฑ์ผู้เป็นเจ้าศรัทธาก็จะนําเครื่องปัจจัยไทยทานไปถวายตาม
กัณฑ์ที่ตนเองรับผิดชอบ ชาวบ้านจะจัดแบ่งกันออกเป็นหมู่ๆ
เพื่อรับเป็นเจ้าศรัทธากัณฑ์เทศร่วมกัน โดยจะต้องจัดหาที่พักข้าวปลา
อาหารไว้คอยเลี้ยงต้อนรับญาติโยมที่ติดตามพระเณร
จากหมู่บ้านอื่นเพื่อมาเทศน์ผะเหวดครั้งนี้ด้วย
4.
การเตรียมสถานที่พัก พวกชาวบ้านจะพากันทําความสะอาดบริเวณวัดแล้วช่วยกัน “ปลูกผาม”
หรือปะรําไว้รอบๆ บริเวณวัด เพื่อใช้
เป็นที่ต้องรับพระเณรและญาติโยมผู้ติดตามพระเณรจากหมู่บ้านอื่น
ให้เป็นที่พักแรมและที่เลี้ยงข้าวปลาอาหาร
5.
การจัดเครื่องกิริยาบูชาหรือเครื่องครุพัน ในการทําบุญผะเหวดนั้นชาวบ้านต้องเตรียม
“เครื่องฮ้อยเครื่องพัน”
หรือ “เครื่องบูชา
คาถาพัน” ประกอบด้วยธูปหนึ่งพันดอก
เทียนหนึ่งพันเล่มดอกบัวโป่ง (บัวหลวง) ดอกบัวแป้ (บัวผัน) ดอกบัวทอง (บัวสาย)
ดอกผัก ตบและดอกก้างของ (ดอกปีบ) อย่างละหนึ่งพันดอก เมี่ยง
หมากอย่างละหนึ่งพันคํา มวนยาดูดหนึ่งพันมวน ข้าวตอกใสกระทงหนึ่ง พันกระทง
ธุงกระดาษ (ธงกระดาษ) หนึ่งพันธง
6.
การจัดเตรียม สถานที่ที่จะเอาบุญผะเหวด
6.1
บนศาลาโรงธรรม ตั้งธรรมมาสน์ไว้กลางศาลาโดยรอบนั้นจัดตั้ง “ธุงไซ”
(ธงชัย) ไว้ ทั้งแปดทิศ และจุดที่ตั้ง “ธุงไซ”
แต่ละต้นจะต้อง มี “เสดถะสัต”
(เศวตฉัตร) “ผ่านตาเว็น”
(บังสูรย์) และตะกร้าหนึ่งใบสําหรับใส่ข้าวพันก้อนพร้อมทั้ง
“บั้งดอกไม้”
สําหรับใส่ดอกไม้แห่ง
ซึ่งส่วนมากทําจาก ต้นโสนและใส้ “ธุงหัวคีบ”
นอกจากนี้ที่บั้งดอกไม้ยังปีกนกปีกปลาซึ่งสานจากใบมะพร้าวหรือใบตาลไว้อีกจํานวนหนึ่งและตั้งโอ่งน้ำไว้
5 โอ่ง รอบธรรมาสน์ซึ่งสมมติเป็นสระ 5 สระ ในหม้อน้ำใส่จอกแหน (แหนคือสาหร่าย)
กุ้ง เหนี่ยว ปลา ปู หอย
ปลูกต้นบัวในบ่อให้ใบบัวและดอกบัวลอยยิ่งดีรวมทั้งจะต้องจัดให้มีเครื่องสักการะบูชาคาถาพันและขันหมากเบ็งวางไว้ตามมุมธรรมาสน์
ณ จุดที่วางหม้อน้ำ ที่สําคัญบนศาลาโรงธรรมต้องตกแต่งให้มีสภาพคล้ายป่า
โดยนําเอาต้นอ้อย ต้นกล้วย มามัดตามเสาทุกต้น และขึงด้าย สายสิญจน์รอบศาลา
ทําราวไม้ไผ่สูงเหนือศรีษะประมาณหนึ่งศอกเพื่อเอาไว้เสียบดอกไม้แห่งต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่ห้อยนก ปลาตะเพียน และใช้เมล็ดแห่งของฝากลิ้นฟ้า (เพกา)
ร้อยด้วยเส้นด้ายยาวเป็นสายนําไปแขวนเป็นระยะ ๆ และถ้าหากดอกไม้แห่งอื่นไม้ได้
ก็จะใช้เส้นด้ายชุบแป้งเป็ยกแล้วนําไปคลุกกับเมล็ดข้าวสาร
ทําให้เมล็ดข้าวสารติดเส้นด้ายแล้วนําเส้นด้ายเหล่านั้นไปแขวนไว้แทน
ด้านทิศตะวันออกของศาลาโรงธรรมต้องปลูก “หออุปคุต”
โดยใช้ไม้ไผ่ทําเป็นเสาสี่
ต้นสูงเพียงตา หออุปคุตนี้เป็นสมมติว่าจะเชิญ พระอุปคุตมาประทับ
เพื่อปราบมารที่จะมาขัดขวางการทําบุญ ต้องจัดเครื่องใช้ของพระอุปคุตไว้ที่นี้ด้วย
6.2
บริเวณรอบศาลาโรงธรรมก็ปัก “ธุงไซ”
ขนาดใหญ่ 8 ซุง
ปักไว้ตามทิศทั้งแปดซึ่งแต่ละ หลักธุงจะปัก “กรวยไม้ไผ่สําหรับใส่ข้าว
พันก้อน” “เสดถะสัด”
(เศวตฉัตร) “ผ่านตาเว็น”
(บังสูรย์) และ “ขันดอกไม้”
เช่นเดียวกับบนศาลาโรงธรรม
นอกจากนี้ก็ปักธุงช่อไว้ ณ จุดเเดียวกับที่ปัก “ธุงไซ”
อีก ด้วยครั้งถึงเวลาประมาณ 14-15
นาฬิกาของมื้อโฮมหรือวันรวม ผู้เฒ่าผู้แก่จะพากันนําเครื่องสักการะ
บูชาประกอบด้วยขันห้าขันแปดบาตรจีวร ร่ม กระโถนกาน้ำ
และไม้เท้าเหล็กไปเชิญพระอุปคุตซึ่งสมมติว่าท่านอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำอาจ เป็นบึง
หนอง แม่น้ำ อ่างเก็บน้ำ (ที่อยู่ใกล้วัด) เมื่อไปถึงผู้เป็นประธานจะตั้งนะโมขึ้น
3 จบ กล่าว “สัคเค”
เชิญเทวดามาเป็นพยาน แล้วจึงกล่าวการเทศน์
ณ จุดนี้เป็นการเทศน์จบแล้วก็จะลั่นฆ้อง จัดขบวนแห่ผะเหวดเข้าเมือง
เดินผ่านหมู่บ้านเข้าสู่วัด แล้วแห่เวียนขวา รอบศาลา โรงธรรมสามรอบ
จากนั้นจึงนําพระพุทธรูปขึ้นตั้งไว้ในศาลาโรงธรรม ญาติโยมที่เก็บดอกไม้มาจากป่า
เช่น ดอกพะยอม ดอกจิก (ดอกเต็ง)ดอกฮัง (ดอกรัง) ดอกจาน ฯลฯ
ก็จะนําดอกไม้ไปวางไว้ข้างๆ ธรรมาสน์ แล้วขึงผ้าผะเหวดรอบศาลาโรงธรรม หลังจาก
แห่ผะเหวดเข้าเมืองแล้วญาติโยมจะพากันกลับบ้านเรือนของตน รับประทานอาหารเย็น
พร้อมทั้งเลี้ยงดูญาติพี่น้องที่เดินทางมาร่วมทําบุญเวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ๆ
ทางวัดจะตี “กลองโฮม”
เป็นสัญญาณบอกให้ ชาวบ้านรู้ว่าถึงเวลา
“ลงวัด”
ญาติโยมจะพากันมารวมกัน
ที่ศาลาโรงธรรมพระภิกษุสงฆ์สวด พระปริตมงคลหลังจากสวดมนต์จบก็จะ “เทศน์มาลัย
หมื่นมาลัยแสน” หลังจากฟังเทศน์จบก็จัดให้
มีมหรสพ เช่น หมอลํา ภาพยนตร์ให้ชมจนถึงสว่างเวลาประมาณ 04.00 น. ของวันบุญผะเหวดญาติโยมจะนําข้าวเหนียวก้อนเล็ก
ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือจํานวนหนึ่งพันก้อนซึ่งเท่ากับหนึ่งพระคาถา
ในเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก ใส่ถาดออกจากบ้านเรือน แห่จากหมู่บ้าน
มาที่ศาลาโรงธรรมเวียน รอบศาลาโรงธรรมสามรอบ
แล้วจึงนําข้าวพันก้อนไปใส่ไว้ในกรวยไม้ไผ่ที่หลักธุงไซทั้งแปดทิศและใส่ในตะกร้า
ที่วางอยู่บนศาลาตามจุดที่มีธุงไซและเสดถะสัด
เมื่อแห่ข้าวพันก้อนเสร็จแล้วก็จะมีเทศน์สังกาศ คือ การเทศน์บอกปีศักราชเมื่อ จบสังกาศจะหยุดพัก
ให้ญาติโยมกลับไปบ้านเรือน นําอาหารมาใส่บาตรจังหันหลังจากพระฉันจังหันแล้วก็จะเริ่มเทศน์ผะเหวด
โดยเริ่มจากกัณฑ์ทศพรไปจนถึงนครกัณฑ์รวม สิบสามกัณฑ์ใช้เวลาตลอดทั้งวันจนถึงค่ำมีความเชื่อกันว่าหากใครฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดร
จบผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์มากพิธีกรรมขณะฟังเทศน์ ในการฟังเทศน์ “บุญผะเหวด”
นั้นต้องมีทายกหรือทายิกาคอยปฏิบัติพิธีกรรม
ขณะฟังเทศน์แต่ละกัณฑ์ โดยจุดธูปเทียนเพื่อบูชากัณฑ์นั้น ๆ ตามจํานวนคาถาในแต่ละกัณฑ์
กล่าวคือ กัณฑ์ทศพร 19 พระคาถา กัณฑ์หิมพานต์ 134 พระคาถา
กัณฑ์ทานกัณฑ์
209 พระคาถา กัณฑ์วนปเวส 57 พระคาถา กัณฑ์ชูชก 79 พระคาถา
กัณฑ์จุลพน
35 พระคาถา กัณฑ์มหาพน 80 พระคาถา กัณฑ์กุมาร 101 พระคาถา
กัณฑ์มัทรี
90 พระคาถา กัณฑ์สักกบรรพ์ 43 พระคาถา กัณฑ์มหาราช 69 พระคาถา
กัณฑ์ฉกษัตริย์
(หกกษัตริย์) 36 พระคาถา กัณฑ์นครกัณฑ์ 46 พระคาถา นอกจากนั้นต้องหว่านข้าวตอกดอกไม้
ข้าวสารและลั่นฆ้องชัย เมื่อเทศน์จบในแต่ละกัณฑ์ โดยผู้ทําหน้าที่ดังกล่าวนี้ต้องนั่งอยู่ประจําที่ตลอดเวลาที่เทศน์
ส่วนเครื่องฮ้อยเครื่องพัน หรือเครื่องครุพันนั้นต้องตั้งบูชาไว้ตลอดงาน
เมื่อเทศน์จบแล้วบางวัดก็นําเครื่องฮ้อย เครื่องพันใส่ไว้ใน
ภาชนะที่สานด้วยดอกไม้ไผ่ มีลักษณะเหมือนกะออม (นิตยสารทางอีศาน วันที่ 14 มีนาคม
2557)
มหาเวสสันดรชาดก
เป็นชีวประวัติเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก
กล่าวถึงพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ในการบำเพ็ญทานบารมี
ก่อนจะทรงอุบัติเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า
"มหาชาติชาดก" มีเนื้อหาโดยย่อดังนี้
1.
กัณฑ์ทศพร ว่าด้วยเรื่องพระพุทธเจ้าหวนกลับบ้านเกิดเมืองนอนคือเมืองกบิลพัสดุ์
อยู่วัดต้นไทรย้อย ได้แสดงฤทธิ์แก่มวลญาติเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่
พระสาวกเห็นเป็นอัศจรรย์ได้ถามและพระองค์ก็เล่านิทานเมื่อครั้งเกิดเป็นพระเวสสันดร
2.
