จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นเศรษฐกิจอีสาน

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นเศรษฐกิจอีสาน
                                                ช่วงก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง – ช่วงนโยบาย OTOP                    
                ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกมองว่า ด้อยการศึกษา ไร้การพัฒนา ไม่มีวัฒนธรรม ซึ่งถ้ามองในภาพที่เป็นจริงแล้ว คนอีสานไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมาเลย เพราะคนอีสานมีการศึกษาแต่การศึกษาของคนอีสานนั้นไม่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนเหมือนคนในเมืองหลวง แต่ใช้ใช้วัดเป็นสถานที่ฝึกอ่าน ฝึกเขียน และเรียนรู้จากการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เป็นบิดา มารดา หรือกิจกรรมที่ทำ และการที่กล่าวว่าคนอีสานไร้วัฒนธรรมก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะสังคมภาคอีสานเป็นสังคมที่มีมานาน เพราะฉนั้นย่อมมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สั่งสมมาอยู่แล้ว ไม่มีชาติใดในโลกที่อยู่ในสังคมแล้วไม่มีวัฒนธรรม และวัฒนธรรมของคนอีสานมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าเรียนรู้ ซึ่งคำว่าไร้วัฒนธรรมในสายตาของใครหลายๆคน น่าจะหมายถึงการไม่มีวัฒนธรรมที่ส่วนกลางสร้างขึ้นหรือเป็นวัฒนธรรมของรัฐ เช่น การลอยกระทง สงกรานต์ เป็นต้น  และคำว่าไร้การพัฒนา การพัฒนาภาคอีสานตั้งแต่อดีตนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีภูเขาล้อมรอบทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ส่วนทิศตะวันออกและทิศเหนือนั้นมีแม่น้ำโขงกั้นอยู่ การเดินทางจากกรุงเทพฯเข้าสู่อีสานนั้นเป็นไปได้อยาก เพราะต้องเดินทางผ่านภูเขา ซึ่งเรียกกันว่า ดงพระไฟ จึงทำให้คนอีสานติดต่อกับทางล้านช้างมากกว่าติดต่อกับทางกรุงเทพฯ อันเนื่องมาจากการเดินทางที่ไม่สะดวก และการเข้ามาพัฒนาของรัฐเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรมากนัก จะมีก็เฉพาะการเก็บส่วยและการเกณฑ์แรงงาน เพราะชาวอีสานก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ซึ่งจะต้องตอบแทนรัฐในการให้ความคุ้มครอง โดยจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐที่เรียกว่า ระบบไพร่ ซึ่งจะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีให้กับรัฐ โดยช่วงแรกจะเสียภาษีเป็นการนำสิ่งของ แต่ในภาคอีสานส่วนมากจะเป็นของป่า เช่น ครั่ง ผลเร่ว นอแรด เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนเป็นการเสียภาษีด้วยเงินตรา(1)ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ารัฐก็มีส่วนที่เป็นตัวกระตุ้นให้ชาวอีสานต้องประกอบอาชีพในช่วงนี้ อาชีพของคนอีสานส่วนมากคือการทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนาที่ใช้น้ำจากน้ำฝนเป็นหลัก แต่ฝนก็ตกไม่มากนักในภาคอีสาน เนื่องจากอีสานอยู่ในเขตที่เรียกว่า “เขตเงาฝน”
                                                                                               
       1 ประนุช ทรัพยสาร . ประวัติศาสตร์เกษตรกิจอีสาน . มหาสารคาม ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎมหาสารคาม , ๒๕๔๕ .(๒๓)
อันเนื่องมาจากภูเขาที่ล้อมภาคอีสานอยู่นั้นบังลมมรสุมไว้  และจากการแห้งแล้งทำให้ภาคอีสานต้องพึ่งพาอาศัยกันระหว่างหมู่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ ซึ่งมีลักษณะเป็นการขายสิ่งที่หามาได้หรือเหลือจากการบริโภคหรือขายสิ่งที่ไม่มีในหมู่บ้านอื่น เช่น เครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก ซึ่งแต่ละหมู่บ้านไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขาดวัตถุดิบและความรู้ในการถลุงเหล็กและการนำมาผลิตเป็นเครื่องใช้
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชาวอีสานจะแลกเปลี่ยนกันก็ต่อเมื่อขาดทรัพยากรที่บางอย่างที่จำเป็น การเปลี่ยนแปลงมีมากขึ้นในปีที่ฝนฟ้าผิดปกติ การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้มีการแสวงหาผลกำไร การค้าแบ่งออกได้เป็นสองระดับคือ กรขายของที่หาได้เพื่อจ่ายค่ารัชชูปการและการขายเพื่อซื้อหาสิ่งของแปลกใหม่(2)
โดยชาวอีสานจะใช้แรงงานคนในครอบครัวเป็นหลักซึ่งเริ่มตั้งแต่การจับจองที่ดินและถากถางพื้นที่เพาะปลูกเป็นต้นมา โดยจะใช้พื้นที่ราบหรือที่ราบลุ่มแม่น้ำในการทำนาและในช่วงนี้ชาวอีสานมีการทำนาดำ คือมีกรรมวิธีในการทำที่ยุ่งยากแต่ได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ โดยจะเริ่มทำนาในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน โดยเริ่มจากการไถดะ และไถแปรเพื่อทำให้ดินเป็นก้อนหยาบๆก่อนที่จะใช้คราดหรือใช้ลูกทุบตีดินให้แตกละเอียด หลังจากนั้นก็จะมาเป็นการตกกล้า คือการถอนต้นกล้าข้าวที่เตรียมไว้ในแปลง มาเพื่อที่จะไปปักหรือดำ โดยการดำนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ว่าเป็นที่แห้งหรือว่ามีน้ำ ถ้าพื้นที่แห้งก็จะใช้วิธีการใช้ไม้เสียบเป็นหลุมก่อน แต่ถ้ามีน้ำก็จะสามารถปักดำได้เลย หลังจากที่ปักดำเสร็จแล้ว ก็จะรอจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว ก็จะทำการเก็บเกี่ยว ส่วนพื้นที่ที่เป็นเชิงเขาหรือภูเขาจะมีการปลูกข้าวไร่  คือการปลูกข้าวบนที่สูงหรือภูเขา ซึ่งเราต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งสูง ซึงขึ้นตอนการทำก็จะใช้ไม้ปลายแหลมเสียบเป็นหลุมในพื้นที่ที่ต้องการปลูก จากนั้นก็จะหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เตรียมไว้ แล้วก็รอการเก็บเกี่ยวผลผลิตเลย ซึ่งการทำนาของชาวอีสานทั้งสองแบบนั้น จะนิยมปลูกข้าวเหนียว และมีการปลูกพืชอย่างอื่นไว้บริโภคในครัวเรือนด้วย เช่น หอมต้น พริก กระเทียม เป็นต้น โดยใช้เครื่องมือที่เป็นเครื่องมือแบบเก่า ที่ได้จากการผลิตเองหรือซื้อจากชุมชนใกล้เคียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นต่ำ เช่น คราดที่ทำด้วยไม้ ผานไถซึ่งทำจากเหล็ก แต่ปัจจัยที่สำคัญคือน้ำ ซึ่งในช่วงนี้อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่อีสานมีความเป็นอยู่ “แบบพอยังชีพ”
                                                                                                               
        2 สุวิทย์ ธีรศาศวัต . ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ . กรุงเทพฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ , ๒๕๔๖ .(๑๕๘)

ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับประเทศอังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งผลของสนธิสัญญานี้ทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพหรือเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่เศรษฐกิจการตลาด และที่สำคัญคือการเปิดการค้าข้าวคือข้าวเป็นสินค้าสงออกได้และอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าเสรีในสยามได้ โดยเฉพาะในภาคกลางของประเทศได้มีการขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาทางด้านแรงงานในการผลิต โดยเฉพาะควาย ซึ่งใช้ในการไถนา ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งแตกต่างจากภาคอีสานที่มีความจำนวนมากเพราะชาวบ้านมีการเลี้ยงวัว-ควาย เป็นอาชีพที่ควบคู่กันมากับการทำนา ทำไร่ วัว-ควาย จึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสำคัญต่อชุมชน ทั้งในสถานะปัจจัยการผลิต คือแรงงานไถนา ผลิตปุ๋ยคอก เป็นพาหนะอำนวยความสะดวกในการเดินทางคมนาคมขนส่ง เป็นสิ่งแสดงถึงสถานะทางสังคม เป็นสมบัติสำหรับลูกหลานเวลาแต่งงานมีเหย้ามีเรือนแยกครอบครัวเป็นของตนเอง จึงเกิดกลุ่มพ่อค้าชาวอีสานที่เรียกว่า นายฮ้อย ซึ่งนายฮ้อยนั้น เป็นภาษาท้องถิ่นภาคอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการค้าขาย และมักเรียกตามชื่อประเภทสินค้า ดังนั้นกลุ่มคนที่ค้าขายวัว-ควาย จะถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัว-ควาย แต่อาจเพราะนายฮ้อยวัว-ควาย มีบทบาทสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนอีสานใกล้ชิดมากกว่ากลุ่มพ่อค้าสินค้าประเภทอื่นๆ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ดังเช่น งานเขียนของสุวิทย์ ธีรศาสวัต ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ ว่า “นายฮ้อย เป็นผลกระทบโดยตรงมาจากการขยายพื้นที่ปลูกข้าวอย่างมากของภาคกลาง อันเป็นผลมาจากการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง เมื่อภาคกลางปลูกข้าวมาก พื้นที่เลี้ยงสัตว์จึงไม่ค่อยมี และประสบปัญหาการขาดแคลนสัตว์ที่ใช้ในภาคการเกษตร คือวัว ควาย จึงมีการหันมาซื้อวัวควายจากภาคอีสานซึ่งมีอยู่มาก จึงเกิดนายฮ้อยขึ้น คนที่เป็นนายฮ้อยไม่จำเป็นต้องมีเงินมาก แต่มีความกล้าที่จะเป็นผู้นำและกล้าหาญ มีวิชาป้องกันตัวจากโจรและภูตผีปีศาจ รู้จักเส้นทาง นายฮ้อยจะถูกเรียกตามสัตว์ที่ค้า เช่น ค้าวัวควาย ก็จะถูกเรียกนายฮ้อยวัวควาย เป็นต้นโดยจะออกซื้อควายจากหมู่บ้านของตนและใกล้เคียง เอามารวมกันเวลาเดินทาง ตัวนายฮ้อยก็จะมีควายจำนวนหนึ่ง ลูกน้องก็จะมีความจำนวนหนึ่ง   ช่องทางที่นายฮ้อยนิยมต้อนควายผ่านจากภาคอีสานมายังภาคกลางมีทั้งหมด ๓ ช่องทาง คือ เส้นทางแรกเดินทางดงพญาไฟ ลงไปปากเพรียว จังหวัดสระบุรี เส้นทางที่สองผ่านทางดงพญากลางลงไปอำเภอสนามแจ้ง จังหวัดลพบุรี เส้นทางที่สามทางช่องตะโก(3)
                                                                                               
       3 สุวิทย์ ธีรศาสวัต .ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ . กรุงเทพ ฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ ,๒๕๔๖.(๑๖๓ ๑๖๘)
นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าเกวียนเป็นพ่อค้าที่นำของมาขายโดยใส่ทางเกวียน ซึ่งจะนำสิ่งของเหล่านั้นมาขายหรือแลกเปลี่ยนในชุมชน พ่อค้าโคต่าง ที่นำสินค้าบรรทุกใส่หลังวัวเข้ามาขายสินค้า ซึ่งทำให้ในช่วงนี้อีสานเริ่มเกิดการค้า คนที่ค้าขายจะเป็นชาวอีสาน พ้อค้าญวนเป็นต้น โดยใช้ช่องทางการค้าต่างๆ กันคือการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าญวนจะใช้เส้นทางแม่น้ำโขง และพ่อค้าคนอีสานก็จะนำของป่าที่หาได้ไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้กับพ่อค้าญวน โดยพ่อค้าในช่วงนี้จะบรรทุกใส่เกวียนหรือโค เพื่อที่จะนำไปขายตามหมู่บ้านต่างๆ ตามเส้นทางที่ประชาชนในภาคอีสานทำขึ้นเอง เพื่อติดต่อกันระหว่างหมู่บ้านที่เรียกว่า “ทางเกวียน”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ได้มีผลโดยตรงในการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตคือยังเป็นเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ เนื่องจากการติดต่อกันรัฐส่วนกลางกับอีสานยังเป็นไปได้อยาก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ทำให้คนในชุมชนเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วย แต่เริ่มมีการพึ่งพาสินค้าจาภายนอก โดยการนำมาขายของนายฮ้อย  แต่การแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้านยังมีอยู่
ภาคอีสานได้เริ่มถูกรัฐควบคุมมากขึ้นๆโดยรัฐได้ดึงเอาผลประโยชน์จากชุมชนในรูปของเงินรัชชูปการและการศึกษาพลี  เมื่อยกเลิกก็เก็บเป็นภาษีบำรุงท้องที่ หรือที่เรียกว่า ภาษีที่ดิน และภาษีทางอ้อมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเกณฑ์แรงงานำไปสร้างสิ่งสาธารณะเป็นบางครั้ง และยังเกณฑ์ชายหนุ่มไปเป็นทหารอีกด้วย ผลจากการที่รัฐได้เข้ามามีส่วนในชุมชนนี้ ทำให้เกิดการต่อต้านอำนาจรัฐขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเกิดกบฏในที่ต่างๆ เช่น กบฏโสภา บ้านสาวถี จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น ซึ่งการก่อกบฏนั้น ได้ใช้หลักพระพุทธศาสนาในการรวมคนให้เข้าร่วมก่อกบฏ คือทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าการเคารพบูชาพระพุทธศาสนาจะทำให้ได้เกิดในพระพุทธศาสนาในยุคของพระศรีอาริย์ ทุกอย่างจะเกิดความเท่าเทียม ซึ่งการเกิดกบฏนี้เป็นตัวที่สะท้อนสังคมในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี แต่รัฐก็ได้เริ่มเข้ามาพัฒนาอีสานด้วยเช่นกัน คือ การสร้างทางรถไฟในอีสานในปี (พ.ศ.๒๔๔๓ ๒๔๘๘) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักของการสร้างทางรถไฟสายแรกนี้ได้ ๒ ประการ คือ ประการแรกเพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการขนส่งผู้คนและสินค้า ประการที่ ๒ เพื่อประโยชน์ในการปกครองและรักษาพระราชอาณาเขต การรักษาพระราชอาณาเขตที่เน้นมากที่สุด คือภาคอีสาน ก็เพราะท่าทีคุกคามจากฝรั่งเศสหลังจากได้เขมรและเวียดนามแล้วก็พุ่งมาที่ลาวจนไทยต้องเสียสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๓๑ และเริ่มเข้าสู่ดินแดนลาวส่วนที่เหลือ แต่การค้านั้นเป็นผลพลอยได้ (4) ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ทำให้ระบบการผลิตของชาวอีสานบางส่วนเปลี่ยนแปลงไป
                                                                                               
4                 สุวิทย์ ธีรศาสวัต . อีสานหลังมีทางรถไฟ .ขอนแก่น ; คลังนานาวิทยา , ๒๕๕๑ .(๓๖)
 คือ ชุมชนที่อยู่ใกล้ทางรถไฟ จะปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น โดยจะนำส่วนที่เหลือจากการบริโภคไปขายโดยนำขึ้นรถไฟไปขายที่โคราชหรือในไปขายที่โรงสีของพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางมาพร้อมกับทางรถไฟ เกิดตลาดและกลายเป็นชุมชนการค้า เพราะการค้าขยายตัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะชาวจีนที่เดินทางมากับทางรถไฟและตั้งตลาดในเมืองใหญ่ที่มีรถไฟผ่าน และยังส่งผลให้ศูนย์ราชการของอำเภอต่างๆก็ย้ายศูนย์ราชการเข้ามาใกล้ทางรถไฟด้วย (5) แต่การเพาะปลูกที่เกือบทุกครัวเรือนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติรอบๆชุมชน ทุกคนที่ทำงานได้จะได้งานตามวัยของตัวเองเกือบตลอดทั้งปี เพราะหน่วยการผลิตคือครัวเรือนผลิตเกือบทุกอย่างที่ครัวเรือนบริโภค เศรษฐกิจมีลักษณะพอเพียง และมีความสมดุลระหว่างการผลิต เกิดขึ้นตามธรรมชาติและการบริโภคอยู่ ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เนื่องจาก อัตราการเพิ่มของประชากรก็น้อย เพราะอัตราการเกิดและการตายไม่แตกต่างกันมาก เมื่อประชากรน้อยก็บริโภคทรัพยากรธรรมชาติและผลผลิตน้อย การบริโภคกับการผลิตของคนและธรรมชาติใกล้เคียงกัน นอกจากนี้คนในชุมชนบริโภคสิ่งที่คนในชุมชนสามารถผลิตได้หรือหาได้จากธรรมชาติเกือบหมด ไม่ได้พึ่งพาสินค้า ทรัพยากรภายนอกจะมีบ้างเฉพาะของที่แปลกใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องหัถกรรม เนื่องจากการขนส่งสินค้าที่ถูกลงทำให้มีการส่งออกสินค้าเกษตรและของป่าออกจากภาคอีสานมากขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้าก็เพิ่มมากขึ้นหลายชนิด หนึ่งในจำนวนนั้นคือสินค้าหัตถกรรม ซึ่งรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มซึ่งชาวอีสานเคยผลิตได้เองมาโดยตลอด ก็เริ่มหันไปใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปแทนเนื่องจากมีราคาถูกและประหยัดเวลา นอกจากเสื้อผ้าที่ชาวอีสานเริ่มหันไปใช้ของต่างประเทศแล้ว เครื่องมือเกษตรที่เกษตรกรซึ่งเป็นช่างเหล็กเคยผลิตขึ้นใช้เองและแลกหรือขายกับเกษตรกรอื่น ก็ลดการผลิตลง เกษตรกรหันไปซื้อจอบและผาลจากเมืองนอกมากขึ้น เพราะคุณภาพดีกว่าเครื่องมือเหล็กที่ผลิตเองในอีสาน แต่ในด้านการพึ่งพากันและกัน ในช่วงนี้นั้นคนอีสานยังมีการพึ่งพาและเอื้ออาทรระหว่างคนในชุมชนสูงอยู่ โดยสังเกตได้จากการลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นต้น และบางครั้งก็พึ่งพาสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย เช่น ผีปู่ตา ผีตาแฮก เป็นต้น
                                                                                               
