จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ข้อสัณนิฐาน การกำเนิดวงมโหรีอีสาน

ข้อสัณนิฐาน การกำเนิดวงมโหรีอีสาน
          คำว่า “มโหรี” ของคนอีสานหมายถึงเครื่องดนตรีใช้เล่นในบุญประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบและเครื่องดนตรีไม่เหมือนกับมโหรีในภาคกลาง ซึ่งในวงมโหรีอีสานจะประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทดีด สี ตี เป่า อยู่อย่างครบครัน โดยส่วนมากเครื่องดนตรีที่ใช้เป็นเครือดนตรีไทยเดิม แต่ก็มีส่วนผสมกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างโหวด แคน ซอกระบอก หืน บ้างเป็นบางวง ซึ่งเครื่องดีด ได้แก่ หืน (จ๊องหน่อง) เครื่องสี ได้แก่ ซออู้ ซอด้วง เครื่องตี ไดแก่ กลองรำมะนา ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ เครื่องเป่า ได้แก่ ปี่ใน หรือปี่แอ้ โดยเครื่องดนตรีในวงมโหรีอีสานเข้าขนบกับวงมโหรีภาคกลาง มีเครื่องดนตรีอยู่ 2 ประเภท คือ เครื่องตี ได้แก่ กลองรำมะนาและฉิ่ง เครื่องสี ได้แก่ ซอด้วงกับซออู้ นอกจากนั้นจำพวก ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ ปี่ใน จัดอยู่ในวงปี่พาทย์ตามขนบของดนตรีในภาคกลาง
          นักดนตรีในวงมโหรีอีสานส่วนมากเป็นผู้ชายล้วน มีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งยึดเอาการเล่นมโหรีอีสานเป็นอาชีพรองลงมาจากการทำเกษตรกรรม โดยหัวหน้าวงมโหรีอีสานส่วนมากจะเล่นเครื่องดนตรีหลักโดยเฉพาะปี่หรือไม่ก็ผู้ที่อาวุโสจะเล่นซอลดหลั่นกันลงมา
          เพลงที่ใช้บรรเลงในวงมโหรีอีสาน เป็นเพลงที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเพราะวงมโหรีอีสานส่วนใหญ่อยู่แถบจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคามและบุรีรัมย์ ตัวอย่างเพลง เช่น เพลงไหว้ครู เพลงพัดชา เพลงชะนีโหย เพลงกันตรึม เพลงเต้นระบำ เพลงพม่าเห่ เพลงแห่ เป็นต้น โดยท่วงทำนองของเพลงจะอยู่ในแนวเพลงอีสานใต้ผสมผสานกับแนวเพลงพื้นบ้านภาคกลาง
          รูปแบบในการจัดวงมโหรีอีสานมีการจัดรูปแบบการบรรเลง 2 ลักษณะ คือ การนั่งบรรเลงซึ่งการนั่งบรรเลงอาจนั่งซ้อนหน้าหลังหรือนั่งเป็นแถวเดี่ยวแล้วแต่วงมโหรีอีสานว่ามีรูปแบบการจัดอย่างไร และการเดินบรรเลงซึ่งใช้สำหรับการแห่เท่านั้น เมื่อจัดรูปแบบแถวเสร็จแล้วจะเป็นการบรรเลง โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.       ตอนขึ้นเพลง การขึ้นเพลงของวงมโหรีอีสานส่วนมากจะขึ้นด้วยปี่ หรือาจเป็นเครื่องดนตรีอื่นๆที่เป็นเครื่องเอกหรือเครื่องหลัก แล้วรับเพลงด้วยเครื่องดนตรีอื่นๆ
2.       ตอนบรรเลง เครื่องดนตรีต่างๆ ประเภท ซอ ปี่ กลอง ฉิ่งและฉาบจะบรรเลงประสานเสียงไปเรื่อยๆ การบรรเลงอาจมีลูกเล่นบ้างซึ่งขึ้นอยู่กับทักษะและความชำนาญในการบรรเลงของนักดนตรีคนนั้นๆ นอกจากปี่ใหญ่ ซึ่งเดินหรือเป่าทำนองหลัก จะไม่ค่อยใส่ลูกเล่น มีเพียงปี่กลางและปี่เล็กเท่านั้นที่ใส่ลูกเล่นได้