กัณฑ์หิมพานต์
ว่าด้วยเรื่องเทพธิดาลงมาเกิดเป็นลูกกษัตริย์มัทราชได้ชื่อว่า ผุสดี พออายุ
16 ปีได้แต่งงานกับพระเจ้ากรุงสญชัยเมืองสีพี เกิดมีครรภ์พอครบ 10
เดือนพระนางผุสดีก็คลอดพระโพธิสัตว์นามว่าพระเวสสันดร มีช้างคู่บารมีชื่อปัจจัยนาเคน
พออายุ 16 ปีก็แต่งงานกับพระนางมัทรี มีลูกน้อยชื่อชาลีและกัณหา
ต่อมาเมืองกลิงคะเกิดข้าวยากหมากแพง ชาวเมืองมาขอช้างจากพระเวสสันดร พระองค์ให้ทานช้าง
ทำให้ชาวเมืองไม่พอใจไปขอพระเจ้ากรุงสณชัยให้เนรเทศพระเวสสันดรไปเขาวงกต
3.
กัณฑ์ทานกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องพระมารดาร้องขออภัยโทษพระเวสสันดรแต่ผิดหวัง พระเวสสันดรให้ทานใหญ่แล้วขออำลาไป
4.
กัณฑ์วนปเวสน์ ว่าด้วยเรื่อง 4
กษัตริย์เดินดงไปเขาวงกต แคว้นเจตราช
พระเจ้าเจตราชสั่งให้พรานเจตบุตรรักษาด่านไว้ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนพระเวสสันดร
5.
กัณฑ์ชูชก ว่าด้วยเรื่องเฒ่าชูชกขอทานได้เอาไปฝากเพื่อน
พอมาทวงคืนเพื่อนได้ใช้เงินหมดแล้วเลยยกลูกสาวชื่ออมิตตดา
ต่อมานางให้ชูชกไปขอชาลีกัณหาเพื่อเอามาเป็นทาสรับใช้
6.
กัณฑ์จุลพน
ว่าด้วยเรื่องป่าน้อยชูชกไปเจอพรานเจตบุตรลวงให้เชื่อว่านำสารของพระเจ้ากรุงสณชัยมาส่งให้พระเวสสันดรเพื่อกลับคืนพระนครและพรานป่าก็เชื่อด้วยนะ
7.
กัณฑ์มหาพน ว่าด้วยเรื่องป่าใหญ่
ที่ชูชกไปพบพระอจุตฤาษีลวงว่าเป็นนักบวชจะมาคุยธรรมะกับพระเวสสันดร
พระฤาษีก็หลงเชื่อให้ที่พักค้างคืนซ้ำบอกแนะนำเส้นทาง ไปเขาวงกตด้วย
8.
กัณฑ์กุมาร ว่าด้วยเรื่อง ชูชกไปถึงที่อยู่พระเวสสันดรช่วงพระนางมัทรีไปป่าหาผลไม้ก็รีบไปขอสองลูกน้อย
ทั้งชาลีและกัณหาได้ยินพากันหนีลงไปในสระบัวบังกายไว้
พระองค์ไปเรียกหาเอามายกให้ชูชก
9.
กัณฑ์มัทรี ว่าด้วยเรื่อง
พระอินทร์สั่งให้เทวดาแปลงกายมาเป็น 3 เสือขวางทางไม่ให้พระนางมัทรีกลับมาทันเหตุการณ์การยกลูกให้เป็นทาน
เมื่อกลับมาถึงหาลูกน้อยไม่พบ พระเวสสันดรก็ไม่ตอบ
พระนางเป็นลมสลบเมื่อฟื้นขึ้นมาพระเวสสันดรเลยบอกความจริง
10.
กัณฑ์สักกบรรพ ว่าด้วยเรื่องพระอินทร์แปลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี
เมื่อพระเวสสันดรยกให้แล้วก็ฝากไว้ให้รับใช้พระเวสสันดรตามเดิมแล้วปรากฏตนเป็นพระอินทร์
11.
กัณฑ์มหาราช
ว่าด้วยเรื่องชูชกพาชาลีกัณหาเดินดงหลงเข้าไปกรุงสีพีเพราะเทวดาดลใจ
พระเจ้าปู่เจ้ายายไถ่เอาหลานไว้ พร้อมเลี้ยงดูชูชก แกกินมากจนท้องแตกตาย
ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัยได้จัดกองทัพไปอัญเชิญพระเวสสันดรกลับคืนวังและชาวเมืองกลิงคะก็คืนช้างคู่บารมีพอดี
12.
กัณฑ์ฉกษัตริย์ ว่าด้วยเรื่อง 6
กษัตริย์มาพบกันเกิดสลบไปทั้งหมด
ร้อนถึงพระอินทร์รู้เหตุเลยบันดาลให้ฝนตกใหญ่ ( ฝนโบกขรพรรษ )
เมื่อทั้งหมดฟื้นคืนชีพแล้วได้ขออภัยต่อพระเวสสันดรและเชิญเข้าไปปกครองกรุงสีพี
13.
กัณฑ์นครกัณฑ์
ว่าด้วยเรื่องผลแห่งทาน
ผลแห่งศีล และผลแห่งพระบารมี 30
ทัศ ของพระเวสสันดรโพธิสัตว์
เมื่อกลับมาถึงกรุงสีพีแล้วบังเกิดฝนใหญ่ตกลงมาสร้างความชุ่มชื่นร่มเย็นแก่ชาวเมืองสีพีพระเวสสันดรครองนครสีพีจนอายุ
120 ปีจึงสวรรคต ไปเกิดเป็นเทพบุตรชื่อว่าสันตุสิต อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตก่อนที่จะมาเกิดเป็นพระสิทธัตถะกุมารในชาติต่อมา
(วีระพันธ์ วิชัยภูมิ :
2557)
มูลเหตุการณ์นิมนต์พระอุปคุต
มูลเหตุดั้งเดิมมีการนิมนต์พระอุปคต
มีเรื่องเล่าว่าพระอุปคตเป็นพระเถระผู้มีฤทธิ์ได้นิรมิตกุฎีอยู่กลางมหาสมุทร
ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจากที่ต่าง ๆ
เอามาบรรจุไว้ในสถานที่พระองค์สร้างใหม่ เสร็จแล้วจะจัดงานฉลอง
พระองค์ทรงพระปริวิตกถึงมารที่เคยเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า
เกรงว่าการจัดงานจะไม่ปลอดภัยจึงมีรับสั่งให้ไปนิมนต์พระอุปคตมาในพิธี
ฝ่ายพญามารรู้ว่าพระเจ้าอโศกมหาราชจะฉลองพระสถูป จึงพากันมาบันดาลอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ
พระอุปคตจึงบันดาลฤทธิ์ตอบ ครั้งสุดท้ายพระอุปคตเนรมิตเป็นสุนัขเน่าแขวนคอมารไว้
มารไม่สามารถแก้ได้ เอาไปให้พระอินทร์ช่วยแก้ให้ พระอินทร์ก็แก้ไม่ได้
มารจึงยอมสารภาพผิด พระอุปคตแก้ให้แล้วกักตัวมารไว้บนยอดเขา
เสร็จพิธีแล้วจึงปล่อยให้ตัวมารไปพระเจ้าอโศกมหาราชและผู้ร่วมงานนั้นจึงปลอดภัย
โดยเหตุนี้เมื่อมีพิธีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเช่น บุญเผวส
จึงได้มีการนิมนต์พระอุปคุตมาด้วย เพื่อเป็นการป้องกันภยันตรายต่าง ๆ
และให้เกิดสวัสดิมีชัยดังกล่าวแล้วก่อนพระเทศน์เอาคาถาพระอุปคุตทั้งสี่บท
ปักไว้ข้างธรรมาสน์ทั้งสี่ทิศด้วย
คำอาราธนาพระอุปคุต
และคาถาพระอุปคุต มีด้งนี้
โอกาสะ
โอกาสะ ฝูงข้าทั้งหลาย อภิวันท์ไหว้ยังพระมหาอุปคุตผู้ประเสริฐ มีศักดาเลิศปรากฏ
ทรงเกียรติยศขีณา กว่าพระอรหันตาทั้งหลาย ข้าขออาราธนามหาเถระผู้มีอาคมแก่กล้า
จงเสด็จแต่น้ำคงคา มาผจญมารร้ายด้วยบาทพระคาถาว่า อุปคุตโต มหาเถโร คิชฌะกูโต
สามุทธะโย เอกะมาโร เตชะมาโร ปะลายันตุ ฝูงข้าทั้งหลายขออาราธนามหาเถระเจ้า
จงมาผจญมลมารทั้งห้า ใต้ลุ่มฟ้าและเวหน
ภายบนแต่อกนีฏฐานเป็นเค้าตลอดเท่าถึงนาคครุฑ มนุษย์เทวา ผู้มีใจสาโหด โกรธาโกดอธรรม
ฝูงมีใจดำบ่ฮุ่ง หน้ามืดมุ่งมานมัว ถ้ำฝายเหนือและขอกใต้ทั้งที่ใกล้และที่ไกล
ตะวันตกและตะวันออก ขอบเขตภูมิสถาน อันฝูงข้าทั้งหลายจักฟังพระธรรมเทศนา
ในสถานที่นี้ ขออัญเชิญพระอาทิตย์ผู้วิเศษใสแสง พระจันทร์แยงเยืองโลก
อังคารโผดผายผัน พุธพฤหัสพลันแวนเที่ยว ศุกร์เสาร์เกี่ยวคอยระวัง กำจัดบังแวดไว้
เทพไท้ตนลือฤทธิ์พระพาย แมนมิตรไตรสถาน พระอิศวรผันผายแผ่รัศมีแก่แตโช
ผาบศัตรูมาฮ้าย ในคุ้มข่วงเขตสถาน อันฝูงข้าทั้งหลายจักยอทานและฟังเทศน์
องค์เทเวศจงฮักษากำจัดประดามารโหดร้าย ให้พลัดพ่ายกลับหนี
อย่าฮาวีข่วงเขตที่นี้ก็ข้าเทอญ
โย
โย อุปคุตโต มหาเถโร ยัง ยัง อุปคุตตัง มหาเถรัง กายัง ฟันธะมะรัส สะดีวัง
สัพเพยักขา ปะลายันตุ สัพเพ ภยา ปะลายันตุ สัพเพ ปิสาจา ปะลายันตุ
ฝูงผียักษ์และผีเสื้อ ฝูงเป็นใจพญามาร สูทานทั้งหลายมีใจ อันมักผาบแพ้ตนประเสริฐ
สัพพัญญู ปะลายันตุ จงผันผายออกหนี จากขอบเขตประเทศที่นี้ ก็ข้าเทอญ
คาถาพระอุปคุต
บทที่หนึ่ง
อุปคุตโต มหาเถโร เยนะสัจเจนะยะสัจ วาชิปุเร อะหหุสัจจะ วัชเชนะ วิสัง สามัส
สะหัญญะตุ
บทที่สอง
อุปคุตโต เยนะสัจเจนะ ยะสาโม สัจจิวา มาตา เปติภะโรอาหุ กุเรเชฏฐา ปัจจายิโน
เอเตนะสัจจะ วัชเชนะ วิสสา มัสสะหัญญตุ
บทที่สาม
อุปคุตโต เยนะสัจเจนะ ยะสาโม ปานาปิ ยัตตะโร มะมะ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัสิง
สามัสสะ หัญญะตุ
บทที่สี่
อุปคุตโต ยะจิน จิตตะ ปุญญะมังทะ เจวะ สิตุจะเต สพเพนะเต สาเลนะ อิสามัสสะหัญญะตุ
การนิมนต์พระอุปคุตและแห่พระเวสสันดรกับนางมัทรีเข้าเมือง
บางแห่งถ้าจัดงานสามวัน จะจัดเป็นวันโฮมวันหนึ่ง
โดยนิมนต์พระอุปคุตในตอนเช้าของวันโฮม วันที่สองตอนบ่ายจึงทำการเชิญพระเวสสันดรกับนางมัทรีเข้าเมืองวันที่สามจึงเทศน์มหาชาติ
อนึ่ง
ในระหว่างงานบุญ ปรกติจะมีชายสูงอายุคนหนึ่ง
