ข้อสัณนิฐาน การกำเนิดวงมโหรีอีสาน
คำว่า “มโหรี”
ของคนอีสานหมายถึงเครื่องดนตรีใช้เล่นในบุญประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ
ซึ่งมีรูปแบบและเครื่องดนตรีไม่เหมือนกับมโหรีในภาคกลาง
ซึ่งในวงมโหรีอีสานจะประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทดีด สี ตี เป่า อยู่อย่างครบครัน
โดยส่วนมากเครื่องดนตรีที่ใช้เป็นเครือดนตรีไทยเดิม
แต่ก็มีส่วนผสมกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างโหวด แคน ซอกระบอก หืน บ้างเป็นบางวง
ซึ่งเครื่องดีด ได้แก่ หืน (จ๊องหน่อง) เครื่องสี ได้แก่ ซออู้ ซอด้วง เครื่องตี
ไดแก่ กลองรำมะนา ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ เครื่องเป่า ได้แก่ ปี่ใน หรือปี่แอ้
โดยเครื่องดนตรีในวงมโหรีอีสานเข้าขนบกับวงมโหรีภาคกลาง มีเครื่องดนตรีอยู่ 2 ประเภท คือ เครื่องตี ได้แก่ กลองรำมะนาและฉิ่ง เครื่องสี ได้แก่
ซอด้วงกับซออู้ นอกจากนั้นจำพวก ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ ปี่ใน จัดอยู่ในวงปี่พาทย์ตามขนบของดนตรีในภาคกลาง
นักดนตรีในวงมโหรีอีสานส่วนมากเป็นผู้ชายล้วน
มีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งยึดเอาการเล่นมโหรีอีสานเป็นอาชีพรองลงมาจากการทำเกษตรกรรม
โดยหัวหน้าวงมโหรีอีสานส่วนมากจะเล่นเครื่องดนตรีหลักโดยเฉพาะปี่หรือไม่ก็ผู้ที่อาวุโสจะเล่นซอลดหลั่นกันลงมา
เพลงที่ใช้บรรเลงในวงมโหรีอีสาน
เป็นเพลงที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเพราะวงมโหรีอีสานส่วนใหญ่อยู่แถบจังหวัดร้อยเอ็ด
มหาสารคามและบุรีรัมย์ ตัวอย่างเพลง เช่น เพลงไหว้ครู เพลงพัดชา เพลงชะนีโหย
เพลงกันตรึม เพลงเต้นระบำ เพลงพม่าเห่ เพลงแห่ เป็นต้น
โดยท่วงทำนองของเพลงจะอยู่ในแนวเพลงอีสานใต้ผสมผสานกับแนวเพลงพื้นบ้านภาคกลาง
รูปแบบในการจัดวงมโหรีอีสานมีการจัดรูปแบบการบรรเลง
2
ลักษณะ คือ
การนั่งบรรเลงซึ่งการนั่งบรรเลงอาจนั่งซ้อนหน้าหลังหรือนั่งเป็นแถวเดี่ยวแล้วแต่วงมโหรีอีสานว่ามีรูปแบบการจัดอย่างไร
และการเดินบรรเลงซึ่งใช้สำหรับการแห่เท่านั้น เมื่อจัดรูปแบบแถวเสร็จแล้วจะเป็นการบรรเลง
โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.
ตอนขึ้นเพลง
การขึ้นเพลงของวงมโหรีอีสานส่วนมากจะขึ้นด้วยปี่
หรือาจเป็นเครื่องดนตรีอื่นๆที่เป็นเครื่องเอกหรือเครื่องหลัก
แล้วรับเพลงด้วยเครื่องดนตรีอื่นๆ
2.
ตอนบรรเลง
เครื่องดนตรีต่างๆ ประเภท ซอ ปี่ กลอง ฉิ่งและฉาบจะบรรเลงประสานเสียงไปเรื่อยๆ
การบรรเลงอาจมีลูกเล่นบ้างซึ่งขึ้นอยู่กับทักษะและความชำนาญในการบรรเลงของนักดนตรีคนนั้นๆ
นอกจากปี่ใหญ่ ซึ่งเดินหรือเป่าทำนองหลัก จะไม่ค่อยใส่ลูกเล่น
มีเพียงปี่กลางและปี่เล็กเท่านั้นที่ใส่ลูกเล่นได้
3.