       (5) ประนุช ทรัพยสาร .วารสารช่อพะยอม ๑๕, ๓ (พ.ย. ๒๕๕๐) ๑๑-๒๐



เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง(๒๔๘๘ ๒๕๐๔) จากการที่ต้องติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศจีน จึงทำให้ไทยต้องสร้างถนนผ่านภาคอีสานนั้นคือ ถนนมิตรภาพ (หมายเลข ๒ ) ซึ่งต่อมาถนนเส้นนี้กลายเป็นเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ดังเช่นในงานวิจัยของนิรุบล อึ้งอารุณยะวี ในงานวิจัยเรื่อง สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. 2476 – 2506 ว่า “ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจอีสาน ทำให้เกิดการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2 คือถนมิตรภาพซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ใช้เดินทางมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้การติดต่อกับบ้านไผ่สะดวกขึ้น อาจจะไม่ต้องนอนพักที่บ้านไผ่ก็ได้ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมและการบริการต่างๆเริ่มซบเซาลง(6) และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สงบลง สิ่งที่ชาวอีสานได้จากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ในช่วงนี้อีสานได้รับการดูแลจากรัฐเพิ่มมากขึ้น เช่น รัฐได้ดำเนินนโยบายการรณรงค์ฉีด ดี.ดี.ที.กำจัดยุง พาหะของโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดอยู่ในคนไทยถึงร้อยละ ๑๗ การปลูกฝีป้องกันโรคไข้ทรพิษและการฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคการเพิ่มของบุคลากรทางการแพทย์และสาธาณสุข การเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลและสถานีอนามัย ล้วนเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้อัตราการตายลดน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ชาวอีสานมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลยังการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากขึ้นตามไปด้วย และเกิดการเข้ามาและขยายตัวของระบบทุนนิยม โดยเฉพาะการเพิ่มของคนจีนและผู้มีอาชีพค้าขาย ทำให้การผลิตผลผลิตทางการเกษตรของชาวอีสานมีการผลิตเพื่อขายเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะริมทางรถไฟเท่านั้น เพราะการมีถนนเพิ่มในภาคอีสานทำให้การขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ชาวอีสานผลิตข้าวเพิ่มมากขึ้น
จะเห็นได้ว่ารัฐเริ่มเข้ามาดูแลภาคอีสานมากขึ้นกว่าเดิมเป็นระยะๆโดยเริ่มตั้งแต่มีทางรถไฟเป็นต้นมาซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนอีสานเปลี่ยนแปลงไป ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ ซึ่งนโยบายที่สำคัญคือ เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกและการปฏิบัติตามแผนพัฒนาฯทำให้เกิดการผลิตพืชพาณิชย์อย่างรวดเร็ว
                                                                                                               
      (6) นิรุบล อึ้งอารุณยะวี . สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๖๒๕๐๖.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , ๒๕๔๓ .


รวมทั้งเกิดนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานซึ่งถือได้ว่ารุนแรงกว่าทุกภาค  และ ผ.ก.ค. ยังขยายพื้นที่ได้มากกว่าทุกภาค ทำให้รัฐบาลต้องทำสงครามแย่งชิงประชาชนจาก ผ.ก.ค. ด้วยการใช้กำลังทหารและตำรวจปราบปราม ผ.ก.ค. ในขณะเดียวกันก็เกิดผลพลายได้ที่ตามมานั้นคือ กรสร้างวัตถุและการให้บริการต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลห่วงใยประชาชน ผลของนโยบายดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างถนนขึ้นมากมายในภาคอีสาน โดยมีถนราดยางและถนนคอนกรีตเพิ่มมากขึ้นเป็น ๔๒.๓ เท่า มีการสร้างเขื่อนและพื้นที่ชลประทาน  มีการขยายไฟฟ้า ไปยังพื้นที่ภาคอีสานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลทำให้ในช่วงนี้ประชาชนในภาคอีสานมีวิถีชีวิตที่สะดวกสบายอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐเพิ่มมากขึ้น มีการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น แต่ราคาถูกลงจาก ๑ ใน ๓ ของมูลค่าสินค้าที่บรรทุก เหลือประมาณร้อยละ ๑ – ๒๐ และยังทำให้เกิดมีการขยายการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ทำให้คุณภาพของประชากรภาคอีสานมีสูงขึ้น แต่ก็ส่งผลให้แรงงานที่มีการศึกษาไปทำงานนอกภาคการเกษตรและยังไปทำงานในที่ต่างถิ่นอีกด้วย ดังที่ ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ ได้อธิบายไว้ในเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาเกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรทฤษฎีใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ว่า(7) ตั่งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ เป็นต้นมา จนถึงฉบับที่ ๗  ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในด้านการเกษตรมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิต และการส่งออก โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการผลิตต่อไร่ เพิ่มพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน เน้นการส่งอกนำรายได้เข้าประเทศ และยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกร แนวทางนี้ทำให้เกษตรกรต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ นับตั้งแต่พันธุ์พืช ปุ๋ยเคมี สารกำจักศัตรูพืช  เครื่องจักรกลทางการเกษตร  ซึ้งต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เหมาะสำหรับการทำเกษตรบนพื้นที่ผืนใหญ่ ฟาร์มขนานใหญ่ที่มีทุนมาก และสามารถทำการเกษตรแบบครบวงจร แต่ไม่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อยที่ไม่มีทุน และยังมีพื้นที่น้อย เมื่อต้องปฏิบัติตามกระแสของการใช้เทคโนโลยีที่ใช้ต้นทุนสูง จึงเข้าสู่ระบบการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิต ปัจจัยการผลิต ค่าแรงงาน และค่าจ้างสำหรับเครื่องจักรกลทางการเกษตร เมื่อรวมแล้วต้นทุนในการทำเกษตรยุคใหม่ จึงนับว่าสูงกว่าแต่ก่อนมาก แม้ว่าวิธีการใช้เทคโนโลยีจะทำให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น  แต่ปรากฏว่ารายได้ของเกษตรกรกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ควร
                                                                                               