นุ่งขาวห่มขาวเป็นผู้คอยปรนนิบัติดูและพระอุปคุตและบริเวณศาลาโรงธรรม
โดยถือศีลแปดและจะต้องอยู่ประจำบนศาลาโรงธรรมจนตลอดงานส่วนก้อนหินที่สมมุติ
ว่าเป็นพระอุปคุตนั้น เมื่อเสร็จงานบุญเผวสแล้วก็มีการนิมนต์ไปไว้ยัง ณ
ที่เดิมด้วย
การแห่ผะเหวเข้าเมือง
การแห่ผะเหวด
พอตอนบ่ายประมาณสองหรือสามโมงในวันโฮม ชาวบ้านมารวมกันที่วัด เตรียมตัวจัดขบวนแห่ไปอัญเชิญพระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง
โดยสมมุติให้พระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง โดยสมมติให้พระเวสสันดร
และนางมัทรีไปอยู่ป่าแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งอาจเป็นป่าจริงหรือทุ่งนา
หรือลานหญ้าก็ได้แล้วแต่ภูมิประเทศจะอำนวย พิธีการอัญเชิญพระพุทธรูป 1 องค์
และพระภิกษุ 4 รูป ขั้นนั่งบนเสลี่ยงหามไปยัง ณ ที่สมมุติว่า
พระเวสสันดรและนางมัทรีประทับอยู่ (ไม่ห่างจากวัดเท่าใดนัก) พอไปถึงที่ดังกล่าว
ซึ่งเป็นที่เริ่มต้นแห่เผวส ก่อนเริ่มต้นแห่มีการอาราธนาศีลและรับศีลและห้าก่อน
แล้วทำพิธีบายศรีสู่ขวัญพระเวสสันดรกับนางมัทรีนิมนต์พระเทศน์กัณฐ์ฉกษัตริย์
เสร็จแล้วกล่าวอันเชิญพระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง โดยหามเสลี่ยงพระพุทธรูป
และพระภิกษุออกก่อน บางแห่งหากมีรูปภาพเกี่ยวกับเรื่องพระเวสสันดร
ก็จะแห่รูปภาพดังกล่าวไปในขบวนด้วย
พอขบวนแห่ถึงวัดจึงทำการแห่รอบวัดหรือศาลาโรงธรรมโดยเวียนขวารอบ แล้วนำพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้
ณ ที่เดิม และนำดอกไม้ธูปเทียนไปวางไว้ ณ ที่จัดไว้ ประชาชนจึงกลับไปพักผ่อน
พอถึงตอนค่ำประชาชนจะมาโฮม (รวม) กันอีกครั้งจึงอาราธนาพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์
เมื่อพระสวดพระพุทธมนต์จบ พระจะขึ้นสวดบนธรรมมาสน์อีก 4 ครั้ง ๆ ละ 2 รูป รวม 8
รูป คือ สวดอิติปิโส โพธิสัตว์บั้นต้น-บั้นปลายและสวดชัยตามลำดับ
ต่อไปนี้นิมนต์พระขึ้นเทศน์พระมาลัยหมื่น พระมาลัยแสน
ก่อนพระเทศน์เอาคาถาพระอุปคุตทั้งสี่บทปักไว้ที่ข้างธรรมาสน์ดังกล่าวแล้ว
เมื่อพระเทศน์จบตอนนี้แล้ว ประชาชนจะกลับไปพักหรือคบงับกันต่อไปตามอัธยาศัย
ระหว่างคบงันพวกหนุ่ม ๆ สาวๆ จะพูดจาเย้าหยอกเกี้ยวพาราสีกัน
บางก็ร้องรำทำเพลงเป่าแคนและดีดพิณจนจวนสว่าง (ราว 3 หรือ 4 นาฬิกา)
ชาวบ้านจึงแห่ข้าวพันก้อนไปถวายพระอุปคุตที่วัดแล้ววางข้าวพันก้อนไว้ตามธง
หรือตามภาชนะที่จัดไว้ เสร็จแล้วพอใกล้สว่างก็ประกาศป่าวเทวดาและอาราธนาพระเทศน์สังกาส
หลังจากฟังพระเทศน์สังกาสแล้วจึงอาราธนาเทศน์มหาชาติ พระจะเทศน์มหาชาติตลอดวัน
ขึ้นต้นจากัณฑ์ทศพรจนถึงนครกัณฑ์ เมื่อจบแล้วมีเทศน์ฉลองพระเวสสันดรอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งกว่าจะเทศน์จบทุกกัณฑ์ก็ต้องค่ำพอดีเมื่อเทศน์มหาชาติจบจัดขันดอกไม้ธูปเทียนกล่าวคำคารวะพระรัตนตรัยเป็นเสร็จพิธีบุญผะเวส
คำสู่
ขวัญพระเวสสันดร
ศรี
ศรีสวัสดีปัญญะมัย ไตรรัตนะวรดิตถี อิมุติตะโชติ ประสิทธิโยดพร้อมนักขัดดา
พระจันทร์พระจรใสเสร็จ เสด็จเข้าใกล้แพงภาค จากนักขัตฤกษ์ชื่อว่า .....
(ออกชื่อราศี) ภายในมี ..... (ออกชื่อเจ้าอาวาส) เป็นเค้า ภายนอกมี
..(ออกชื่อผู้เป็นหัวจัดงาน)
พร้อมกันเลื่อมใส ในวรพระพุทธศาสนาเป็นอันยิ่งฝูงข้าทั้งหลายจึ่งพร้อมกันมา
ราชาบายศรี ศากยมนีหน ตนเป็นครูสั่งสอน สัตตนิกรอยู่จี้จอยจึงแจ้งบ่ขาด
ปางเมื่อเจ้าสิทธารถละฆราวาสห้องบุรี เจ้าก็บายพระขรรค์ชัยศรี ตักเกศเกล้าโมฬี
เจ้าก็หนีไปบวชสร้างผนวชให้หกพระวัสสา ก็จึงได้เรื่องรัตน์ ตรัสเป็นสัพพัญญตญาณ
การเป็นพระ แทบเท้าไม้พระศรีมหาโพธิ เป็นเจ้าโผดสงสาร วันนั้นก็มีแลชัยยะตุภะวัง
ชัยยะมังคะลัง (ให้สวด 3 จบสวดเสร็จแต่ละจบ ให้ตีฆ้อง 1 ที
แล้วจึงแห่เผวสเข้าเมือง)
คำอาราธนาเทศน์พระมาลัยหมื่น
สุระหิตัง นิจจัง ตังตัง ธัมมัง วันทามิ
ข้าไหว้บาทนาโถ กับทั้งพระศรีมหาโพธิ กุศลโสตมวลมา มีอัตราข้าไหว้นับได้ด้วยโกฏิ
เทพพระมาลัยโปรดปรานี ตั้งไว้ดีบ่เศร้า ข้ากราบเศียรเกล้าวันทา
ด้วยมาลาดวงดอกพร้อมด้วยข้าวตอกบรรณาการ ทั้งข้าวเปลือกข้าวสารผายแผ่ บูชาแก่ให้สัพพัญญู
องค์พุทโธผู้ประเสริฐ อัคคะเลิศองค์พระธรรม สังโฆนำบ่ขาด ตามโอวาทคำสอน
ชีณาวรองค์ประเสริฐ สมมุติสงฆ์เลิศทรงธรรม
พวกข้าน้อมนำมาพร่ำพร้อมน้อมกายและอินทรีย์ จิตยินดีบ่ประมาท ฟังโอวาทคำสอน
ในบวรพุทธศษสน์ ด้วยบาทพระคาถาว่าโยโส สุนทะหิตัง ธัมมัง วะรัง สักกัจจัง อาราธนัง
กะโรมะ
คำอาราธนาเทศน์พระมาลัยแสน
ยังยัง
สัทธัมมะ วะรัง ตะทัตตัปปะโก ระสะตัง สักกัจจัง นะมัสสามิ ฝูงข้าทั้งหลาย
นรหญิงชายถ้วนถี่พร้อมภาคที่วันทา ยกมือมาใส่เกล้า ก้มกราบเท้านาโถ
องค์พุทโธล้ำยิ่ง พร้อมทุกสิ่งสักการ ด้วยจิตบานเฮือง ฮุ่นมุ่งมาดแผ่บุญกุศล
หวังเอาตนข้ามโอฆ พ้นจากโลกสงสาร
ขอให้ได้พบศาสนาของพระศรีอารย์ไว้วาทองค์พระบาทอนาคต ทรงเกียรติยศไขธรรม
อันจักนำมาตรัสในภายหน้า ขอให้ข้าได้สัมฤทธิ์ บวรมัยมิตรเห็นธรรมโสดานำบังเกิด
ไกลจากโลกอสัญญี อวิจีแสนส่ำ พ้นภาคต่ำสู่ญาณทอง เดิมตามคลองอันวิเศษ
ตัดกิเลสสวัฎฎะวนพร้อมทุกคนผายแผ่ กัณฑ์มาลัยแสนผายแผ่กว้างเมตตาธรรม
ข้าน้อมนำบ่ขาด บ่ประมาทตั้งใจฟัง ขอให้สมหวังในชาตินี้และชาติหน้า
พวกข้าน้อยวันทา ตามบาทพระคาถาว่า อัตถะธัมมัง ปะกาเสถะโน โอกาสะ อารานัง กะโรมะ
คำป่าวเทวดาฟังธรรมลำ
มหาชาติ
สุนันตุ
โภนดต เย เทวา สังหา ดูราเทพเจ้าทั้งหลาย หมายมีอินทรเจ้า เป็นเค้าเป็นประธาน
กับทั้งโสฬสมหาพรหมตนทรงญาณลือเดช พระอาทิตย์ตนวิเศษใสแสง
จันทร์จรแฮงเฮืองฮุ่งราหูพุ่งรัศมี ทั่วทิศาปราสาทจตุราชโลกบาล อิศวรสารแสนส่ำ
ธรณีพร่ำมวลมา เมขลาไกวแก้วแกว่ง ทั่วทุกแห่งอันฮักษา
ทั้งภูผาและเถื่อนถ้ำทั้งย่านน้ำและเหวหิน ทั้งแดนดินและเถื่อนกว้าง
ทั้งย่านน้ำและวังฮี ทั้งโบกขรณีและหย่อมหญ้า
ทุกแหล่งหล้าและโพธิ์ศรีทั้งเจดีย์และแก้วกู่ อันฮักษาศาสนาอยู่อาฮามเขต
ประเทศภูมิสถาน ก้ำฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ทุกเทศท่องอาณาทั้งคูหาและแถวถี่
ขออัญเชิญเทพไท้ทุกที่แดนไกล พวกฝูงข้าทั้งหลาย ขออัญเชิญเทพแก่ไท้ทั้งมวล
ในหมื่นโลกธาตุอากาศจักรวาล ขอจงพร้อมกันเสด็จลีลา ลงมาช่องหน้า พระพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า แล้วจังพร้อมกันเข้ามาฟังยังลำมหาชาติ
ขอจงสำเร็จความปรารถนา พวกหมู่ข้าทั้งหลาย ทุกคนทุกคน ก็ข้าเทอญ
คำอาราธนาเทศน์สังกาส
ชัยะตุ
ภะวัง ชัยะตุ ภะวัง ชัยะมังคะลัง บวรวิลาส องค์พระบาทสิทธารถราชกุมาร
สมภารเพ็งบ่ขาดเป็นปัจฉิมชาติโพธิสัตว์ ปฏิบัติถ้วนถี่ ใจแจ้งที่สงสาร
มียศญาณบ่โศก บริโภคทวยธรรม์ สัพพะสรรพ์ทุกสิ่งเป็นลูกมิ่งท้าวสุทโธ
ใจโกศลแสนโยชน์ ปางเมื่อซิได้โผดฝูงสัตว์ สมภารพันธ์เต็มดี
ยามนอนฮ้อนอินทรีย์สะดุ้งตื่นเดิกดื่นผู้คนนอน เจ้าก็จรเสด็จไปยังปราสาท
เดียรดาษนักสนม บางน่องนอนปะนมและปะกัน บางน่องนอนอ้าปากและขบฟัน
นางน่องนอนมืนตาและยิ่งแข้วน้ำลายไหล วิกลวิการไปหลายหลาก พร้อมทุกภาคมเหสี
นอนหลับดีอยู่ดีด้อย กอดลูกน้อยราหุล เลยลวดชักม้า ไปสู่แม่น้ำอันเชื่อว่าอโนมานที