3.       ตอนสุดท้ายของการบรรเลง หัวหน้าหรือผู้นำจะหันหน้าให้สัญญาณแก่สมาชิกวงแล้วเปลี่ยนเพลงเข้าสู่ท่อนลงต่อไป
          นอกจากนี้ วงมโหรีอีสานยังเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี พิธีกรรมของชาวอีสานใต้และชายขอบอีสานใต้ กล่าวคือ แถบจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นเขตรอยต่อทางวัฒนธรรมอีสานเหนือกับวัฒนธรรมอีสานใต้ มีการเล่นมโหรีอีสานมาตั้งแต่เมื่อประมาณ  60 - 70 ปีมาแล้ว วงมโหรีอีสานที่ผู้วิจัยได้ลงพื้นที่มีประวัติความเป็นมา รูปแบบ การบริหารจัดการ ลักษณะร่วมของเพลง ที่คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งเกิดจากการรับวัฒนธรรมมาจากแหล่งเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน คือ ทางจังหวัดนครราชสีมา ทางจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ  ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมอีสานใต้ ดังนั้น เขตรอยต่อทางวัฒนธรรมย่อมได้รับวัฒนธรรมของทางอีสานใต้ด้วย จึงพบวงมโหรีอีสานในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม ขอนแก่น นครราชสีมา
ประเภทของเครื่องดนตรี ในวงมโหรีอีสานแต่ละวงจะมีเครื่องดนตรีหลักอยู่ คือ
1.       กลองรำมะนาหรือกลองตึ้ง ซึ่งเรียกตามเสียงกลองที่ดัง ตึ่งๆ มีลักษณะเป็นไม้กลวงกลางหุ้มด้วยหนัง
ทั้งสองข้าง ร้อยให้เข้ากันด้วยเส้นหนังหรือเชือก
2.       ปี่ใหญ่ ในภาคกลางเรียกว่า ปี่ใน ให้เสียงกลาง มี 6 รู
3.       ปี่น้อย ในภาคกลางเรียกกว่า ปี่ยอด ให้เสียงสูง มี 6 รู
4.       ซอใหญ่ ในภาคกลางเรียกว่า ซออู้ ให้เสียงทุ้มต่ำ
5.       ซอเล็ก ในภาคกลางเรียกว่า ซอด้วง
6.       สิ่ง ในภาคกลางเรียกว่า ฉิ่ง
7.       แส่ง ในภาคกลางเรียกว่า ฉาบ
8.       เครื่องดนตรีอื่นๆ เช่น พิณ ระนาด แคน เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการเล่นดนตรีของสมาชิกภายในวงและการนำเครื่องดนตรีประเภทนั้นๆเข้ามาผสมในวงมโหรีอย่างกลมกลืนหรือใกล้เคียง
ลักษณะในการบรรเลง แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การนั่งบรรเลง นิยมใช้เมื่อต้องบรรเลงในบุญประเพณีที่จัดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง  โดยไม่ได้เคลื่อนย้ายยังที่อื่น เช่น งานบวช บุญกฐิน บุญผ้าป่า เป็นต้น โดยมีรูปแบบการนั่งที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของพื้นที่หรือพื้นที่ที่เจ้าภาพจัดให้ ส่วนมากจะนิยมนั่งหันหน้าไปทางสถานที่จัดงานนั้นๆ โดยมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น นั่งครึ่งวงกลมแถมเดียว หน้ากระดานสองแถวโดยเครื่องดนตรีประกอบจังหวะจะอยู่ข้างหลัง นั่งล้อมวงเปิดหน้าในลักษณะครึ่งวงกลมให้เครื่องดนตรีหลักอยู่ตรงกลาง เป็นต้น ส่วนการเดินบรรเลง เรียกว่าการ แห่ นิยมใช้เมื่อมีการแห่สิ่งใดสิ่งหนึ่งไปรอบหมู่บ้านหรือไปยังที่หมาย ณ ที่ใดที่หนึ่ง เช่น แห่นาค แห่กฐิน แห่ผ้าป่า แห่ศพ เป็นต้น ซึ่งการแห่ของวงมโหรีนี้ไม่มีรูปแบบตายตัวแต่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่อยู่ข้างๆด้วย