        7 ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ . เกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรทฤษฏีใหม่(ตอนที่๑) . กรุงเทพฯ ; มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร , ๒๕๕๐ .
เพราะราคาผลผลิตการเกษตรที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่ได้สัดส่วนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรของเกษตรกรกลับลดลงกว่าเดิม ยิ่งทำในพื้นที่น้อยยิ่งมีรายได้ลดลงมาก บางรายถึงกับขาดทุน ต้องเป็นหนี้ธนาคาร และสุดท้ายเมื่อไม่สามารถหาชำระได้ที่ต้องถูกยึด”
จากข้อความข้างต้นนั้น ทำให้มองเห็นว่า มีการถือครองที่ดินในลักษณะที่เป็นเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆเลย และอาจกล่าวได้ว่าการถือครองที่ดินในลักษณะที่เป็นเอกสารสิทธิ์นั้นเกิดจาก เนื่องจากการขยายตัวของประชากรภาคอีสาน อันเนื่องมาจากการขยายตัวของนโยบายของรัฐที่ให้ความสำคัญทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการเกิดและการตายไม่สมดุลกัน คือ มีอัตราการตายที่ลดลงมาก จึงส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องใช้เพิ่มมากขึ้น และไม่สามารถที่จะขยายพื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่อยู่อาศัยได้ จึงนำไปสู่การเริ่มทำเอกสารสิทธิ์ในการถือครองที่ดินเพื่อไม่ให้เกิดการรุกล้ำที่ทำกินและที่อยู่อาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อประชากรมีมากขึ้น การผลิตและการใช้ทรัพยากรก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปริมาณการผลิตข้าวของภาคอีสานได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ในยุคก่อนพืชพาณิชย์หรือช่วงที่มีทางรถไฟในภาคอีสานแล้ว แต่ภาคอีสานก็เป็นพื้นที่ที่เป็นรองภาคกลางอยู่ในด้านการผลิตข้าว ในยุคพืชพาณิชย์นี้มีการผลิตข้าวที่มากกว่าการบริโภคในครัวเรือนทำให้มีข้าวที่เก็บเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้ภาคอีสานมาความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น รวมทั้งมีการผลิตพืชไร่มากขึ้น คือผลผลิตทางการเกษตรที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องการ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ เช่น การน้ำอ้ายไปทำน้ำตาล การนำปอเพื่อไปทำกระสอบและเชือก เป็นต้น
จากการเพิ่มการผลิตทางการเกษตร การเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก ซึ่งต้องจำเป็นต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมากและทำให้การผลิตต้องใช้เวลามาก เพื่อให้ทันกับระยะเวลาการเพาะปลูก จึงได้มีการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงขึ้นมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการเกษตร โดยเฉพาะรถแทรกเตอร์ โดยมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น ๑๐.๖ เท่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๔๐ เพราะประสิทธิภาพในการบุกเบิกที่ดินและการไถพรวนที่ใช้เวลาน้อย  นอกจากนี้ยังมีรถไถเดินตาม ซึ่งใช้กันมากในการทำนาในช่วงนี้ เพราะเห็นว่ามีความสะดวกสบายและประหยัดเวลา รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงพันธุ์ข้าวพื้นเมืองไปใช้ข้าวที่ได้รักการแนะนำจากเกษตรอำเภอ ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีความต้านทานโรคที่ต่ำ ทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มการใช้สารเคมีและปุ๋ยในการบำรุง และทำให้เกิดการเป็นหนี้ซึ่งเกิดจากการกู้เงินมาทำการเกษตรเป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงแรงงาน แรงงานในพื้นที่ต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากปริมาณการผลิตที่มากขึ้นเพราะการผลิตไม่ได้ผลิตเพื่อกินเพียงอย่างเดียว และยังต้องไปปลูกพืชไร่เพื่อขายอีกด้วย การแลกเปลี่ยนแรงงานและการลงแขกมีน้อยเนื่องจากทุกคนต้องทำงานของตัวเองให้ทันเวลา จึงไม่มีเวลาไปช่วยคนอื่น และการลงแขกได้เปลี่ยนมาเป็นการจ้างแรงงานแทน แต่เป้าหมายของการผลิตข้าวคือผลิตไว้บริโภคในครัวเรือนแต่ถ้าเหลือก็ขาย แต่พืชไร่จะปลูกเพื่อขายเพียงอย่างเดียว แต่ในช่วงนี้เกษตรกรชาวอีสานได้รับปัญหาและความเดือดร้อนมากจากการที่ต้องไปกู้เงินมาซื้อเครื่องทุ่นแรงทางการเกษตร ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐที่เน้นในด้านการผลิตผลผลิตด้านการเกษตรในการส่งออกนั้น ทำให้ชาวอีสานแทนที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลับต้องเป็นหนี้ทั้งในระบบคือ ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์กรเกษตร และนอกระบบคือญาติพี่น้อง นายทุน และแหล่งเงินกู้ต่างๆ เนื่องจากการผลิตผลผลิตทางการเกษตรที่ให้ได้ผลผลิตมากๆนั้นต้องอาศัยเครื่องทุนแรง เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถเดินตาม เครื่องสูบน้ำ ยาฆ่าแมลง เป็นต้น ซึ่งมีต้นทุนที่สูง การที่ชาวบ้านจะมีได้ต้องกู้เงินในทางต่างๆจนเป็นหนี้ รวมทั้งการกดราคาสินค้าของพ่อค้าคนกลาง คือสินค้าทางด้านการเกษตรนั้น ถึงแม้เกษตรกรจะเป็นคนปลูกก็จริงแต่ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดราคา ซึ่งการกำหนดราคานั้นต้องขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ในบางปีที่ได้ผลผลิตมากผลผลิตก็มีราคาที่ตกต่ำ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถใช้หนี้สินได้ จึงเป็นหนี้สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ในงานวิจัยของ สุวิทย์ ธีรศาศวัต และชอบ ดีสวนโคก เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่า “ทั้งค่าพันธุ์พืช ค่าจ้างแรงงาน ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายสูงการไถก็ต้องใช้รถไถ หรือรถไถเดินตาม ซึ่งต้องจ้างรถไถเดินตาม ในบางครัวเรือนก็ซื้อ ๑ คัน เท่ากับขายควายประมาณ ๔ ตัว เอามาซื้อและยังค่าดูแลรักษา ค่าน้ำมัน ฯลฯ แต่ราคาผลผลิตที่ขายได้นั้นขึ้นๆลงๆ บางปีขาดทุน บางปีเสมอตัว มีน้อยปีที่ได้กำไร ปีที่ได้กำไรคือมีคนปลูกน้อย ซึ่งก็หมายความว่า มีคนได้กำไรน้อยคน พอราคาดี เกษตรกรก็พากันปลูกมากมาย ราคาก็กลับตกลงมาก ขาดทุนมาก ก็พากันเลิกไปเลย แต่ต้นทุนไม่เคยราคาตกต่ำ การขาดทุน ๑-๒ปี ทำให้เกษตรกรเป็นหนี้ไปอีกหลายปี กล่าวโดยสรุปคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจนำไปสู่ความอยากจน เกษตรกรจึงเป็นเบี้ยล่างนายทุนตลอดมา”(8)
                                                                                               
      8 สุวิทย์ ธีรศาศวัต ,ชอบ ดีสวนโคก . การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๖ . (๑๓๓)
และส่งผลให้ชาวอีสานหันหน้าที่ทำงานในกรุงเทพฯหรือเมืองอุตสาหกรมเพิ่มมากขึ้น จนถึงสมัยของ พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยแรก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้นำเอานโยบาย หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) มาใช้เป็นแนวคิดที่ต้องการให้แต่ละหมู่บ้านมีผลิตภัณฑ์หลักเป็นของตัวเอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบหรือทรัพยากร และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทำการพัฒนาจนกลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้แก่ ชุมชน  โดย 4 ปีที่รัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ ได้ประกาศนโยบายประเทศไทยจะไม่มีคนจน รัฐบาล ส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้เพิ่ม จากการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยผลักดันโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อให้ชุมชนคิดค้นสินค้าจากท้องถิ่น ที่มีเอกลักษณ์ สามารถ พัฒนาคุณภาพตรงใจตลาดและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าจนสามารถนำส่งออกไปขายยัง ต่างประเทศได้ มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาสนับสนุน ในเรื่องวิชาการ เทคโนโลยี ช่องทางการตลาด และขยายโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเกิดขึ้นจากผลกระทบทางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงวิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ การแข่งขันด้านระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสูง ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และประชาชนทุกระดับประสบปัญหาต่าง ๆ ปัญหาหนึ่งที่ประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศถูกรุมเร้า คือปัญหา ความยากจน รัฐบาล (รัฐบาล พ... ทักษิณ ชนวัตร) จึงได้ประกาศสงครามกับความยากจนโดยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า โดยรัฐพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย และอินเตอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการ ของตลาด ทั้งในและต่างประเทศและได้กำหนดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน 2544
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ แต่ระบบการผลิตยังคงเดิมมีการผลิตทั้งพืชไร่และทำนา แต่หันมาทำเกษตรแบบอินทรีย์มากขึ้น แต่เทคโนโลยีที่ใช้นั้นยังเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่ จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างคือ การผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเติมแทน หรือบางหมู่บ้านก็นำปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันใช้ ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มของคนในหมู่บ้าน โดยใช้เวลาที่ว่างจากภาคการเกษตรหันมาทำอาชีพเสริม ซึ่งเป็นการหารายได้เสริมได้ทางหนึ่ง แต่ผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ควบคู่กันคือ กองทุนหมู่บ้านละ ๑ ล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดการกู้เงินและเพิ่มหนี้สินให้กับเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น เพราะเกษตรกรต้องกู้เงินทุนไปทำกิจกรรมทางครอบครัว และนโยบายOTOP ไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกหมู่บ้านในภาคอีสาน แต่ก็ทำให้วิถีชีวิตของชาวอีสานส่วนหนึ่งอยู่ดีกินดีขึ้นจากเดิม (9)














                                                                                               
9 http://www.warincity.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2227:-otop&catid=122:-otop&Itemid=133 (ค้นวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)