ยกพระขรรค์ดวงดีตักเกล้าเกศ ทรงเพศบรรพชาจึงแก้ววรกัณฐัก เลยลวดชักม้า
ไปสู่แม่น้ำอันเชื่อว่าอโนมานที ยกพระขรรค์ดวงดีตัดเกล้าเกศ
ทรงเพศบรรพชาจึงกล่าวคาถาว่า กรินทัง สีรสา นมามิ ดังนี้เป็นเค้า
ตราบต่อเท่าเข้าสู่นิพพาน ก็ข้าเทอญ
คำอาราธนา
เทศน์มหาชาติ
ศรี
ศรี บวรไมตรี ชัยะโชค ข้าขออัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ พร้อมทุกที่ทวยธรรม
ทั้งสุบรรณครุฑนาคสักโกภาคภายบน ปัญจมารมลทั้งตัว จงผาบแพ้ผจญมาร ยมภิบาลท่านไท้
อยู่ป่าไม้และวงกต ทั้งบรรพตและคูหา ขออัญเชิญธรณีนางนาถ ขมวดวาดมวยผม
เป็นนทีผาบมารในแท่นแก้ว มารคลาดแคล้วกลับหนี อัญชลีกราบไหว้เชิญทั้งเทพไท้ภายบน
จงเอาตนเข้ามาฟังธรรมจำศีลทุกเมื่อ อย่าได้เบื่อคลองธรรม
อันจักนำมาในอดีตชาติกฎในบาทพร คาถาในนิกายทั้งห้า กฏไว้ว่าแวนตระการ
เป็นตำนานบทเค้า นักปราชญ์เจ้านำมา ในมหาเวสสันดรราชาปฐมมาเป็นเค้า
ฟังเยอนักปราชญ์เจ้าน้อยหนุ่มพรศรี จงมีใจอดใจเพียร
กระทำดีอยู่ดีด้วยดีด้อยขวนขวายหามาลาดอกไม้ใหญ่น้อยให้ได้พอพัน อุบลบานไขกาบ
กับทั้งของพาบพร้อมอย่างละพัน ดอกผักตบไขช่องกาบบัวหลวงพาบพร้อมพอฟัน
ประทีปน้ำมันมาบ่ขาด ธงกระดาษและธงชัย ประดับไปทุกแห่ง
ข้าวพันก้อนแบ่งพอพันวางเป็นถันสพาส อย่างประมาทละเพียรเสีย ทั้งผัวเมียและลูกเต้า
พร้อมใจกันเข้าภาวนา ถือมาลาดวงดอกไม้ก้มกราบไหว้วันทา มือหูตาจดจ่อ
ตั้งใจต่อกองบุญ ให้เป็นคุณและประโยชน์ พ้นจากโทษและเวรกรรม
จิตใจนำพร่ำพร้อมน้อมหน้าอยู่สนลน จิตใจตนอย่าประมาท มักจักเป็นบาปฮ้ายยิ่งหนักหนา
คือ ดั่งนางอมิตตาหนุ่มเหน้า ได้พราหมณ์เฒ่าเป็นผัวนางบ่กลัวเกรงบาป
ฟังธรรมหากเหงานอน จิตใจวอนนำชู้ บาปกรรมผู้นำเถิงโต
ได้สามีโซ่ถ่อยเฒ่าทุกข์ยากเข้าบ่มีวาง กรรมของนางแวนเที่ยว เวรผู้เกี่ยวพัวพัน
กรรมตามทันจึงมีโทษ น้อยหนุ่มโสดจงอุตสาห์ถือมาลานบน้อม พร้อมลูกเต้าและนัดดา
จิตโสภาอย่าประมาท ฟังโอวาทชาดก พระองค์ยกทรงสอน ทศพรกัณฑ์ เคลื่อนคลาด
จรจากสวรรค์ สมทันเทียมทุกที่ สมมุ่งมาดที่นางประสงค์ อินทราทรงทานทอด
พรยอดแก้วบรบวน ตามสมควรบ่ขาด ได้เป็นพุทธราชมารดา องค์สัตถาแก่นเหง้า
ท่านกฎเข้าชื่อทศพร หิมพานวอนพราหมณ์เที่ยวพราหมณ์เฒ่าที่เที่ยวขอทาน หิมวันซอกไซ้
ท่านกฎไว้ว่าหิมพาน ทานกัณฑ์คชสารช้างเผือก พระองค์เลือกยกขึ้นยอทาน
ฝูงกันคารคนขมอด แลกแก้วยอดดวงโพธิญาณ ตามตำนานท่านกฏไว้ วนปเวสน์ใกล้เข้าสู่วงกต
ชูชกพราหมณ์ใจคดเที่ยวขอ จุลพนไพรแถวถี่ มหาพนยิ่งแวนตระการ สองกุมารทานทอด
ท่านขอดไว้ชื่อกัณฑ์กุมาร มัทรีตามแวนเกี่ยว นางนาถเที่ยวทัวระวัย
ในพงไพรเถื่อนกว้าง ท่านกล่างอ้างว่ากัณฑ์มัทรี สักกบรรพมีหลายภาค นำนาถน้อยสองศรี
หลงคีรีป่าไม้ เข้าฮอดไท้สญชัย อัตถ์ไขชื่อว่ากัณฑ์มหาราช ฉกษัตริย์ภาคเทียวทัน
เชิญจอมธรรม์ทั้งสี่ออกจากที่วงกต บำเพ็ยพรตลาไล กลับเวียงชัยนครกว้าง
ท่านกล่าวอ้างว่ากัณฑ์นครเป็นคำสอนถ้วนถี่ กฎไว้ที่ชาดก
พระองค์ทรงยกเห็นสมภารเพ็ญจีไจ้จีไจ้ น้อยนาถไท้ลุนหลัง ตั้งใจฟังในอดีตชาติ
ตามบทบาทพระคาถาว่าอาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปริโยสานกัลยาสาตถัง สัพพยัญชนัง
เกวลปริปุณณัง ปริสุทธัง มหาเวสันตรชตกัง พรหมจริยัง ปกาเสถโน โอกาสะ อาราธนัง
กะโรมะ
คำคารวะพระรัตนตรัย
(กล่าว
ตอนเทศน์เผวสหมดทุกกัณฑ์และเทศน์ฉลองเผวสแล้ว ก่อนผู้ไปร่วมฟังเทศน์กลับบ้าน)
โอกาสะ
โอกาสะ ฝูงข้าทั้งหลาย ทั้งหญิงชายและนงค์ท่าว ทั้งผู้บ่าวและผู้สาว
ทั้งลุงอาวและพ่อแม่ทั้งเฒ่าแก่และลุงตา ทั้งท้าวพญาเสนาและอำมาตย์
ทั้งนักปราชญ์และปุโรหิต ทั้งบัณฑิตและชาวเมือง มีศรัทธาเฮืองพร่ำพร้อม
ใจอ่อนน้อมในธรรม บางพ่อมีเงินคำ ตามแต่ได้ บางพ่อมีดอกไม้และเผิ้งเทียน
ใจเสถียรชมชื่นยายื่นพร้อมกันมา มีดีลาและเมี่ยงหมาก หลายหลาก
พร้อมอาหารมีเครื่องหวานเป็นเค้า คือว่าข้าวต้มและข้าวหนมประสมกับข้าวมธุปายาส
ข้าวปาดและข้าวมัน สัพพะสรรพปิ้งจี่ หมกมอกหมี่แกมแกง
เป็นของแพงอันประณีตแซบซ้อยจืดเพิงใจ มโนมัยตกแต่ง
พร้อมกันแล้วจึงนำมาถวายบูชาเลิศแล้ว แต่พระแก้วเจ้าทั้งสาามในอาฮามข่วงเขต
ถวายแด่เจ้ากูตนวิเศษ ก็หารแล้วบรบวน
บัด
นี้ฝูงข้าทั้งหลาย จึงประมวลมายังเครื่องบูชาทั้งหลาย 2 ประการ คือ อามิสบูชา
และขันธบูชาภายในและภายนอก บูชาภายในคือจิตใจและขันธ์ทั้งห้า
แห่งฝูงข้าทั้งหลายภายนอกนั้นคือ ข้าวตอก
ดอกไม้และธูปเทียนอันฝูงข้าทั้งหลายได้ตั้งใจเลียนตั้งไว้ช่องหน้าแล้ว
ก็จึงอธิษฐาน ให้เป็น 5 โกฏฐาส ปฐมโกฏฐาสถ้วนหนึ่งนั้น ฝูงข้าทั้งหลาย
ขอถวายสมมาบูชาแต่สัพพัญญเจ้า ตนเป็นเค้าโผดสัตว์โลกเนืองนอก โกฏฐานอันถ้วนสองนั้น
ฝูงข้าทั้งหลาย ขอถวายสมมาบูชาแด่นวโลกุตตรธรรมเก้าเจ้าดวงงาม
โกฏฐานอันถ้วนสามนั้น ฝูงข้าทั้งหลาย ขอถวายสมมาแต่พระอริยสงฆ์
ตนทรงศิลาอันถ้วนถี่ โกฏฐานอันถ้วนสี่นั้นฝูงข้าทั้งหลาย
ขอถวายสมมาบูชาแต่สถูปฮูปพระพุทธเจ้าและเจดีย์ ทั้งพระศรีมหาโพธิ์อันอยู่ในหมื่นโยชน์ชมพู
ดูตระการงามในมนุษย์แหล่งหล้า โกฏฐานอันถ้วนห้านั้น ฝูงข้าทั้งหลาย
ขอถวายสมมาบูชาแต่เทพบุตรเทพดาพระอินทร์ พระพรหม พญายมบาล ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่
นางน้อยนาถเมขลานางธรณีอีสูรย์เป็นเค้า อันเป็นเจ้าพสุธา
ฝูงข้าทั้งหลายบ่อาจจักนับจักคณนาได้ ลำดับต่อเลียนกันมายังโทษอันเป็นเค้า
ตราบต่อเท่าปัดนี้ก็ดี โทษอันเกิดจากการวจี มโนทวารดีถีจิตใจ
หลอนว่าได้ปากโพดและได้กล่าววาจา ได้ครหาติเตียนพระพุทธฮูปเจ้าว่าบ่งาม
องค์ฮามนั้นช่วงสูงสักสะหน่อย
องค์น้อยนั้นยังต่ำพอประมาณองค์กลางนั้นหนาบางบ่ช่อยโชติ องค์ใหญ่นั้นว่าหนาโพดบ่เสมอกัน
หลอนว่าได้ติเตียนพระจอมธรรม์ว่ามีสีอันเศร้า ขอพระพุทธเจ้าจงโผดกูณา
อย่าได้เป็นโทษานุโทษต้อง เป็นบาปต้องอยู่ในวัฏสงสาร ก็ข้าเทอญ
ประการ
หนึ่ง ฝูงข้าทั้งหลายได้ตกแต่งทาน มีทั้งเครื่องหวานและเครื่องส้ม
มีทั้งเครื่องต้มและเครื่องแกงหลอนว่ามีดำแดงตกใส่ เป็นฝุ่นไหง่ปลิวไป
เป็นของสุดวิสัยบ่ฮู้เมื่อคือว่าเชื่อใจแล้วจึ่งนำมาถวายบูชาและเคนแจกแด่
พระแก้วเจ้าทั้งสาม ในอาฮามข่วงเขตถวายแด่เจ้ากูตนวิเศษก็หากแล้วบรบวน
บัด
นี้ ฝูงข้าทั้งหลาย ทั้งตายายและเด็กน้อย ยืนละห้อยแล่นนำมา นำลุงตาและพ่อแม่
เข้าฮู้แต่เล่นและยินดีบางพ่อตีหิงตีและนางช่าวง
บางพ่องย่างไปมาตามภาษาเด็กน้อยบางพ่องไห้อิ่นอ้อยอยากกินนม
บางพ่องได้เหยียบตมเข้ามาในข่วงเขต บางพ่องปลิดหมากไม้ผลา บางพ่อปลิดอัมพวามี้ม่วง
บางพ่อเล่นเต้นส่วงหยอดไยกันโรหันตาฮ้องไห้
ได้ไม้ค้อนแล้วไล่ตีกันส่งเสียงนันในวัด บ่สงัดเมื่อฟังธรรม เป็นคลองบ่ยำและประมาท
หลอนว่าได้นั่งฮ่วมสาด และฮ่วมหนัง ได้นั่งต่าวหลังและต่าวข้าง
หลอนว่าได้ปล่อยข้างม้าและงัวควายเข้ามาในเขต ขอแก่เจ้าตนวิเศษจงอนุญาตให้
อย่าได้เป็นโทโสโทษต้องเป็นบาปข้างนำไปสุดวิสัยเมื่อจักมรมาศ ครั้นว่าคลาดคลาดแล้ว
ขอให้ได้เมื่อเมืองแก้ว ชื่อนีรพาน ก็ข้าเทอญ
จัต
ตาโร ธัมมา อันว่าธรรมทั้งสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ จงประวัตตนาการ ในขันธสันดานแห่งฝูงทั้งหลาย
ทุกตนทุกตน ก็ข้าเทอญ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับบุญผะเวส
1.