ตอนสุดท้ายของการบรรเลง
หัวหน้าหรือผู้นำจะหันหน้าให้สัญญาณแก่สมาชิกวงแล้วเปลี่ยนเพลงเข้าสู่ท่อนลงต่อไป
นอกจากนี้ วงมโหรีอีสานยังเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี
พิธีกรรมของชาวอีสานใต้และชายขอบอีสานใต้ กล่าวคือ แถบจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดมหาสารคาม
ซึ่งเป็นเขตรอยต่อทางวัฒนธรรมอีสานเหนือกับวัฒนธรรมอีสานใต้ มีการเล่นมโหรีอีสานมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 60 - 70 ปีมาแล้ว วงมโหรีอีสานที่ผู้วิจัยได้ลงพื้นที่มีประวัติความเป็นมา รูปแบบ
การบริหารจัดการ ลักษณะร่วมของเพลง ที่คล้ายคลึงกันมาก
ซึ่งเกิดจากการรับวัฒนธรรมมาจากแหล่งเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน คือ
ทางจังหวัดนครราชสีมา ทางจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมอีสานใต้ ดังนั้น
เขตรอยต่อทางวัฒนธรรมย่อมได้รับวัฒนธรรมของทางอีสานใต้ด้วย จึงพบวงมโหรีอีสานในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด
จังหวัดมหาสารคาม ขอนแก่น นครราชสีมา
ประเภทของเครื่องดนตรี
ในวงมโหรีอีสานแต่ละวงจะมีเครื่องดนตรีหลักอยู่ คือ
1.
กลองรำมะนาหรือกลองตึ้ง
ซึ่งเรียกตามเสียงกลองที่ดัง ตึ่งๆ มีลักษณะเป็นไม้กลวงกลางหุ้มด้วยหนัง
ทั้งสองข้าง
ร้อยให้เข้ากันด้วยเส้นหนังหรือเชือก
2.
ปี่ใหญ่
ในภาคกลางเรียกว่า ปี่ใน ให้เสียงกลาง มี 6 รู
3.
ปี่น้อย
ในภาคกลางเรียกกว่า ปี่ยอด ให้เสียงสูง มี 6 รู
4.
ซอใหญ่
ในภาคกลางเรียกว่า ซออู้ ให้เสียงทุ้มต่ำ
5.
ซอเล็ก
ในภาคกลางเรียกว่า ซอด้วง
6.
สิ่ง
ในภาคกลางเรียกว่า ฉิ่ง
7.
แส่ง
ในภาคกลางเรียกว่า ฉาบ
8.
เครื่องดนตรีอื่นๆ
เช่น พิณ ระนาด แคน เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการเล่นดนตรีของสมาชิกภายในวงและการนำเครื่องดนตรีประเภทนั้นๆเข้ามาผสมในวงมโหรีอย่างกลมกลืนหรือใกล้เคียง
ลักษณะในการบรรเลง
แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การนั่งบรรเลง
นิยมใช้เมื่อต้องบรรเลงในบุญประเพณีที่จัดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่ได้เคลื่อนย้ายยังที่อื่น เช่น งานบวช
บุญกฐิน บุญผ้าป่า เป็นต้น
โดยมีรูปแบบการนั่งที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของพื้นที่หรือพื้นที่ที่เจ้าภาพจัดให้
ส่วนมากจะนิยมนั่งหันหน้าไปทางสถานที่จัดงานนั้นๆ โดยมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น นั่งครึ่งวงกลมแถมเดียว
หน้ากระดานสองแถวโดยเครื่องดนตรีประกอบจังหวะจะอยู่ข้างหลัง
นั่งล้อมวงเปิดหน้าในลักษณะครึ่งวงกลมให้เครื่องดนตรีหลักอยู่ตรงกลาง เป็นต้น ส่วนการเดินบรรเลง
เรียกว่าการ แห่
นิยมใช้เมื่อมีการแห่สิ่งใดสิ่งหนึ่งไปรอบหมู่บ้านหรือไปยังที่หมาย ณ