บรรณานุกรม
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา . การคงอยู่ของเศรษฐกิจหมู่บ้านพอยังชีพในภาคเหนือ ใต้และอีสาน 1855-1932 .
       กรุงเทพฯ ; สร้างสรรค์และหมู่บ้าน, ๒๕๓๓ .
ประนุช ทรัพยสาร . ประวัติศาสตร์เกษตรกิจอีสาน . มหาสารคาม ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       สถาบันราชภัฎมหาสารคาม , ๒๕๔๕ .
มณีมัย  ทองอยู่  . การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจอีสาน . กรุงเทพฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ , ๒๕๔๖ .
สุนทร สุรวาทกุล . นายฮ้อย : พ่อค้าท้องถิ่นอีสาน.......กับบทบาทการค้าขายในอดีต พ.ศ. ๒๓๙๘ – ๒๕๐๔ .
       ร้อยเอ็ด ; ศูนย์วัฒนธรรมโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม , ๒๕๓๔ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต ,ชอบ ดีสวนโคก . การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสาน
       เหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ . ขอนแก่น ; คณะ 
       มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๖ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต , ชอบดีสวนโคก , ชลิต ชัยครรชิต . การเปลี่ยนแปลงอาชีพของชาวนาอีสานในชุมชน
       บ้านเมืองหลักตั้งแต่ตั้งชุมชนถึงปัจจุบัน . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๕ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต . ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน . ขอนแก่น ; คลังนานาวิทยา , ๒๕๔๖ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต . เศรษฐกิจอีสานหลังมีทางรถไฟ พ.ศ. ๒๔๔๓ – ๒๔๘๘ . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์
        และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๕๑.
สมคิด พรมจุ้ย . เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสานใต้ . กรุงเทพฯ ; ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
       ๒๕๔๖ .
http://www.warincity.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2227:-otop&catid=122:-otop&Itemid=133 (ค้นวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)


แคนกับวิถีชีวิตของคนอีสาน


แคนกับคนอีสาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
                แคนเป็นเครื่องดนตรีที่ชนชาติไทย – ลาว ใช้บรรเลงสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ นักวิชาการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวถือว่าแคนเป็นเครื่องดนตรี(เครื่องเสพ)ประจำชาติ ส่วนนักวิชาการในประเทศไทยนั้นได้จัดแคนไว้ในกลุ่มดนตรีพื้นเมืองของชาวอีสาน เมื่อใครที่เอ่ยถึงแคนแล้วก็จะนึกถึงภาคอีสานทันที  ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าแคนนั้นนิยมเล่นกันมากในแถบลุ่มน้ำโขง
       แคนถือได้ว่า เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง ที่เป็นมรดกภาคอีสานที่เก่าแก่ที่สุด แคนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะ มีความซับซ้อนของเสียงมาก แคนเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าเป็นเพลง  ใครเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีนี้ขึ้นมานั้น    ไม่สามารถบอกได้หรือไม่มีหลักฐานที่แน่นอนยืนยันได้ แต่มีเพียงประวัติตำนานที่เล่าขานกันสืบเรื่อยต่อมา     ดังนี้ครั้งก่อนนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งได้เข้าไปในป่าเพื่อหาล่าสัตว์ตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน และพราหมณ์นั้นได้เดินเข้าไปในป่าลึก ก็ได้ยินเสียงแววๆ มา มีความไพเราะมาก     มีทั้งเสียงสูง เสียงต่ำ บ้างสลับกันไป แล้วพราณห์ก็ได้เข้าไปดูว่าเสียงนั้นมาจากที่ใด   ทันใดนั้น ก็มองเห็นเป็นเสียงร้องของนกชนิดหนึ่ง เรียกว่า นกการเวกจากนั้นก็ได้เดินทางกลับบ้าน   แล้วนำเรื่องที่ตนได้ยินมานั้นไปเล่าให้ชาวบ้านได้ฟัง และมีหญิงหม้ายคนหนึ่งพอได้ฟังแล้วเกิดความสนใจอย่างมาก         เลยขอติดตามนายพราณห์เข้าไปในป่าเพื่อไปดูนกการเวก ว่ามีความไพเราะจริงหรือไม่ ครั้งหญิงหม้ายได้ฟังเสียงนกการเวกร้องก็เกิดความไพเราะ เพลิดเพลินและติดอกติดใจ มีความคิดอย่างเดียวว่า จะทำอย่างไรดีถ้าต้องการฟังอีก ครั้งจะติดตามนกการเวกนี้ไปฟังคงจะยากแน่นอน จึงคิดที่จะทำเครื่องแทนเสียงร้องนกการเวก ให้มีเสียงเสนาะออนซอนจับใจ ดุจดังเสียงนกการเวกนี้ให้จงได้ เมื่อหญิงหม้ายกลับถึงบ้าน ก็ได้คิดทำเครื่องดนตรีต่างๆ เช่น ดีด สี ตี เป่า หลายๆ อย่าง ก็ยังไม่มีเสียงดนตรีชนิดใดมีเสียงไพเราะเหมือนกับเสียงนกการเวก ในที่สุดนางก็ได้ไปตัดไม้ชนิดหนึ่ง เอามาประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่ง รู้สึกว่าค่อนข้างไพเราะ จึงได้พยายามดัดแปลงแก้ไขอีกหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นเสียงไพเราะ เหมือนเสียงร้องของนกการเวก จนในที่สุดเมื่อได้แก้ไขครั้งสุดท้ายแล้วลองเป่ารู้สึกไพเราะ ออนซอนจับใจ ดุจดังเสียงนกการเวก นางจึงมีความรู้สึกดีใจในความสำเร็จของตนเป็นพ้นที่ได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีได้เป็นคนแรก จึงคิดที่จะไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล และนางยังได้ฝึกหัดเป่าลายต่างๆ