กัณฑ์เทศน์ ตามปรกติการเทศน์มหาชาติทุกกัณฑ์
จะต้องมีชาวบ้านเป็นเจ้าภาพจัดเครื่องกัณฑ์มาถวายกัณฑ์หนึ่ง ๆ อาจมีหลาย ๆ
คนช่วยกันจัดร่วมกัน หรือต่างคนต่างจัดกัณฑ์มาก็ได้กัณฑ์เทศน์นอกจากปัจจัยไทยทาบต่าง
ๆ แล้ว ยังมีเทียนตามจำนวนคาถาของแต่ละกัณฑ์ด้วย
จำนวนเทียนคาถาของแต่ละกัณฑ์ได้กล่าวไว้แล้วข้างตน ซึ่งเมื่อรวมทุกกัณฑ์แล้ว
จะมีเทียนคาถาหนึ่งพันพอดี เมื่อเวลาพระที่ตนรับกัณฑ์ขึ้นเทศน์ เจ้าภาพก็จะจุดเทียนคาถา
หว่านข้าวตอกข้าวสารตามประเพณี ในระหว่างเทศน์บางทีมีการถวายกัณฑ์เพิ่มเติม
เรียกว่า "กัณฑ์แถมสมภาร" คือถึงบทใดกัณฑ์ใดที่พระเทศน์ดีมีเสียงไพเราะ
มีเนื้อความกินใจ ผู้ฟังจะถวายแถมกัณฑ์ให้แล้วแต่ศรัทธาของผู้ฟัง
ส่วนใหญ่จะถวายเป็นเงิน เมื่อเทศน์จบจะเอาเงินที่แถมสมภารนี้ไปถวายรวมกับปัจจัยกัณฑ์เทศน์ด้วยเมื่อ
เทศน์จบกัณฑ์หนึ่ง ๆ มีการตีฆ้องเป็นสัญญาณ
2.
เทศน์แหล่ คือ ทำนองเทศน์เล่นเสียงยาว ๆ คล้ายทำนองลำยาว
มีการเล่นลูกคอและทำเสียงสูงต่ำเพื่อให้เกิดความไพเราะ เรื่องมหาชาตินี้
ที่นิยมเทศน์แหล่ได้แก่ กัณฑ์มัทรี
กัณฑ์มหาราชหรือนครกัณฑ์การเทศน์แหล่จะนิมนต์พระที่เสียงดีมาเทศน์คั่นกลาง
เพื่อช่วยให้ผู้ฟังเกิดความไพเราะซาบซึ้ง ไม่เกิดการเบื่อหน่ายที่ต้องฟังเทศน์นาน
ๆ การเทศน์แหล่นี้บางแห่งก็ไม่มีเทศน์กัน
3.
ฮีตสิบสอง คือจารีตประเพณี 12 เดือนของคนอีสาน ซึ่งมีวัฒนธรรมประจำชาติและประจำท้องถิ่น
มาแต่โบราณกาล คำว่า ฮีต มาจากคำภาษาบาลีที่ว่า จารีต ตะ แปลว่า ธรรมเนียม
แบบแผนความประพฤติ ที่ดีงามปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณี ฮีต นั้นมี 12
ประการ เท่ากับ 12 เดือนใน 1 ปี ตามระบบจันทรคติหรือพูดอีกนัยคือ การทำบุญ 12
เดือน
ฮีตที่
1 บุญเข้ากรรม ภิกษุต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ต้องอยู่กรรมถึงจะพ้นอาบัติ
ญาติโยมแม่ออกแม่ตน ผู้อยากได้บุญกุศลก็จะให้ไปทาน รักษาศีลฟังธรรมเกี่ยวกับการเข้ากรรมของภิกษุ
เรียกว่าบุญเข้ากรรม กำหนดเอาเดือนเจียงเป็นเวลาทำ จะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้
วันที่นิยม ทำเป็นส่วนมากคือวันขึ้น 15 ค่ำ
เพราะเหตุมีกำหนดให้ทำในระหว่างเดือนเจียง จึงเรียกว่าบุญเดือนเจียง
ฮีตที่
2 บุญคูนข้าว หรือ บุญคูนลาน ลานคือ ที่สำหรับตีหรือนวดข้าว
การเอาข้าวที่ตีแล้วมากองให้สูงขึ้น เรียกว่า คูนลาน หรือที่เรียกกันว่าคูนข้าว
ชาวนาที่ทำนาได้ผลดี อยากได้กุศล ให้ทานรักษาศีล เป็นต้น
ก็จัดเอาลานข้าวเป็นสถานที่ทำบุญ การทำบุญในสถานที่ดังกล่าวเรียกว่า บุญคูนลาน
ซึ่งกำหนดเอาช่วงเดือนยี่เป็นเวลาทำบุญจึงเรียกว่าบุญเดือนยี่
ฮีตที่
3 บุญ ข้าวจี่ ข้าวจี่คือ ข้าวเหนียวปั้นโรยเกลือ ทาไข่ไก่แล้วจี่ไฟให้สุก
การทำบุญมีให้ทานข้าวจี่เป็นต้น เรียกว่าบุญข้าวจี่ นิยมทำกันอย่างแพร่หลาย
เพราะถือว่าได้กุศลเยอะ ทำในช่วงเดือนสาม เรียกว่า บุญเดือนสาม
ฮีตที่
4 บุญผะเหวด หรือ บุญเดือนสี่ บุญที่มีการเทศน์พระเวส หรือ มหาชาติ
เรียกว่าบุญเผวส(ผะ-เหวด) หนังสือมหาชาติ หรือ พระเวสสันดรชาดกแสดงถึงจริยวัตรของ
พระพุทธเจ้าคราวพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เป็นหนังสือเรื่องยาว 13 ผูก
บุญผะเหวด นิยมทำกันในช่วงเดือนสี่
ฮีตที่
5 บุญสรงน้ำ หรือ บุญเดือนห้า
เมื่อเดือนห้ามาถึงอากาศก็ร้อนอบอ้าวทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยการอาบน้ำชำระ
เนื้อกายเป็นวิธีการแก้ร้อนผ่อนให้เป็นเย็น ให้ได้รับความ สุขกายสบายใจ
อีกอย่างหนึ่งมีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีลูก
จึงไปบนบาลพระอาทิตย์และพระจันทร์เพื่อขอลูก เวลาล่วงเลยมาสามปี
ก็ยังไม่ได้ลูกจึงไปขอลูกกับต้นไทรใหญ่ เทวดาประจำต้นไทรใหญ่
มีความกรุณาได้ไปขอลูกต่อพระยาอินทร์ พระยาอินทร์ให้ธรรมะปาละกุมาร (ท้าวธรรมบาล)
มาเกิดในท้องภรรยาเศรษฐี เมื่อธรรมะปาละประสูติ เจริญวัยใหญ่ขึ้นได้เรียนจบไตรเภท
เป็นอาจารย์สอนการทำมงคลแก่คนทั้งหลาย กบิลพรหมลงมาถามปัญหาธรรมะปาละกุมาร
(ถามปัญหาสามข้อคือ คนเราในวันหนึ่ง ๆ มีศรีอยู่ที่ไหนบ้าง
ถ้าธรรมบาลตอบได้จะตัดศีรษะตนบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะ ธรรมบาลเสียดผลัดให้เจ็ดวันในชั้นแรก
ธรรมบาลตอบไม่ได้ ในวันถ้วนหก
ธรรมบาลเดินเข้าไปในป่าบังเอิญได้ยินนกอินทรีย์สองผัวเมียพูดคำตอบให้กันฟัง
ตอนเช้าศรี อยู่ ที่หน้า คนจึงเอาน้ำล้างหน้าตอนเช้า ตอนกลางวันศรีอยู่ที่อก
คนจึงเอาน้ำหมดประพรหมหน้าอกตอนกลางวันและตอนเย็นศรีอยู่ที่เท้า คนจึงเอาน้ำล้างเท้าตอนเย็น
ธรรมบาลจึงสามารถตอบคำถามนี้ได้) สัญญาว่าถ้าธรรมบาลตอบปัญหาถูกจะตัดหัวของตนบูชา
ธรรมบาลแก้ได้ เพราะศีรษะของกบิลพรหมมีความศักดิสิทธ์มาก
ถ้าตกใส่แผ่นดินจะเกิดไฟไหม้ ถ้าทิ้งขึ้นไปในอากาศฝนจะแล้ง
ถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำจะแห้ง ก่อนตัด ศีรษะ กบิลพรหมเรียกลูกสาวทั้งเจ็ดคน
เอาขันมารองรับแห่รอบเขาพระสุเมรุ หกสิบนาที
แล้วนำไปไว้ที่เขาไกรลาสเมื่อถึงกำหนดปี
นางเทพธิดาทั้งเจ็ดผลัดเปลี่ยนกันมาเชิญเอาศีรษะท้าวกบิลพรหมมาแห่รอบเขาพระ สุเมรุ
แล้วกลับไปเทวะโลก
ฮีตที่
6 บุญบั้งไฟ คือ การเอาขี้เจีย(ดินประสิว) มาประสมคั่วกับถ่าน
โขลกให้แหลกเรียกว่าหมื่อ (ดินปืน) เอาหมื่อใส่กระบอกไม้ไผ่อัดให้แน่น
แล้วเจาะรูใส่หางเรียกว่าบั้งไฟ การทำบุญมีให้ทาน เป็นต้น เกี่ยวกับการทำบ้องไฟ
เรียกว่า บุญบั้งไฟ กำหนดทำกันในเดือนหกเรียกว่าบุญเดือนหก เพื่อขอฟ้าขอฝนจากเทวดาเมื่อถึงฤดูแห่งการเพาะปลูก
ทำไร่ทำนา
ฮีตที่
7 บุญซำฮะ การชำฮะ(ชำระ)
สะสางสิ่งสกปรกโสโครกให้สะอาดปราศจากมลทินโทษหรือความมัวหมอง เรียกว่า การซำฮะ
สิ่งที่ต้องการทำให้สะอาดนั้นมี 2 อย่างคือ ความสกปรกภายนอกได้แก่ ร่างกาย
เสื้อผ้า อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย และความสกปรกภายใน ได้แก่
จิตใจเกิดความโลภมากโลภา โกรธหลง เป็นต้น
แต่สิ่งที่จะต้องชำระในที่นี้คือเมื่อบ้านเมืองเกิดข้าศึกมาราวีทำลาย
เกิดผู้ร้ายโจรมาปล้น เกิดรบราฆ่าฟันแย่งกันเป็นใหญ่ผู้คนช้างม้า วัวควายล้มตาย
ถือกันว่าบ้านเดือดเมืองร้อนชะตาบ้านชะตาเมืองขาด จำต้องซำฮะให้หายเสนียดจัญไร
การทำบุญมีการรักษาศีลให้ทานเป็นต้นเกี่ยวกับการซำฮะนี้เรียกว่าบุญซำฮะ
มีกำหนดทำให้ระหว่างเดือนเจ็ด จึงเรียกว่าบุญเดือนเจ็ด
ฮีตที่
8 บุญเข้าวัดสา (เข้าพรรษา)
การอยู่ประจำวัดวัดเดียวตลอดสามเดือนในฤดูฝนเรียกว่าเข้าวัดสาโดยปกติกำหนด
เอาวันแรมหนึ่งค่ำเดือนแปดเป็นวันเริ่มต้น เรียกว่าบุญเดือนแปด
ฮีตที่
9 บุญข้าวห่อประดับดิน หรือบุญเดือนเก้า
การห่อข้าวปลาอาหารและของเคี้ยวของกินเป็นห่อ ๆ แล้วเอาไปถวายทานบ้าง
ไปแขวนตามกิ่งไม้ในวัดบ้าง เรียกว่าบุญข้าวประดับดิน เพราะมีกำหนดทำบุญในเดือนก้าวจึงเรียกว่า
บุญเดือนเก้า
ฮีตที่
10 บุญข้าวสาก
การเขียนชื่อใส่สลากให้พระภิกษุและสามเณรจับและเขียนชื่อใส่ภาชนะข้าวถวาย
ตามสลากนั้นและทำบุญอย่าอื่นมีรักษาศีลฟังธรรม เป็นต้น เรียกว่าบุญข้าสาก (สลาก )
เพราะกำหนดให้ทำในเดือนสิบ จึงเรียกว่าบุญเดือนสิบ
ฮีตที่
11 บุญออกวัดสา (ออกพรรษา) การออกจากเขตจำกัดไปพักแรมที่อื่นได้เรียกว่า ออกวัดสา
คำว่าวัดสาหมายถึงฤดูฝน ในปีหนึ่งมี 4 เดือน คือ
ตั้งแต่วันแรมสี่ค่ำเดือนแปดถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ในระยะ สี่เดือนสามเดือนต้น
ให้เข้าวัดก่อน เข้าครบกำหนดสามเดือนแล้วให้ออก
อีกเดือนที่เหลือให้หาผ้าจีวรมาผลัดเปลี่ยนการทำบุญมีให้ทานเป็นต้น
เรียกว่าการทำบุญเดือนสิบเอ็ด
ฮีตที่
12 บุญกฐิน ผ้าที่ใช้ไม้สะดึงทำเป็นขอบซึ่งเย็บจีวร เรียกว่าผ้ากฐิน
ผ้ากฐินนี้มีกำหนดเวลาในการถวายเพียงหนึ่งเดือนคือตั้งแต่ แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด
ถึง เพ็ญสิบสอง เพราะกำหนดเวลาทำในเดือน 12 จึงเรียกว่าบุญเดือนสิบสอง
4.คองสิบสี่ หมายถึง ครรลองหรือข้อกติกาของสังคมอีสาน
14 ประการที่ยึดถือปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม มีดังนี้
4.1
เมื่อได้ข้าวใหม่หรือผลหมากรากไม้
ให้บริจาคทานแก่ผู้มีศีลแล้วตนจึงบริโภคและแจกจ่ายแบ่งญาติพี่น้องด้วย
4.2
อย่าโลภมาก อย่าจ่ายเงินแดงแปงเงินคว้าง และอย่ากล่าวคำหยาบช้ากล้าแข็ง
4.3
ให้ทำป้ายหรือกำแพงเอือนของตน แล้วปลูกหอบูชาเทวดาไว้ในสี่แจ(มุม)บ้านหรือแจเฮือน
4.4
ให้ล้างตีนก่อนขึ้นเฮือน
4.5
เมื่อถึงวันศีล 7-8 ค่ำ 14-15 ค่ำ ให้สมมาก้อนเส้า สมมาคีงไฟ สมมาขั้นบันได
สมมาผักตู (ประตู) เฮือนที่ตนอาศัยอยู่
4.6
ให้ล้างตีนก่อนเข้านอนตอนกลางคืน
4.7
ถึงวันศีล ให้เมียเอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมมาสามี แล้วให้เอาเอาดอกไม้ไปถวายสังฆเจ้า
4.8
ถึงวันศีลดับ ศีลเพ็ง ให้นิมนต์พระสงฆ์มาสูดมนต์เฮือน แล้วทำบุญตัก บาตร
4.9
เมื่อภิกษุมาคลุมบาตร อย่าให้เพิ่นคอย เวลาใส่บาตรอย่าซุน (แตะ) บาตร
อย่าซูนภิกษุสามเณร
4.10
เมื่อภิกษุเข้าปริวาสกรรม ให้เอาขันขันข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน
และเครื่องอัฐบริขารไปถวายเพิ่ม
4.11
เมื่อเห็นภิกษุ เดินผ่านมาให้นั่งลงยกมือไหว้แล้วจึงค่อยเจรจา
4.12
อย่าเงียบเงาพระสงฆ์
4.13
อย่าเอาอาการเงื่อน (อาหารที่เหลือจากการบริโภค) ทานแก่สังฆเจ้าและอย่าเอาอาหารเงื่อนให้สามีตัวเองกิน
4.14อย่าเสพกามคุณในวันศีล
วันเข้าวัดสา วัดออกพรรษา วันมหาสงกรานต์และวันเกิดของตน (พระครูพิมลธรรมภาณ ดร.มานพ
ปาละพันธ์)
5.