ที่ใดที่หนึ่ง เช่น แห่นาค แห่กฐิน แห่ผ้าป่า แห่ศพ เป็นต้น
ซึ่งการแห่ของวงมโหรีนี้ไม่มีรูปแบบตายตัวแต่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่อยู่ข้างๆด้วย
วิธีการบรรเลงของวงมโหรีอีสานนิยมเล่นเป็นเพลง
เช่น เพลงพัดชา เพลงพม่าแห่กระจาด เพลงจีนลงเรือ เพลงบ้านโคกเต่า เพลงคันชาแปลง
เพลงชะนีโหย เพลงพม่ารำขวาน เพลงเชิดฉิ่ง เป็นต้น
โดยเริ่มจากเครื่องดนตรีหลักจะเป็นเครื่องนำ แล้วให้เครื่องดนตรีอื่นๆ
รับและบรรเลงไปพร้อมกัน ซึ่งแต่ละเพลงจะเล่นซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าหัวหน้าวงจะสั่งให้พอหรือจบเพลง
เรียกกว่า การลง โดยการลงเพลงจะมีลักษณะการลง การใช้โน๊ตที่แตกต่างกันออกไปบ้าง
แต่เป็นตัวแสดงให้ผู้ชมได้รู้ว่าเพลงจะจบแล้ว ทำนองการลงของวงมโหรีอีสานสัณนิฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากเพลงเพลง
"มาร์ชชิงทรูจอร์เจีย" ซึ่งเป็นเพลงมาร์ชสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกาของกองทัพสหรัฐอเมริกาฝ่ายเหนือ
ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2408 โดยเฮนรี เคลย์ เวิร์ค (Henry
Clay Work) โดยอิงจากเรื่องราวการเดินทัพของพลตรีวิลเลียม เทคุมเซห์
เชอร์แมน (William Tecumseh Sherman) จากเมืองจอร์เจียไปยังท่าเรือเมืองซาวันนาห์ในรัฐจอร์เจีย
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2407 หลังสิ้นสงคราม
เพลงนี้กลายเป็นเพลงยอดนิยมในหมู่ทหารผ่านศึกของกองทัพสหรัฐอเมริกาฝ่ายเหนือ ส่วนเหตุผลที่เพลงนี้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศไทยนั้น
อาจกล่าวได้ว่า เมื่อเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขึ้นนั้น ประเทศไทยยึดมั่นอยู่ในความเป็นกลาง
แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสังเกตความเคลื่อนไหวของคู่สงครามอย่างใกล้ชิด
การสงครามได้รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ทรงเห็นว่าฝ่ายเยอรมนีเป็นฝ่ายรุกราน
จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย –ฮังการี
เมื่อ วันที่ 22
กรกฎาคม พ.ศ. 2460 แล้วประกาศเรียกพลทหารอาสา สำหรับกองบินและกองยานยนต์ทหารบก
เพื่อส่ง ไปช่วยสงครามยุโรป การส่งทหารไปรบครั้งนี้ เมื่อเสร็จสงคราม
สัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ ประเทศไทยได้ส่งผู้แทนเข้าประชุม ณ พระราชวังแวร์ซายด้วย
ผลพลอยได้จากการเข้าสงครามนี้ ก็คือ สัญญา ต่าง ๆ
ที่ไทยทำกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีย่อมสิ้นสุดลง
ตั้งแต่ไทยประกาศสงครามกับประเทศ
นั้น และไทยก็ได้พยายามขอเจรจา ข้อแก้ไขสนธิสัญญาฉบับเก่า ซึ่งทำไว้กับอังกฤษ
ฝรั่งเศส และ ชาติอื่น ๆ แต่ ก็ประสบความยากลำบากอย่างมาก อาศัยที่ไทยได้ความช่วยเหลือจาก