จนเกิดความชำนาญเป็นอย่างดี จึงนำเครื่องดนตรีไปเข้าเฝ้าฯ ถวาย แล้วนางก็ได้เป่าลายเพลงให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฟัง เมื่อฟังเพลงจบแล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมีความพึงพอใจอย่างมากที่มีเครื่องดนตรีประเภทนี้เกิดขี้นและทรงตั้งชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า แคนด้วยเหตุนี้เครื่องดนตรีที่หญิงหม้ายที่ได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้ไม้ไผ้น้อยเรียงติดต่อกันใช้ปากเป่า จึงได้ชื่อว่า แคนมาตราบเท่าทุกวันนี้และ แคน ยังมีหลายท่านที่ให้ความหมายของคำว่าแคน บ้างกล่าวว่าแคนเรียกตามเสียงของแคน โดยเวลาเป่าเสียงแคนจะดังออกมาว่า แคนแล่นแคน แล่นแคน แล่นแคน แต่บางท่านก็ให้ความหมายว่า แคน เรียกตามไม้ที่นำมาทำเต้าแคน คือ ไม้ที่ทำเต้าแคนนั้น นิยมใช้ไม้ตะเคียน หรือภาษาอีสานเรียกว่าไม้แคนจากการสันนิษฐานจากนิยายเรื่อง หญิงหม้าย
                อุทิศ นาคสวัสดิ์ ได้เสนอว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้ถือว่าแคนเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นทำนองที่เก่าแกชนิดหนึ่งในโลก และยังถือว่าเป็นต้นแบบของออร์แกนของทางยุโรป ซึ่งมีแคนนั้นปรากฏขึ้นเมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว มีการขุดพบซากแคนในชั้นหินอายุมากว่า ๒,๐๐๐ ปี ในมลฑลยูนานประเทศจีน เจริญชัย ชนไพโรจน์ยังได้เสนอเพิ่มเติมว่า นักค้นคว้าชาวฝรั่งเศสได้ขุดค้นทางโบราณคดี ที่เมืองดองซอนประเทศเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้มีการค้นพบขวานสำริดซึ่งมีการเขียนรูปคนเป่าแคนน้ำเต้าไว้บนหัวขวานนั้น อายุของขวานที่ได้ทำการขุดค้นพบนั้นอายุประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเครื่องเป่าประเภทแคนนั้นมีมานานแล้ว นอกจากนี้ในแถบเวียดนามตอนเหนือก็ยังมีร่องรอยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยสัมฤทธิ์แบบวัฒนธรรมดองซอนเหมือนกัน
สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เสนอต่อว่า นักโบราณคดียังเคยมีการขุดค้นพบกลองมโหระทึกที่ทำด้วยสัมฤทธิ์ซึ่งมีการเขียนรูปคนเป่าแคนไว้ด้วยส่วนการขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยได้มีการขุดพบกระดิ่งสัมฤทธิ์ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งกระดิ่งดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับกระดิ่งโค- กระบือในปัจจุบัน
จากการที่พบหลักฐานเกี่ยวกับแคนในแถบประเทศ ไทย ลาว จีน เวียดนาม จึงทำให้นักวิชาการเกิดความสงสัยว่าแคนเป็นของชนชาติใดกันแน่  แต่หลักฐานทางโบราณคดีมีการยืนยันว่าบริเวณที่ขุดค้นพบแคนนั้นเคยเป็นที่อยู่ของคนเชื้อชาติลาวมาก่อน ดังหลักฐานประเภทตำนานและพงศาวดารลาวซึ่งได้มีการกล่าวว่า ลาวเป็นกลุ่มชนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตลุ่มแม่น้ำดำ ทางตะวันออกและคลุมลงมาทางใต้ในเขตหัวพัน ลงมาถึงแคว้นตรัน-มินห์ของเวียดนาม แต่โบราณคดีในบริเวณที่กล่าวมานั้น มีหลายชนเผ่าที่รวมกันอยู่คือ พวกอาข่า ม่าน แม้ว ขมุ ลาเมต โลโล้ ไทดำ และเทง
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ได้พูดถึงการเริ่มก่อตัวของกลุ่มลาวว่า การสร้างเมืองของกลุ่มลาวนี้จะเริ่มมีการสร้างที่เขตแคว้นสิบสองจุไทย ซึ่งในปัจจุบันคือ เมืองเดียนเบียนฟู ในเขตประเทศเวียดนาม เมื่อเมืองเดียนเบียนฟูถูกน้ำท่วม ผู้คนจึงย้ายลงมาตั้งชุมชนใหม่ทางตอนใต้ ที่เมืองนาน้อยอ้อยหนู บริเวณเมืองนี้เป็นที่เกิดของคนหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ข่าแจะ ผู้ไท ลาวพุงขาว ฮ่อ และแกว เป็นต้น ในปัจจุบันกลุ่มชนเหล่านี้ได้กระจายอยู่ในประเทศต่างๆที่อยู่ในแถบลุ่มน้ำโขง
ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และบริเวณใกล้แอ่งสกลนครนั้น มีความสัมพันธ์กับลาวและเวียดนามเป็นแนวเส้นตรง จึงอาจกล่าวได้ว่าเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ปีที่แล้ว สุจิตต์ วงษ์เทศ เสนอว่า กลุ่มคนในภาคอีสานของไทย ลาว เวียดนาม และจีนบางส่วนมีวัฒนธรรมร่วมกัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อยืนยันในการมีวัฒนธรรมร่วมคือการถือจารีตประเพณีของคนในภาคอีสานและลาว คือ (ฮีตสิบสอง ครองสิบสี่) ซึ่งสามารถพบได้ในภาคอีสานของไทยและประเทศลาว
หลักฐานจากภาพเขียน
                จากการศึกษาและค้นคว้าของ ชัยสิทธิ์ สนสุนัน ได้กล่าวว่าหลักฐานการใช้แคนเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงในกลุ่มชนไทย-ลาว ได้มีการเขียนภาพสีไว้ตามผนังโบสถ์ วิหารเป็นสิ่งที่บ่งบอกอายุได้มากว่า
                ส่วนลวดลายคนเป่าแคนที่พบในขวานสัมฤทธิ์ ที่ได้ขุดค้นพบในประเทศเวียดนามนั้น มีลวดลายชัดเจนว่าแคนซึ่งประกอบด้วยไม้หลายๆลำคล้ายแคนของไทยและลาวในปัจจุบัน จากภาพบนขวานสัมฤทธิ์จึงเป็นหลักฐานที่สำคัญว่าชนกลุ่มไทย-ลาวมีการเข้าใจเรื่องอุโฆษวิทยาจนสามารถสร้างเครื่องดนตรีหลายเสียงได้มาไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีที่แล้ว
                ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏภาพคนเป่าแคนที่อยู่ในผนังโบสถ์วัดใหม่ในเมืองหลวงพระบางของลาว เป็นภาพคนเป่าแคนผสมเครื่องมโหรี ซึ่งภาพดังกล่าวน่าจะมีอายุประมาณ ๒๖๖-๒๙๐ ปี เพราะจากหลักฐานที่ ชัยสิทธิ์ ได้สอบถามคือวัดตั้งในช่วงปี พ.ศ.๒๒๓๙ – ๒๓๖๓
                นอกจากนี้ในประเทศไทยเองก็ยังพบการเขียนภาพการเป่าแคนไว้ตามผนังโบสถ์ ซึ่งมีการวาดไว้ที่ศาลาการเปรียญของวักชีว์ประเสริฐในเมืองเพชรบุรี จากภาพวาดที่วัดนี้ทำให้ทราบว่ามีการเป่าแคนในแถบภาคกลางก่อนสมัย รัชกาลที่ ๗ เนื่องจากการศึกษาของ ล้อม เพ็งแก้ว ทำให้ทราบว่าวัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๗ ส่วนการพบภาพการเป่าแคนที่เพรชบุรีนั้นสาเหตุเพราะคนลาวถูกวาดต้อนมาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี จากการศึกษาของอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม  คือ ในราว พ.ศ. ๒๓๒๒ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ยกทัพไปตีเมืองล้านช้างแล้วกวาดต้อนเอาลาวโซ่งดำมาอยู่ในพื้นที่เมืองเพชรบุรีดังกล่าว นอกจากนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ยังมีการกวาดต้อนคนลาวเข้ามาอีกจำนวนมาก เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ได้สั่งให้ เจ้าเมืองวียงจันทน์ ได้ไปตีเมืองแถนและเมืองพวน แล้วกวาดต้อนพวกลาวโซ่งดำมายังเมืองเพชรบุรีและพื้นที่อื่นๆอีก และในสมัยรัชกาลที่๓ได้สั่งให้พระยาธรรมาเป็นแม่ทัพยกขึ้นไปขับไล่ญวนออกจากลาว  แล้วได้กวาดต้อนลาวเวียง ลาวโซ่ง ลาวพวนมาในประเทศไทยเพิ่มอีก
สาเหตุที่มีการกวาดต้อนชาวลาวเข้ามาอยู่ในประเทศมากเพราะพลเมืองเป็นเรื่องสำคัญในสมัยนั้นเพื่อที่จะใช้แรงงานเพื่อการสร้างปราสาท ราชวัง และเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการทหาร เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เกณฑ์พวกลาวพวนและลาวโซ่งดำจากเมืองเพชรบุรีและเมืองราชบุรีไปเป็นทหาร เป็นต้น
ส่วนการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในภาคอีสานก็พบมากเช่นกัน เช่นในวัดหน้าพระธาตุ บ้านตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา และที่วัดสระบัวแก้ว บ้านวังคูณ อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น วัดบ้านโพธิ์คำ ตำบลนาก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นต้น ซึ่งภาพเขียนในวัดที่กล่าวมานั้นล้วนมีอายุที่มากพอสมควร
จากจดหมายเหตุและพงศาวดาร
การเป่าแคนเริ่มปรากฏอย่างเด่นชัดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึงเรียกการเล่นแคนว่าการเล่นลาวแคน ในสมัยนี้มีการเล่นลาวแคนในราชสำนักและนอกราชสำนักอย่างกว้างขวาง สาเหตุเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการเล่นลาวแคนและการแอ่วลาวมาก อาจารย์ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ สนับสนุนว่าพระองค์ชอบคนลาว และได้มีเจ้าจอมและพระสนมเป็นคนลาวอพยพมาอยู่ในโคราชและสระบุรีมากมาย จากการที่พระองค์ชอบการเล่นลาวอคนมากพระองค์จึงได้แต่งบทนิพนธ์ขึ้นชื่อ นิทานนายคำสอน
จากการชอบการเล่นลาวแคนของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าไม่พอพระทัย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดสำนึกทางประวัติศาสตร์ทำให้อาจเกิดกบฏได้ เมื่อพระปิ่นเกล้าทรงสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงประกาศห้ามเล่นลาวแคนในและนอกราชสำนัก ดังที่เห็นได้จากประกาศที่ห้ามไม่ให้เล่นลาวแคนหรือแอ่วลาว โดยมีความว่า