ตัวละครในเรื่องพระเวสสันดรชาดก
5.1
พระเวสสันดร พระเวสสันดร เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก มีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น หน่อพระชินศรีโมลีโลก สมเด็จพระบรมนราพิสุทธิ์พุทธางกูร พระบรมราชพุทธพงศ์ หน่อพระชินศรี สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์
บรมนราธิบดินทร์ปิ่นสกลอาณาจักรจอมพิภพสีพี
สมเด็จพระบาทบรมบพิตรพิชิตโมลี
หน่อพระพิชิตมาร
สมเด็จพระวิสุทธิพงศ์ภูวนาถ
สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์บุรุษรัตนพิเศษเพสสันดร สมเด็จพระปุริโสดมบรมโพธิสัตว์
สมเด็จพระมหาวิสุทธิสมมุติเทพพงศ์สมเด็จพระบรมหน่อนรารัตน์ภิเษก
สมเด็จพระบรมปิ่นเกล้าเจ้าธรณีธรรมมิกธิเบศ
พระราชฤาษีสีวีวรนเรศเวสสันดร บพิตรพุทธพงศ์ทิชากร
สมเด็จบรมบาทบพิตรพิชิตพิชัยเฉลิมชาวเชตุดรราชธานี องค์สมเด็จพระชินวงศ์วรราช พระบรมราชฤาษี
พระมหาบุรุษราชชาติอาชาไนยเชื้อชินวงศ์ สมเด็จพระราชสมภาร สมเด็จพระมิ่งโมลีโลกุตมาภิเษกเอกอัครมกุฎวิสุทธิสรรเพชญพงศ์ สมเด็จพระบรมหน่อสรรเพชญ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีวิสุทธิเทพวงศ์ พระบรมหน่อสรรเพชญโพธิพงศ์ สมเด็จบรมขัตติยาธิบดินทร์อสัมภินวงศ์เวสสันดรมหาราช
เป็นต้น
พระเวสสันดรเป็นพระโอรสของพระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพีมีอุปนิสัยและพฤติกรรมที่สำคัญคือ
การบริจาคทานพระราชกุมารเวสสันดรทรงบริจาคทานตั้งแต่ เกิด ครั้นพระชนมายุ ได้ 4- 5
ชันษาทรงปลดปิ่นทองคำและเครื่องประดับเงินทองแก้วเพชรให้แก่นางสนมกำนัลทั่วทุกคนถึง
9 ครั้งเพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณในภายภาคหน้า ครั้นเจริญชันษาได้ 8
ปีก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่าจะบริจาคเลือดเนื้อและดวงหทัยเพื่อมุ่งพระโพธิญาณในกาลข้างหน้าอย่างแน่วแน่
เมื่อมีพระชนมายุ
16 พรรษาก็แตกฉานในศิลปวิทยา 18
แขนงได้เสวยราชสมบัติและอภิเษกกับพระมัทรีตระกูลมาตุลราชวงศ์มีพระราชโอรสและพระราชธิดาคือพระชาลีกุมารและพระกัณหากุมารีพระองค์ยินดีในการให้ทาน
ได้ตั้งโรงทานถึง 6 แห่งในพระนครและเสด็จออกทอดพระเนตรการให้ทานอยู่เป็นเนืองนิจ
ครั้งหนึ่งทูตของกลิงคราษฎร์มาทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ช้างเผือกคู่บารมี
ซึ่งเป็นช้างมงคลถ้าไปอยู่ที่ใด ที่นั่นฝนจะตกต้องตามฤดูกาล พระองค์ก็ทรงบริจาคให้
ชาวเมืองสีพีพากันโกรธเคืองต่างมาชุมนุมกันที่หน้าพระลานร้องทุกข์ต่อพระเจ้ากรุงสญชัยว่า
พระเวสสันดรยกพระยาคชสารคู่บ้านคู่เมืองให้คนอื่นผิดราชประเพณี
เกรงว่าต่อไปภายหน้าอาจยกเมืองให้คนอื่นก็ได้ขอให้เนรเทศพระเวสสันดรออกไปเสียจากเมือง
พระเจ้ากรุงสญชัยมิรู้จะทำประการใดจึงต้องยอมทำตามคำเรียกร้องของประชาชน
ก่อนที่พระเวสสันดรพระนางมัทรี
พระชาลี และพระกัณหาจะเดินทาง ก็ได้บริจาคสัตตสดกมหาทาน คือการให้ทานช้าง ม้า โคนม
รถม้า นารี ทาส ทาสี รวม 7 สิ่ง สิ่งละ 700
แล้วทรงรถเทียมม้าเสด็จออกนอกเมือง
ระหว่างทางมีพราหมณ์มาดักรอขอราชรถ
พระเวสสันดรก็บริจาคให้แล้วทุกพระองค์ก็เสด็จโดยพระบาทเดินทางมุ่งเข้าป่าจนกระทั่งถึงสระบัวใหญ่เชิงเขาวงกตซึ่งเทวดาเนรมิตไว้แล้วผนวชเป็นฤาษีบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่นั่น
เมื่อพระเวสสันดรบำเพ็ญพรตอยู่ที่เขาวงกตชูชกได้เดินทางไปขอสองกุมารไปเป็นทาสี
พระเวสสันดรก็ทรงบริจาคให้
พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์ไปทูลขอพระมัทรีก็ทรงบริจาคให้ซึ่งนอกจากจะทรงบริจาคทานที่แสดงถึงการเสียสละอันเป็นพฤติกรรมสำคัญในเรื่องแล้ว พระองค์ยังมีความเมตตา มีความมานะอดทนต่อความยากลำบากต่างๆในที่สุดพระเจ้ากรุงสญชัย
พระนางผุสดีพระชาลีและพระกัณหาก็เสด็จยกกองทัพมารับพระเวสสันดรและพระมัทรีกลับไปครอบครองบ้านเมืองดังเดิม
การที่พระเวสสันดรบำเพ็ญบารมีโดยการบริจาคทานอยู่เป็นนิจแสดงถึงความเป็นผู้มีจิตใจดีงาม
มีความเมตตากรุณาและการอดทนอดกลั้นอารมณ์โกรธได้ซึ่งส่งผลดีต่อตนเองคือทำให้ไม่ว้าวุ่นใจแต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ยังคงมีความปรารถนาเหมือนกับบุคคลทั่วไปเช่นกัน
5.2
พระนางมัทรี เป็นตัวละครประกอบอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกมีชื่อเรียกต่างๆกัน
เช่น พระสุณิสาศรีสะใภ้ นางแก้วกัลยาณี พระยอดเยาวอนงค์องค์อัคเรศราชนารี
องค์สมเด็จพระชนนีศรีสุนทรราชสุณิสา พระยุพยงเยาวดี เป็นต้น
พระนางมัทรี เป็นพระราชธิดาแห่งกษัตริย์มัทราช อภิเษกสมรสกับพระเวสสันดร
มีพระโอรสชื่อพระชาลีและมีพระธิดาชื่อพระกัณหาพระนางตามเสด็จพระเวสสันดรไปยังเขาวงกต
แม้จะถูกพระเจ้ากรุงสญชัยทัดทาน แต่ด้วยความจงรักภักดีต่อพระสวามีพระนางก็ไม่ทรงยินยอม
เมื่อพระนางมัทรีตามเสด็จไปเขาวงกต พระนางได้ปฏิบัติต่อพระสวามีและสองกุมาร
คือลุกขึ้นแต่เช้า กวาดพื้นบริเวณอาศรม ตั้งน้ำดื่ม
จัดน้ำสรงพระพักตร์จัดสถานที่ให้เป็นระเบียบและเข้าป่าหาผลไม้ทุกวัน
พระนางได้ปรนนิบัติรับใช้และทำตามหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
พระนางมัทรีเป็นแบบฉบับของนางในวรรณคดีที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติต่างๆทั้งการเป็นแม่ที่ประเสริฐของลูก
และการเป็นภรรยาที่ดีของสามี
คือมีความอ่อนน้อม นอบน้อม
และอดทนเป็นภรรยาแม่แบบผู้มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรของสามีสนับสนุนเป้าหมายชีวิตอันประเสริฐที่พระสวามีได้ตั้งไว้
เป็นแบบอย่างของภรรยาตามทัศนะของคนตะวันออก เช่น ปฏิบัติดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร
และมีคุณธรรมสำคัญคือ ซื่อตรง จงรัก และหนักแน่นต่อสามีพระนางมีความนับถือเชื่อฟัง
และจงรักภักดี เมื่อพระเวสสันดรกล่าวเชิงบริภาษพระนาง พระนางก็ทูลชี้แจง แม้พระเวสสันดรแกล้งบริภาษเชิงหึง พระนางมัทรีก็โต้ตอบด้วยถ้อยคำนิ่มนวล
กล่าวชี้แจงความบริสุทธิ์และทูลขอประทานโทษต่อสามี
แสดงถึงความมีวัฒนธรรมและจริยวัตรอันงดงามของนางกษัตริย์ มิได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงผิดกุลสตรีและผิดธรรมเนียมแบบอย่างของภรรยาที่ดี
แม้เมื่อพระเวสสันดรประทานสองกุมารแก่ชูชกเป็นบุตรทานพระนางมัทรีก็พลอยอนุโมทนาด้วยแสดงถึงความดีงามของพระนาง
ที่ทรงมีน้ำพระทัยศรัทธาในการบริจาคทานเช่นเดียวกับพระเวสสันดร
เมื่อพระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์มาทูลขอพระมัทรีต่อพระเวสสันดร และพระเวสสันดรพระราชทานให้
พระนางก็อยู่ในพระอาการปกติเพราะทรงเชื่อพระทัยว่าพระเวสสันดรทรงเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงยอมตามพระราชอัธยาศัยและที่สุดพระอินทร์ก็ทรงคืนพระนางต่อพระเวสสันดรดังเดิม
เมื่อกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยไปถึงสระมุจลินท์
พระเวสสันดรคาดว่าเป็นกองทัพของศัตรูจะตามมาทำร้าย
แต่พระมัทรีทรงสังเกตทราบว่าเป็นกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยและทูลให้พระเวสสันดรทราบ
พระนางมัทรีรักและเลี้ยงดูลูกด้วยความทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่และให้ความอบอุ่นแก่ลูกเมื่อพระนางมัทรีพลัดพรากจากสองกุมารก็เที่ยวค้นหาพระลูกรักแต่ไม่พานพบได้แสดงถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก
พระนางมัทรีกลับชาติมาเกิดคือพระนางยโสธราพิมพา
พระมารดาพระราหุล
5.3
พระชาลี เป็นตัวละครประกอบอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกมีชื่อเรียกต่างๆ
เช่น พ่อสายใจ พ่อหน่อน้อยภาคิไนยนาถ เป็นต้น
พระชาลีเป็นพระราชโอรสของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีเป็นพระเชษฐาของพระกัณหา พระนัดดาของพระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดีเมื่อเวลาประสูติพระประยูรญาติได้ทรงนำตาข่ายทองมารองรับ จึงได้รับพระราชทานนามว่า ชาลี แปลว่าผู้มีตาข่าย
เมื่อพระเวสสันดรทรงถูกเนรเทศออกจากเมือง
พระกัณหาและพระชาลีได้โดยเสด็จด้วยขณะที่ชูชกไปทูลขอพระกุมารทั้งสอง ชูชกได้ขู่พระกุมารตั้งแต่แรกเห็น พระกุมารทั้งสองจึงเกรงกลัวชูชกมาก
ครั้นทรงทราบว่าพระบิดาประทานพระองค์ให้แก่ชูชกจึงหนีไปซ่อนองค์ในสระบัวเมื่อพระบิดาตรัสเรียกพระชาลีก็ขึ้นจากสระโดยคิดว่าจักให้พระบิดาเรียกถึงสองครั้งมิบังควร
พระเวสสันดรทรงกำหนดค่าของพระชาลีเท่ากับพันตำลึงทองและทรงหลั่งน้ำยกพระกุมารให้แก่ชูชก