ดร. ฟรานซิส บี แซยร์ (Dr. Francis B. Sayre) ชาวอเมริกาซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาต่างประเทศจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยา
ณ ไมตรี จากความสัมพันธ์ทางด้านการสงคราม การทหาร การแก้ไขสนธิสัญญา
อันนำไปสู่ความเข้าใจกันระหว่างไทย – อเมริกา จึงทำให้ไทยได้รับอิทธิพลของเพลงมาร์ชชิงทรูจอร์เจียดังที่กล่าวมาข้างต้น
ซ-ม-
|
ร-ด-
|
ร-ม-
|
----
|
ซ-ล-
|
ด-ล-
|
ดรด-
|
----
|
ซ-ม-
|
ร-ด-
|
ร-ม-
|
----
|
ซ-ล-
|
ด-ล-
|
ดรด-
|
----
|
ซ---
|
----
|
ด-ล-
|
ซ-ม-
|
ซ-ล-
|
ด-ร-
|
----
|
มรด-
|
ร-ม-
|
ฟ-ซ-
|
ล-ซ-
|
---ด
|
ร-ม-
|
----
|
ซ-ร-
|
ด-ม-
|
ร-ร-
|
ด-ล-
|
ด-ร-
|
ม-ร-
|
ดลด-
|
----
|
----
|
----
|
โน้ตท่อนลงทำนองหลักที่พบในบทเพลงของวงมโหรีอีสาน
วงมโหรีอีสาน
น่าจะเกิดขึ้นที่อีสานเกิดการเคลื่อนย้ายของผู้คนไปยังท้องถิ่นต่างๆ
เพื่อประกอบอาชีพ
หรือย้ายไปท้องถิ่นอื่นจากการสมรส
ซึ่งเกิดจากปัจจัยที่สำคัญที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมอีสานคือ
การสร้างทางรถไฟสายอีสาน (กรุงงเทพฯ – นครราชสีมา)
เมื่อปี พ.ศ. 2443 ในช่วงนี้อาจมีการหลั่งไหลทางวัฒนธรรมภาคกลางเข้ามาในภาคอีสานหรือมีการแลกเปลี่ยนและหยิบยืมทางวัฒนธรรม
โดยเฉพาะวงมโหรีที่เรียกว่าวงมโหรีนอก คือวงมโหรีที่ไม่ใช่ดนตรีในราชสำนักแต่เป็นวงดนตรีที่รวมกลุ่มของชาวบ้าน
มีการหันมาใช้ซอแทนกระจับปี่ เนื่องจากการจับปี่เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากเนื่องจากเหตุผลทางภูมิศาสตร์ที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดชายขอบระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ส่วนอีกหนึ่งพื้นที่คือแถบอีสานใต้ คือ แถบจังหวัด สุรินทร์ บุรีรัมย์และศรีสะเกษก็มีวงดนตรีพื้นบ้านที่มีลักษณะคล้ายกับวงดนตรีไทยในภาคกลาง สันนิษฐานว่าเกิดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรมดนตรีราชสำนักกรุงเทพ และจากกลุ่มวัฒนธรรมเขมร
จากการสร้างสรรค์แนวดนตรีที่รับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีจากภายนอกเข้ามาเป็นวงมโหรีอีสานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
จนกลายเป็นวงดนตรีในภาคอีสานชนิดหนึ่งที่มีบทบาทในสังคมอีสาน โดยเฉพาะด้านประเพณีพิธีกรรม
เช่น บุญกฐิน บุญผ้าป่า เป็นต้น แต่จากหลั่งไหลของกระแสวัฒนธรรมภายนอกในปัจจุบัน
ทำให้วงมโหรีอีสานถูกลืม และถูกทิ้งไปกับกาลเวลาทีละน้อย
ประกอบกับผู้เล่นเครื่องดนตรีต่างๆในวงมโหรีอีสานก็ลดน้อยลง ฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นคนอีสาน
คนไทย เราจะช่วยกันอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมอีสานแขนงนี้อย่างไร
อธิคม วงษ์นาง (ผู้เขียน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น