ประกาศห้ามมิให้เล่นแอ่วลาว
ณ วันศุกร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก
                “มีพระบรมราชโองการดำรัสแก่ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย และทวยราษฏร์ชาวสยามทุกหมู่เหล่าในกรุงแลหัวเมือง ให้ทราบกระแสพระราชดำริว่า เมืองไทยเป็นที่ประชุมชาวต่างเพศต่างภาษาใกล้ไกลมากด้วยกันมานานแล้ว การเล่นฟ้อนรำขับร้องของภาษาอย่างต่างๆเคยมีมาปะปนเป็นที่ดูเล่นฟังเล่นต่างๆ สำราญเป็นเกียรติยศ บ้านเมืองก็ดีอยู่แต่ถ้าของเหล่านั้นคงอยู่ตามเพศตามภาษาของคนนั้นๆก็สมควร หรือไทยก็จะเลียนเอามาเล่นได้บ้างก็เป็นอยู่ว่าไทยเลียนใครได้ เหมือนหนึ่งพระเทศนามหาชาติว่าลาวก็ได้อย่างมอญก็ได้  ว่าอย่างพม่าก็ได้ ว่าอย่างเขมรก็ได้ก็เป็นดี แต่จะเอามาเป็นอย่างไรไม่ควร ต้องเอามาอย่างไทยเป็นพื้นอย่างอื่นๆว่าเล่นได้แต่แหล่หนึ่งสองแหล่
ก็การบัดนี้เห็นแปลกไปนัก ชาวไทยทั้งปวงละทิ้งการเล่นสำหรับเมืองตัวคือ ปีพาทย์ โหรี เสภาครึ่งท่อน ปรกไก่ สักวา เพลงไก่ป่า เกี่ยวข้าวและละครร้องเสียหมด พากันเล่นแต่ลาวแคนไปทุกหนทุกแห่ง ทุกตำบลทั้งชายและหญิงจนท่านที่มีปี่พาทย์มโหรีในที่มีงานโกนจุก บวชนาค  ก็หาลาวแคนเล่นหมดทุกแห่งราคาหางานหนึ่งแรงถึงสิบตำลึง สิบสองตำลึงการที่เป็นอย่างนี้ ทรงพระราชดำริเห็นว่าไม่สู้งาม ไม่สู้ควรที่การเล่นอย่างลาวจะมาเป็นพื้นเมืองไทย ลาวแคนเป็นข้าของไทย ไทยไม่เคยเป็นข้าลาว จะเอาอย่างลาวมาเป็นพื้นของไทยไม่สมควร
ตั้งแต่พากันเล่นลาวแคนอย่างเดียวก็กว่าสิบปีมาแล้ว จนการตกเป็นพื้นเมืองแลสังเกตดูการเล่นลาวแคนชุกชุมที่ไหน ฝนก็ตกน้อยร่วงโรยไป ถึงปีนี้ข้าวในนารอดตัวก็เพราะน้ำป่ามาช่วย
เมืองที่เล่นลาวแคนมาก เมื่อถึงฤดูฝน ฝนก็น้อย ทำนาก็เสียไม่งอกงามทำขึ้นได้บ้างเมื่อปลายฝน น้ำป่ามาก็เสียหมด เพราะฉะนั้นทรงพระราชวิตกอยู่โปรดให้ขออ้อนวอนแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวงที่คิดถึงพระเดชพระคุณจริงๆ ได้งดเล่นลาวแคนเสียอย่าหามาดูแลฟัง แลอย่าให้เล่นเองลองดูสักปีสองปี การเล่นต่างๆอย่างเก่าของไทยคือ  ละคร ฟ้อนรำ ปี่พาทย์ มโหรี เสภาครึ่งท่อน ปรบไก่ สักวา เพลงไก่ป่า เกี่ยวข้าว และอะไรๆที่เคยเล่นแต่ก่อนเอามาเล่น เอามากู้ขึ้นอย่าให้สูญ เล่นลาวแคนขอให้งดเสีย เลิกเสียสักปีหนึ่งสองปีลองดู ฟ้าฝนจะงามไม่งามอย่างไรต่อไปภายหน้า
ประกาศอันนี้ ถ้ามิฟังยังขืนเล่นลาวแคนอยู่ จะให้เรียกภาษีให้แรงใครเล่นที่ไหนจะเรียกแต่เจ้าหน้าที่ และผู้เล่น ถ้าจะต้องจำปรับให้เสียภาษีให้แรง ใครเล่นที่ไหนจะให้เรียกแต่เจ้าของที่และผู้เล่น ถ้าลักเล่นจะต้องจับปรับให้เสียภาษีสองต่อสามต่อ
ประกาศมา ณ วันศุกร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก”
หลักฐานทางวรรณกรรม
                วรรณคดีไทย – ลาวที่ได้จารหรือจารึกไว้ในใบลานได้กล่าวถึงการใช้แคนเป็นเครื่องบรรเลงและการขับกล่อม จากหลักฐานประเภทนี้มักจะจารหรือจารึกเป็นอักษรธรรม อักษรไทน้อย อุดม บัวบุตรกล่าวว่าการจารอักษรลงบนใบลานน่าจะเกิดขึ้นในสมัยพระยาลิไทเพราะอักษรดังกล่าวได้รับการพัฒนามาจากอักษรปัลลวะของอินเดีย ซึ่งได้แพร่เข้ามาในดินแดนสุวรณภูมิในราวพุทธศตวรรษที่๑๐ พวกไทยใหญ่ได้นำอักษรปัลลวะมาพัฒนาเป็นอักษรธรรมและอักษรไทน้อยดังกล่าว
                วรรณคดีของไทย-และลาวที่กล่าวถึงแคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่ามีการเล่นแคนในช่วงที่มีการจารหรือจารึกวรรณคดีเรื่องนั้นๆแล้ว เช่น
ตำนานแคน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพรานคนหนึ่งได้ไปเที่ยวล่าเนื้อในป่า เขาได้ยินเสียงนกกรวิก (นกการเวก) ร้องไพเราะจับใจมาก เมื่อกลับมาจากป่าถึงบ้าน จึงได้เล่าเรื่องที่ตัวเองไปได้ยินเสียง นกกรวิกร้องด้วยเสียงไพเราะนั้นให้แก่ชาวบ้าน เพื่อนฝูงฟัง ในจำนวนผู้ที่มาฟังเรื่องดังกล่าวนี้มี หญิงหม้ายคนหนึ่งเกิดความกระหายใคร่อยากจะฟังเสียงร้องของนกกรวิกยิ่งนัก จึงได้พูดขอร้อง ให้นายพรานล่าเนื้ออนุญาตให้ตนติดตามไปในป่าด้วย เพื่อจะได้ฟังเสียงร้องของนก ตามที่นาย พรานได้เล่าให้ฟัง ในวันต่อมาครั้นเมื่อนายพรานล่าเนื้อได้พาหญิงหม้ายดั้นด้นไปถึงในป่า จนถึง ถิ่นที่นกกรวิก และนกเหล่านั้นก็กำลังส่งเสียงร้องตามปกติวิสัยของมัน นายพรานก็ได้กล่าวเตือน หญิงหม้ายให้เงี่ยหูฟังว่า 
"นกกรวิกกำลังร้องเพลงอยู่ สูเจ้าจงฟังเอาเถอะ เสียงมันออนซอนแท้ แม่นบ่" 
หญิงหม้ายผู้นั้น ได้ตั้งใจฟังด้วยความเพลิดเพลิน และติดอกติดใจในเสียงอันไพเราะ ของนกนั้นเป็นยิ่งนัก ถึงกับคลั่งไคล้ใหลหลง รำพึงอยู่ในใจตนเองว่า
"เฮ็ดจั่งได๋นอ จั่งสิได้ฟังเสียงอันไพเราะ ม่วนชื่น จับใจอย่างนี้ตลอดไป ครั้นสิคอยเฝ้า ฟังเสียงนกในถิ่นของมัน ก็เป็นแดนดงแสนกันดาร อาหารก็หายาก หมากไม้ก็บ่มี"
จึงได้คิดตัดสิน แน่วแน่ในใจตนเองว่า "เฮาสิต้องคิดทำเครื่องบังเกิดเสียง ให้มีเสียงเสนาะ ไพเราะออนซอนจับใจ ดุจดังเสียง นกกรวิกนี้ให้จงได้" 
เมื่อหญิงหม้ายกลับมาถึงบ้าน ก็ได้คิดอ่านทำเครื่องดนตรีต่าง ๆ ทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า หลาย ๆ อย่าง ก็ไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดมีเสียงไพเราะวิเวกหวานเหมือนเสียงนกกรเวก ในที่สุดนาง ได้ไปตัดไม้ไผ่น้อยชนิดหนึ่ง เอามาประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่ง แล้วลองเป่าดู ก็รูสึก ค่อนข้างไพเราะ จึงได้พยายามดัดแปลงแก้ไขอีกหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งเกิดเป็นเสียงและ ท่วงทำนองอันไพเราะเหมือนเสียงนกกรวิก จนในที่สุดเมื่อได้แก้ไขครั้งสุดท้ายแล้วลองเป่าก็รู้สึก ไพเราะออนซอนดีแท้ จึงคิดที่จะไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้ทรงทราบ ก่อนที่จะได้เข้าเฝ้า นางก็ได้เพียรพยายามปรับปรุงแก้ไขเสียงดนตรีของนางให้ดีขึ้นกว่า เดิม และยังได้ฝึกหัดเป่าเป็นท่วงทำนองต่าง ๆ จนมีความชำนาญเป็นอย่างดี 
ครั้นถึงกำหนดวันเข้าเฝ้า นางก็ได้เป่าดนตรีจากเครื่องมือที่นางได้คิดประดิษฐ์ขึ้นนี้ ถวาย เมื่อเพลงแรกจบลง นางจึงได้ทูลถามว่า 
"เป็นจั๋งได๋ ม่วนบ่ ข้าน้อย" 
พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสตอบว่า "เออ พอฟังอยู่" 
นางจึงได้เป่าถวายซ้ำอีกหลายเพลง ตามท่วงทำนองเลียนเสียงนกกรวิกนั้น เมื่อจบถึง เพลงสุดท้าย พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงตรัสว่า "เทื่อนี่ แคนแด่" (ครั้งนี้ ดีขึ้นหน่อย) 
หญิงหม้าย เจ้าของเครื่องดนตรี จึงทูลถามว่า "เครื่องดนตรีอันนี่ ควรสิเอิ้นว่าจั่งได๋ ข้าน้อย" (เครื่องดนตรีนี้ ควรจะเรียกว่าอย่างไร พระเจ้าข้า) 
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงตรัสว่า "สูจงเอิ้นดนตรีนี้ว่า "แคน" ตามคำเว้าของเฮา อันท้ายนี้ สืบไปเมื่อหน้าเทอญ" (เจ้าจงเรียกดนตรีนี้ว่า "แคน" ตามคำพูดของเราตอนท้ายนี้ ต่อไปภายหน้าเถิด) 
ด้วยเหตุนี้ เครื่องดนตรีที่หญิงหม้ายประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้ไม้ไผ่น้อยมาติดกันใช้ปากเป่า จึงได้ชื่อว่า "แคน" มาตราบเท่าทุกวันนี้
                บางท่านก็สันนิษฐานว่า คำว่า "แคน" คงจะเรียกตามเสียงเครื่องดนตรีที่ดังออกมาว่า "แคนแล่นแคน แล่นแคน แล่นแคน" ซึ่งเป็นเสียงที่ดังออกมาจากการเป่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ แต่ บางคนก็มีความเห็นว่า คำว่า "แคน" คงเรียกตามไม้ที่ใช้ทำเต้าแคน กล่าวคือ ไม้ที่นำมาเจาะใช้ ทำเต้าแคนรวมเสียงจากไม้ไผ่น้อยหลาย ๆ ลำนั้น เขานิยมใช้ไม้ตะเคียน