ชูชกนำพระกุมารทั้งสองออกจากเขาวงกต รอนแรมมาได้ประมาณ 60 โยชน์
ครั้นตกกลางคืนก็เอาเถาวัลย์ผูกพระกุมารไว้ส่วนชูชกขึ้นไปนอนบนคาคบไม้ตลอดทางเทวดาก็ช่วยบำรุงรักษามิให้มีอันตรายมาแผ้วพานและดลใจให้ชูชกเดินทางไปทางกรุงสีพี ได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุง
สญชัยเมื่อชูชกกราบทูลว่าพระเวสสันดรทรงประทานพระโอรสและพระธิดาให้หมู่อำมาตย์ก็พากันติเตียนพระเวสสันดรว่าน้ำพระทัยดีเกินไปเมื่อประทับในเมืองก็พระราชทานช้างแก้ว
ครั้นประทับ ณ เขาวงกตก็ประทานโอรสธิดาอีก
พระชาลีแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระบิดา
ทรงแก้ข้อกล่าวหาของเหล่าอำมาตย์ที่ดูหมิ่นพระเวสสันดรในการบริจาคทานพระราชกุมารทั้งสอง
พระชาลีทรงมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีคารมคมคาย
เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัยตรัสเรียกให้มาประทับร่วมพระอาสน์
พระชาลีกราบทูลว่าเป็นข้าของชูชกมิบังอาจไปใกล้ชิดได้ด้วยเกรงว่าพระองค์จะมัวหมอง
พระเจ้ากรุงสญชัยเมื่อได้ยินคำตัดพ้อของพระชาลีจึงทรงไถ่ถอนให้พ้นจากการเป็นทาสและยังพระราชทานปราสาท
7 ชั้น ให้แก่ชูชกอีกด้วยและรับสั่งให้จัดพิธีสมโภชรับขวัญพระกุมารทั้งสอง
เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัยตรัสถามถึงพระเวสสันดรและพระมัทรีพระชาลีก็กราบทูลถึงความทุกข์ที่ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับและตัดพ้อพระอัยกาว่าพระโอรสพระองค์ยังไม่ทรงรักจะมารักพระนัดดาได้อย่างไร
พระเจ้ากรุงสญชัยจึงตรัสขอโทษพระชาลีและทรงยอมรับว่าเป็นความผิดของพระองค์เองที่ทรงเชื่อผู้อื่นขับไล่พระเวสสันดรไปและรับสั่งให้พระชาลีไปทูลเชิญเสด็จกลับพระนคร
พระชาลีกราบทูลว่าพระองค์ยังเป็นพระกุมารคำกล่าวจะไม่มีน้ำหนัก
พระเวสสันดรอาจจะไม่ทรงเชื่อและไม่เสด็จกลับพระนคร พระเจ้ากรุงสญชัยจึงเสด็จไปรับพระเวสสันดรยังเขาวงกตโดยมีพระชาลีทรงช้างปัจจัยนาคที่พรามหณ์เมืองกลิงคราษฎร์นำมาถวายคืน
พระชาลีทรงมีสถานะเป็นพระโอรสของพระเวสสันดร ทรงมีความกตัญญูเป็นเลิศ
ทรงยอมเป็นบุตรทานให้พระบิดาทรงบริจาคแก่ชูชกเพื่อให้พระบิดาได้สำเร็จพระโพธิญาณค้นพบทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏ และเมื่ออำมาตย์กล่าวดูแคลนพระบิดา ก็ทรงแก้ต่างแทนพระบิดาให้อำมาตย์เหล่านั้นได้เห็นกระจ่างถึงความจริงในตัวพระบิดาแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณบุพการีของพระชาลีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นบิดามารดาของตนในทางที่ไม่เป็นจริงเป็นผู้ที่สามารถประพฤติตนได้เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ และรู้จักกาล รู้ว่าเวลาไหนควรปฏิบัติตนอย่างไร
เป็นต้น
พระชาลีกลับชาติมาเป็นพระราหุล
เป็นสามเณรรูปแรกของพุทธศาสนาเมื่อบวชเป็นภิกษุแล้วบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้ใคร่ในการศึกษาท่านนิพพานก่อนพระพุทธองค์
ก่อนพระสารีบุตร ก่อนพระโมคคัลลานะ
ดับขันธปรินิพพานที่บัณทุกัมพลศิลาอาสน์ ณดาวดึงส์เทวโลก
5.4
พระกัณหา หรือ กัณหาชินา
เป็นตัวละครประกอบอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกเป็นพระธิดาของพระเวสสันดรและพระนางมัทรี
เป็นพระนัดดาของพระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดี และเป็นพระกนิษฐาของพระชาลี
พระกัณหาเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้พระเวสสันดรได้บำเพ็ญบุตรทานบารมีซึ่งเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถทำได้
นอกจากมหาบุรุษผู้ทรงหวังพระโพธิญาณเท่านั้นดังที่พระเวสสันดรทรงตรัสว่า
“พระลูกเอ๋ย
เจ้าไม่รู้หรือพระบิตุรงค์บรรจงรักพระโพธิญาณ
หวังจะยังสัตว์ให้ข้ามห้วงมหรรณพภพสงสารให้ถึงฟากเป็นเยี่ยงอย่างยอดยากที่จะข้ามได้”
พระกัณหาเป็นผู้ที่มีความกตัญญูเชื่อฟังคำสั่งสอนและมีความเฉลียวฉลาด
ได้ติดตามพระเวสสันดรและพระมัทรีไปยังเขาวงกต
เมื่อถูกยกให้แก่ชูชกก็หาทางหลบหนี เช่น
“สองเจ้าก็วิ่งวนถึงมงคลสระศรี สองกุมารกุมารีทรงผ้าคากรองเข้าให้มั่นคง แล้วเสียรอยถอยหลังลงสู่สระศรี เอาวารีมาบังองค์ เอาใบบุษบงมาบังพระเกศ
หวังจะซ่อนพระบิตุเรศกับพราหมณ์ด้วยความกลัว
อยู่ในสระบัว นั้นแล”
และเมื่อพระเวสสันดรตรัสเรียกโดยกล่าวว่า “…ไยเจ้าไม่องอาจยอมย่อท้อทิ้งพระบิดา
ให้พราหมณ์มันจ้วงจาบหยาบช้าเจ้าเห็นชอบอยู่แล้วหรือหนาพ่อสายใจ…”
ทั้งสองกุมารก็ขึ้นจากสระมาแต่โดยดี
พระกัณหาเป็นผู้ว่าง่ายถึงคนคนนั้นจะดีหรือไม่ดีต่อตนก็ตามก็ยังเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ขัดขืน และยังมีน้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ
เป็นผู้ที่เข้าใจในเจตนาของพระเวสสันดรที่เสียสละเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากแม้การเสียสละนั้นจะทำให้ตนเองลำบากก็พร้อมที่จะเข้าใจเหตุผลความจำเป็นที่ตนต้องเสียสละพระนางกัณหากลับชาติมาเป็นพระอุบลวรรณาเถรี
ชำนาญในการแสดงฤทธิ์ต่างๆ
ได้รับตำแหน่งในทางเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่ายผู้มีฤทธิ์และเป็นอัครสาวิกาฝ่ายซ้าย
5.5
ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) เป็นตัวละครประกอบอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
เป็นพระราชสวามีของพระนางผุสดีขณะสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนามเรียกต่างๆเช่น โกสีย์ อมรินทร์
ศักรินทร์ วัชรินทร์ เทวราช จอมสิเนรุราช ตรีเนตร เทวราชสุราธิบดี พัชรินทรเทวราช
มัฆวาน สมเด็จบรมสุราฤทธิ์
เทวราชสุราธิบดี เพชรปาณี ทิพยจักษุเทเวศร์ ท้าวพันตา สหัสจักษุเทเวศร์ สหัสนัยน์
สหัสเนตร สหัสภานุมาศ สุชัมบดี เป็นต้น
ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์เป็นตัวละครที่เป็นตัวเชื่อมเหตุการณ์ต่างๆภายในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกให้เนื้อหามีความต่อเนื่องกัน
คอยช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
และยังเป็นผู้ดลบันดาลให้ตัวละครต่างๆได้มาพบกันด้วย
บทบาทของท้าวสักกเทวราชมีอยู่ในเรื่องเวสสันดรชาดกเกือบทุกกัณฑ์
ตั้งแต่กัณฑ์ทศพร พระนางผุสดีจะจุติจากสวรรค์ได้ขอประทานพร
10 ประการ กัณฑ์หิมพานต์ทรงรำพึงถึงพระพรที่ประสาทให้แก่พระนางผุสดีว่า
พระพรทั้งเก้าก็ได้สำเร็จยังแต่พระลูกแก้วที่พระนางปรารถนา
พระองค์ก็เห็นควรจะประสิทธิ์ให้ กัณฑ์วนประเวศน์
ทรงสั่งให้พระเวสสุกรรมเทพบุตรมานิมิตบรรณศาลา 2หลัง ที่จงกรม 2
หลังกับที่พักกลางวันและกลางคืนพร้อมด้วยเครื่องบรรพชิตบริขารทุกประการ กัณฑ์มัทรี ทรงสั่งให้เทวดาจำแลงเป็นสัตว์ร้าย 3
ชนิดนอนขวางทางพระนางมัทรีไม่ให้เสด็จตามไปทันสองกุมาร กัณฑ์สักกบรรพ
นิรมิตองค์เป็นพราหมณ์เข้าไปทูลขอพระมัทรีเพื่อว่าเมื่อประทานให้แล้วจะถวายคืนให้พระนางได้อยู่ปฏิบัติรับใช้ต่อไป
กัณฑ์ฉกษัตริย์
หกกษัตริย์ทรงกันแสงจนสลบไปทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา
หกกษัตริย์ต่างก็ฟื้นคืนสมปฤดี พระอินทร์เป็นเทพที่มีจิตใจดีมีความเมตตากรุณา
เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมชอบช่วยเหลือคนดีมีคุณธรรมที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก
และทรงเป็นผู้มองการณ์ไกล
ทรงเล็งเห็นว่าพระเวสสันดรมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณในอนาคตกาลจึงทรงคอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้พระเวสสันดรทรงสมปรารถนาอยู่เสมอ
ตัวอย่างของความมีจิตใจดีมีเมตตากรุณาเช่นในกัณฑ์ทศพรและกัณฑ์หิมพานต์
ทรงเมตตาประทานพร 10
ประการให้ตามที่พระนางผุสดีขอและยังพรนั้นให้สำเร็จตามที่พระนางปรารถนา
ส่วนในกัณฑ์ฉกษัตริย์ก็ทรงบันดาลฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมาประพรมให้กษัตริย์ทั้งหกฟื้นคืนสมปฤดี
ความเป็นเทพที่คอยปกป้องคุ้มครองคอยช่วยเหลือบุคคลที่ทำแต่ความดีที่เดือดร้อนในโลกมนุษย์
เช่นในกัณฑ์วนประเวศน์ได้ช่วยเหลือพระเวสสันดร พระนางมัทรี
พระกัณหาและพระชาลีในระหว่างเดินทางไปยังเขาวงกตและเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตก็พบพระอาศรมที่ได้ให้พระวิศนุกรรมมาเนรมิตไว้ให้
ความเป็นเทพที่มีความคิดละเอียดรอบคอบเช่นสั่งให้เทวดาจำแลงเป็นสัตว์ร้าย
3 ชนิด คือราชสีห์ เสือเหลือง