วิธีการบรรเลงของวงมโหรีอีสานนิยมเล่นเป็นเพลง เช่น เพลงพัดชา เพลงพม่าแห่กระจาด เพลงจีนลงเรือ เพลงบ้านโคกเต่า เพลงคันชาแปลง เพลงชะนีโหย เพลงพม่ารำขวาน เพลงเชิดฉิ่ง เป็นต้น โดยเริ่มจากเครื่องดนตรีหลักจะเป็นเครื่องนำ แล้วให้เครื่องดนตรีอื่นๆ รับและบรรเลงไปพร้อมกัน ซึ่งแต่ละเพลงจะเล่นซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าหัวหน้าวงจะสั่งให้พอหรือจบเพลง เรียกกว่า การลง โดยการลงเพลงจะมีลักษณะการลง การใช้โน๊ตที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่เป็นตัวแสดงให้ผู้ชมได้รู้ว่าเพลงจะจบแล้ว ทำนองการลงของวงมโหรีอีสานสัณนิฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากเพลงเพลง "มาร์ชชิงทรูจอร์เจีย" ซึ่งเป็นเพลงมาร์ชสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกาของกองทัพสหรัฐอเมริกาฝ่ายเหนือ ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2408 โดยเฮนรี เคลย์ เวิร์ค (Henry Clay Work) โดยอิงจากเรื่องราวการเดินทัพของพลตรีวิลเลียม เทคุมเซห์ เชอร์แมน (William Tecumseh Sherman) จากเมืองจอร์เจียไปยังท่าเรือเมืองซาวันนาห์ในรัฐจอร์เจีย ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2407 หลังสิ้นสงคราม เพลงนี้กลายเป็นเพลงยอดนิยมในหมู่ทหารผ่านศึกของกองทัพสหรัฐอเมริกาฝ่ายเหนือ ส่วนเหตุผลที่เพลงนี้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศไทยนั้น อาจกล่าวได้ว่า เมื่อเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขึ้นนั้น ประเทศไทยยึดมั่นอยู่ในความเป็นกลาง แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสังเกตความเคลื่อนไหวของคู่สงครามอย่างใกล้ชิด การสงครามได้รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ทรงเห็นว่าฝ่ายเยอรมนีเป็นฝ่ายรุกราน จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย –ฮังการี
เมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 แล้วประกาศเรียกพลทหารอาสา สำหรับกองบินและกองยานยนต์ทหารบก เพื่อส่ง ไปช่วยสงครามยุโรป การส่งทหารไปรบครั้งนี้ เมื่อเสร็จสงคราม สัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ ประเทศไทยได้ส่งผู้แทนเข้าประชุม ณ พระราชวังแวร์ซายด้วย ผลพลอยได้จากการเข้าสงครามนี้ ก็คือ สัญญา ต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีย่อมสิ้นสุดลง
ตั้งแต่ไทยประกาศสงครามกับประเทศ นั้น และไทยก็ได้พยายามขอเจรจา ข้อแก้ไขสนธิสัญญาฉบับเก่า ซึ่งทำไว้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส และ ชาติอื่น ๆ แต่ ก็ประสบความยากลำบากอย่างมาก อาศัยที่ไทยได้ความช่วยเหลือจาก ดร. ฟรานซิส บี แซยร์ (Dr. Francis B. Sayre) ชาวอเมริกาซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาต่างประเทศจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยา ณ ไมตรี จากความสัมพันธ์ทางด้านการสงคราม การทหาร การแก้ไขสนธิสัญญา อันนำไปสู่ความเข้าใจกันระหว่างไทย – อเมริกา จึงทำให้ไทยได้รับอิทธิพลของเพลงมาร์ชชิงทรูจอร์เจียดังที่กล่าวมาข้างต้น

ซ-ม-
ร-ด-
ร-ม-
----
ซ-ล-
ด-ล-
ดรด-
----
ซ-ม-
ร-ด-
ร-ม-
----
ซ-ล-
ด-ล-
ดรด-
----
ซ---
----
ด-ล-
ซ-ม-
ซ-ล-
ด-ร-
----
มรด-
ร-ม-
ฟ-ซ-
ล-ซ-
---ด
ร-ม-
----
ซ-ร-
ด-ม-
ร-ร-
ด-ล-
ด-ร-
ม-ร-
ดลด-
----
----
----
โน้ตท่อนลงทำนองหลักที่พบในบทเพลงของวงมโหรีอีสาน

วงมโหรีอีสาน น่าจะเกิดขึ้นที่อีสานเกิดการเคลื่อนย้ายของผู้คนไปยังท้องถิ่นต่างๆ เพื่อประกอบอาชีพ
หรือย้ายไปท้องถิ่นอื่นจากการสมรส ซึ่งเกิดจากปัจจัยที่สำคัญที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมอีสานคือ การสร้างทางรถไฟสายอีสาน (กรุงงเทพฯ นครราชสีมา) เมื่อปี พ.ศ. 2443 ในช่วงนี้อาจมีการหลั่งไหลทางวัฒนธรรมภาคกลางเข้ามาในภาคอีสานหรือมีการแลกเปลี่ยนและหยิบยืมทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวงมโหรีที่เรียกว่าวงมโหรีนอก คือวงมโหรีที่ไม่ใช่ดนตรีในราชสำนักแต่เป็นวงดนตรีที่รวมกลุ่มของชาวบ้าน มีการหันมาใช้ซอแทนกระจับปี่ เนื่องจากการจับปี่เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากเนื่องจากเหตุผลทางภูมิศาสตร์ที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดชายขอบระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนอีกหนึ่งพื้นที่คือแถบอีสานใต้ คือ แถบจังหวัด สุรินทร์ บุรีรัมย์และศรีสะเกษก็มีวงดนตรีพื้นบ้านที่มีลักษณะคล้ายกับวงดนตรีไทยในภาคกลาง สันนิษฐานว่าเกิดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรมดนตรีราชสำนักกรุงเทพ และจากกลุ่มวัฒนธรรมเขมร
จากการสร้างสรรค์แนวดนตรีที่รับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีจากภายนอกเข้ามาเป็นวงมโหรีอีสานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ จนกลายเป็นวงดนตรีในภาคอีสานชนิดหนึ่งที่มีบทบาทในสังคมอีสาน โดยเฉพาะด้านประเพณีพิธีกรรม เช่น บุญกฐิน บุญผ้าป่า เป็นต้น แต่จากหลั่งไหลของกระแสวัฒนธรรมภายนอกในปัจจุบัน ทำให้วงมโหรีอีสานถูกลืม และถูกทิ้งไปกับกาลเวลาทีละน้อย ประกอบกับผู้เล่นเครื่องดนตรีต่างๆในวงมโหรีอีสานก็ลดน้อยลง ฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นคนอีสาน คนไทย เราจะช่วยกันอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมอีสานแขนงนี้อย่างไร
                                                                          อธิคม  วงษ์นาง (ผู้เขียน)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น