และเสือโคร่งนอนขวางทางพระนางมัทรีเพื่อไม่ให้พระนางตามไปขัดขวางการบริจาคปุตตทานของพระเวสสันดรได้ในกัณฑ์มัทรี และในกัณฑ์สักกบรรพพระองค์ก็ทรงเกรงว่าจะมีผู้อื่นมาขอพระนางมัทรีจึงแปลงองค์เป็นพราหมณ์มาทูลขอพระนางเสียก่อน
เมื่อพระเวสสันดรประทานให้
พระอินทร์ทรงอนุโมทนาแล้วก็ถวายคืนพร้อมทั้งแสดงองค์ให้ปรากฏและพระราชทานพร8
ประการแก่พระเวสสันดรด้วย
รวมความว่าพระอินทร์คอยช่วยเหลือพระเวสสันดรตลอดเรื่องเช่น ไม่ให้พระเวสสันดรวิบัติ
ไม่ให้พระเวสสันดรขัดข้อง ไม่ให้พระเวสสันดรต้องกังวล ให้พระเวสสันดรบรรลุผลดังปรารถนา
ท้าวสักกเทวราชกลับชาติมาเกิดเป็นพระอนุรุทรเถระเป็นผู้ไม่รู้จักคำว่า
ไม่มี
และไม่ได้บวชด้วยศรัทธาแต่บวชเพราะเกรงใจเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหัต์แล้วได้รับยกย่องว่าเป็นเอตคัคคะทางผู้มีทิพยจักษุญาณเป็นปฐมเหตุประเพณีทอดผ้าบังสุกุล
หรือทอดผ้าป่า นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ในหมู่บ้านเวฬุวะ แคว้นวัชชี
5.6
พระนางผุสดี เป็นตัวละครอยู่ในวรรณคดีเรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
เดิมเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมราชชื่อสุธัมมา
ต่อมาได้บังเกิดเป็นอัครมเหสีของสมเด็จพระอมรินทราธิราชชื่อผุสดี
เมื่อจุติจากสวรรค์ได้ถือกำเนิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัททราช
ครั้นเจริญวัยก็ได้อภิเษกเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยและเป็นพระมารดาของพระเวสสันดร
พระนางผุสดีธิดากษัตริย์มัททราช
มเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งกรุงสีพีราษฎร์และพระมารดาของพระเวสสันดรนั้น
เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมราชแห่งพันธุมดีนครทรงได้รับพระราชทานแก่นจันทน์แดงจากพระราชบิดาจึงได้นำไปบดใส่ผอบทองและถวายแด่พระวิปัสสิสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งอธิษฐานว่าขอให้ได้เป็นพุทธมารดาในอนาคต
ด้วยกุศลผลบุญนี้ทำให้พระนางได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ เป็นพระมเหสีของพระอินทร์
ครั้นเมื่อถึงกำหนดจะจุติจากสวรรค์ก็ได้รับพระราชทานพร 10
ประการจากพระอินทร์ด้วย
พระนางผุสดีมีอุปนิสัยรักสวยรักงามเช่นในพรที่ขอจากพระอินทร์ส่วนมากก็จะยึดติดกับรูปกายภายนอก
เช่น ขอให้ดวงเนตรทั้งสองมีสีดำประดุจดวงตาลูกเนื้อทราย ขอให้มีพระขนงเขียวดุจสร้อยคอนกยูง ขออย่าให้มีพระครรภ์ปรากฏนูนดังสตรีสามัญ
ขออย่าให้พระถันทั้งคู่ดำในเวลาทรงครรภ์และเมื่อประสูติแล้วขออย่าให้หย่อนยาน
ขอให้เส้นพระเกศเป็นมันดุจสีปีกแมลงค่อมทอง และขอให้พระฉวีละเอียดดุจดังทองคำธรรมชาติ
ส่วนในข้อที่แสดงว่าพระนางเป็นผู้มีความเมตตากรุณาก็คือ ได้ขอพระราชทานพรให้ทรงมีอำนาจปลดปล่อยนักโทษประหารชีวิตให้พ้นโทษและในข้อที่แสดงความยึดมั่นในตำแหน่งฐานะก็คือขอให้ได้ประทับในปราสาทพระเจ้าสีวีราช
พระนางผุสดีในฐานะพระราชมารดาทรงเป็นแม่ที่รักลูก
ห่วงใยลูก เมื่อลูกมีปัญหาก็รีบหาทางช่วยแก้ไข
แต่ในฐานะของผู้ปกครองประเทศก็จะออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนประชาชนดูแลทุกข์สุขของประชาชน
และประทานเงินทองให้แก่ราษฎรส่วนในฐานะของพระอัครมเหสีก็สามารถเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้ากรุงสญชัยได้เป็นอย่างดี
พระนางผุสดีกลับชาติมาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา
5.7
พระเจ้ากรุงสญชัย เป็นพระราชาแห่งกรุงสีพีราษฎร์พระราชบิดาของพระเวสสันดร
เมื่อพระโอรสมีพระชนมายุสมควรจะสืบราชสมบัติแล้วก็ทรงสละราชสมบัติให้ทรงปกครองต่อไปพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองมากกว่าประโยชน์ส่วนพระองค์เอง
ทรงเนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมืองพร้อมด้วยพระนางมัทรี พระชาลี
และพระกัณหาเมื่อชาวเมืองมาร้องทุกข์ว่าพระโอรสทรงกระทำผิดแม้พระมเหสีจะทูลขอร้องประการใดก็มิได้คืนคำทั้งที่ทรงอาลัยรักในพระโอรสแต่ก็ทรงหักพระทัยได้เพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองและยังได้ทรงไถ่ตัวพระชาลีและพระกัณหาคืนจากชูชกด้วย
พระเจ้ากรุงสญชัยแม้จะเป็นพระมหากษัตริย์
แต่เมื่อทรงทราบว่าพระองค์เป็นผู้ผิดก็หาได้ทรงมีทิฐิไม่ ทรงขอโทษพระชาลีซึ่งเป็นพระนัดดา
ตอนรับพระเวสสันดรกลับเข้าเมืองก็ได้ตรัสขอโทษพระเวสสันดรพระเจ้ากรุงสญชัยกลับชาติมาเป็นพระเจ้าสุทโทธนะ
5.8
ชูชก เป็นผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์โภวาทิกชาติซึ่งเป็นพราหมณ์พวกที่ถือตนว่ามีกำเนิดสูงกว่าผู้อื่นมักใช้คำว่า
“โภ”แปลว่า
“ผู้เจริญ”
เป็นคำร้องเรียก
แม้ชูชกจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่ถือตนว่ามีกำเนิดสูงกว่าผู้อื่นแต่ชูชกก็ยากจนเข็ญใจยิ่ง
ต้องเที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีพ
ชูชกมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านทุนนวิฐติดกับเมืองกลิงคราษฎร์ มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดประกอบด้วยบุรุษโทษ 18
ประการ
ลักษณะนิสัยของชูชก
1. มีความตระหนี่เหนียวแน่น ขอทานได้มากเท่าไรก็เก็บไว้ไม่ยอมนำไปใช้จ่ายจนได้ถึง
100 กษาปณ์
2. มีความโลภ
เที่ยวขอทานจนมีเงินมากมายก็ยังไม่ยอมหยุดเพื่อนำเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนยังคงขอเรื่อยไป
3.
รักและหลงเมีย ยอมให้นางทุกอย่าง เช่น “ทีนี้งานการเจ้าอย่าได้ทำ
ทั้งหุงต้มตักตำตามใจเจ้าเถิดนะแม่ ขอแต่ว่ามานั่งให้พี่นี้แลๆพอให้ชื่นใจ
พี่ก็จะรับร่ำกระทำไปไม่ละเลย”
แม้รู้ว่าการเดินทางไปเฝ้าพระเวสสันดรนั้นแสนยากลำบากเพียงใด
4.
เป็นคนฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมมาก ฉลาดทั้งในด้านการพูดและกลอุบาย
-
ฉลาดในการพูด เช่น
ก่อนที่จะทูลขอสองกุมารได้ยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาเปรียบกับน้ำพระทัยของพระเวสสันดร เป็นการหว่านล้อมเสียก่อนแล้วจึงทูลขอว่า “เสมือนหนึ่งน้ำพระทัยทูลกระหม่อมแก้ว อันยาจกมาถึงแล้วไม่เลือกหน้า ตามแต่จะปรารถนาทุกยวดยานกาญจนอลงกตรถรัตน อัศวสรรพสารพัดพิพิธโภไคย จนกระทั่งถึงภายในปัญจมหาบริจาค อันเป็นยอดยากยิ่งไม่ท้อถอย ด้วยพระองค์หมายมั่นพระสร้อยสรรเพชฌดาญาณ พระคุณเจ้าเอ่ย ข้าพระราชสมภารนี้เป็นคนจนทุพพลภาพสุดเข็ญ จะหาเช้าได้กินเย็นก็ทั้งยาก
ครั้งนี้อุตส่าห์บ่ายบากบุกป่าฝ่าดงพนัสแสนกันดาร
หวังจะรับพระราชทานพระชาลีกัณหาไปเป็นทาสทาสี
ขอพระองค์ทรงยกยอดปิยบุตรทานบารมีแก่ข้าธชีนี้เถิด”
-
ฉลาดในกลอุบาย
คือเมื่อพบเจตบุตรถูกเจตบุตรขู่จะฆ่าก็แกล้งบอกว่าตนเป็นทูตจากพระเจ้ากรุงสญชัยถือพระราชสารไปยังพระเวสสันดร
โดยอ้างกล่องใส่อาหารว่าเป็นกล่องใส่พระราชสาร เจตบุตรจึงเข้าช่วยเหลือ
“เข้าประคับประคองแต่ค่อยค่อยพยุพยุงถุงย่าม
ได้ยินเสียงกรุกรักก็ทักถามว่าอะไรนั่นเจ้าข้า
ตาแกก็กลับกลักพริกกลักงาว่าใส่สาส์นตราพระราชสีห์ เจตบุตรก็ยินดียกขึ้นทูนหัว
เฒ่าก็ร้องสำทับว่ารับแต่ค่อยค่อยของมันหนักกลักนี้มิใช่ชั่วอย่าเหวี่ยงวางลงให้ราบ เจตบุตรก็ปูผ้าลงกราบกราบนึกว่าจริง”
5.
มีความละเอียดรอบคอบ
เมื่อจะจากนางอมิตตดาไป ได้หาฟืน
ตักน้ำ และซ่อมบ้านให้เรียบร้อย
ทั้งยังสั่งสอนนางให้ระวังตัวเกรงจะถูกคนพาลมารังแก
6.
มีความยึดมั่นในพิธีทางไสยศาสตร์ เช่น
“เฒ่าก็ยังอมิตตดาดรุเณศ ให้นั่งนิ่งในทักษิณประเทศสืบสายสำเนียน แล้วกระทำประทักษิณวนเวียนวงได้สามรอบ ตามฉบับระบอบไสยศาสตร์เพท
ว่าทั้งผู้อยู่ก็จะไม่มีภัยทั้งผู้ไปก็จะไม่มีเหตุ หากจะให้เจริญสุขสวัสดิ์วิเศษทั้งสองข้าง”
ชูชกเป็นตัวอย่างของคนที่ติดอยู่ในกาม
ต้องมาตกระกำลำบากในยามชราเข้าลักษณะว่า “วัวแก่กินหญ้าอ่อน” ในตำราหิโตปเทศกล่าวว่า “ความรู้เป็นพิษเพราะเหตุไม่ใช้ ปราสาทเป็นพิษเพราะคนเข็ญใจ อาหารเป็นพิษเพราะไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาวเป็นพิษเพราะผัวแก่”
ชูชกแสดงให้เห็นว่าเป็นจริงทุกประการ
เช่น ปราสาทเป็นพิษเพราะคนเข็ญใจเพราะชูชกอยู่บนประสาทได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็ตาย
อาหารเป็นพิษเพราะไฟธาตุไม่ย่อยชูชกกินอาหารจนเกินขนาดทำให้อาหารไม่ย่อยจึงตาย
เมียสาวเป็นพิษเพราะผัวแก่ชูชกได้ความลำบากก็เพราะนางอมิตดาใช้ ชูชกกลับชาติมาเป็นพระเทวทัตสุดท้ายถูกแผ่นดินสูบ
(จากhttps://sites.google.com/site/wannakadeem5/system/app/pages/sitemap/hierarchy)