ซึ่งภาษาท้องถิ่นทางภาคอีสานเรียกว่า "ไม้แคน" แต่บางท่านก็ให้ความเห็นที่แตกต่างกันออกไป 
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าคิดอยู่บ้างคือ "แคน" นี้น่าจะทำขึ้นโดยผู้หญิง ซ้ำยังเป็น "หญิงหม้าย" เสียด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า ส่วนประกอบที่ใช้ทำแคนอันสำคัญคือส่วนที่ใช้ปากเป่า ยังเรียกว่า "เต้า แคน" และมีลักษณะรูปร่างเป็นกระเปาะคล้าย "เต้านม" ของสตรีอีกด้วย ทั้งการเป่าแคนก็ใช้วิธี เป่าและดูด จนสามารถทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลสนับสนุนอีกข้อคือ คำที่ เป็นลักษณะนามเรียกชื่อและจำนวนของแคนก็ใช้คำว่า "เต้า" แทนคำว่า อัน หรือ ชิ้น ฯลฯ ดังนี้ เป็นต้น ที่สำคัญคือ เสียงของแคนเป็นเสียงที่ไพเราะอ่อนหวาน ซาบซึ้งเหมือนเสียงนกการเวก ตาม นิทานเรื่องดังกล่าว เหมือนเสียงของหญิงหม้ายที่ว้าเหว่เดียวดาย ดังนั้นถ้าจึงถือว่า "หญิงหม้าย" เป็นผู้ประดิษฐ์คิดทำแคนขึ้นเป็นคนแรก  
วรรณคดีเรื่องท้าวก่ำกาดำ
ฉบับของวัดบ้านหนองอุ่ม ตำบลนาสีนวล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม  แปลโดยสุภณ  สมจิตรศรีปัญญา ที่ได้กล่าวถึงความสามารถของท้าวก่ำกาดำซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องไว้ดังนี้
“เมือนั้นโพธิสัตว์ท้าว         กาดำน้อยบายแคนเลยเป่า
ท้าวกะยืนแท่แล้                   เลยซ้ำเป่าแคน
ท้าวกะเตาะลูกหนึ่งแล้ว     ลูกสองสามสี่
ท้าวกะเตาะกิ่งก้อย              ขานเท่าแม่มือ
ท้าวกะเป่าจ้อยๆ                   เสียงเสพเมืองสวรรค์
บาดานเลย                             เป่าแถลงดังก้อง
อันว่าเสียงแคนท้าว             บาคานขับขลุ่ย
เสียงม่วนแม้ง                      พอล้มลูดใจ
ท้าวกะเป่าจ้อยจ้อย              อ้อยอิ่นกินรี
ผากฎในเมืองคน                 นี่นันออระอึ้ง
ฝูงชายโถงพร้อม                 ฟันกันลืมปาก
ฝูงหมู่สาวส่ำน้อย                ลืมเปลื้องแกว่งหลา
เขากะเซาฟังแท้                   ซาวเมืองเหมิดหมู่
เทิงขุนกวน                           ซุคนฟังพร้อม
สามฮามน้อย                        วางไนป๋ะไป
ไปเบิ่งท้าว                             ตีนต้องถืกตอ
บางพ่องตอตำต้อง               ตอแก่นไม้ตำ
เลือดบาย้อย                          แดงเข้มดังฝาง
บางพ่องป๋ะหลาไว้              วางในปบแล่น
มันมะเนมะนาปบ              แล่นไปเปลื่อยผ้า
บ่างพ่องบ่าวซ่ำน้อย            ซอนบีบนมสาว
ก็บ่มีพู่ได๋                               สิไอจามฟ้อย
เพื่อสงัดพร่ำพร้อม              ฟังแคนท้าวเป่า
เสียงแคนท้าว                       โฮงหลวงพระยาพ่อ
พระก็ฟังถี่แจ้ง                     ดูแม้งมวนกะใจ”
นอกจากนี้ก็จะมีวรรณคดีเรื่องเดียวกันและตอนเดียวกันแต่มีความแตกต่างกันที่สำนวนดังนี้
“ท้าวกะเป่าจ้อยจ้อย            คือเสียงเสพเมืองสวรรค์
ปรากฏดังม่วนก้อง              ในเมืองอ้อยอิ่น
เป็นที่ม่วนใจดิ้น                  ดอมเจ้าเป่าแคน
ฝูงหมู่ชาวเมืองเขา              เล่าฟังเย็นบิ้ง
เป็นสาวส่ำน้อย                    ลืมแกว่งกงหลา
ดีแต่ทางหลายพร้อม           มาฟังสงัดอยู่
เขากะฟังพ่ำพร้อม              ดอมท้าวเป่าแคน
สาวฮามน้อย                         วางหลามาเบิ่ง
เขากะปบฟั่งฟ้าว                 ตีนต้องถืกตอล้มถ่าว
บางพ่องพาดลาดล้ม           เลยฟ่าวแล่นหนีไปกะมี
ฝูงคนเฒ่า                              นอนเหงาหายซ่วง
สาวแม่ฮ้าง                            คะนึงโอ้หาผัว
ฝูงพ่อฮ้าง                              คิดฮ่ำคะนึงเมีย
เหลือทนทุกข์                       พู่เดียวนอนแล้ง
เป็นที่อัศจรรย์แท้ เสียงแคนท้าวก่ำ
ไผได้ฟังม่วนแม่ง                ใจสล้างหว่างเว่
ฝูงกินข้าวเซากลืน               คาคอค้างอยู่
ฝูงอาบน้ำ                              ปะผ้าแล่นมา
บ่มีไผไออี้                             จามไอสงัดอยู่
ก็จึ่งมาพร่ำพร้อม                 ฟังท้าวเป่าแคน”

วรรณคดีเรื่องพญาคันคาก
ได้มีการกล่าวถึงแคนตอนที่พญาคันคากแต่งงานกับนางเอกในเรื่อง ดังนี้
“แต่นั้น คื่นคื่นก้อง             เสียงเสพสะบัดชัย
นนตีดัง                                  คื่นเค็งคุงฟ้า
นางกะสิงฟ้อน                    บูชาเดียรดาษ
พิณพาทย์ฆ้อง                      แคนไค้ขลุ่ยซอ
สังข์ปี่แอ้                                ระเม็งพ่ำสวนไล
เนืองนันเสียง                       เสพงันบาท้าว”
วรรณคดีเรื่อง ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี
ซึ่งวรรณคดีเรื่องนี้เป็นความเชื่อของชาวไทย-ลาว ว่าปู่สังกะสา ย่าสังกะสีเป็นบรรพบุรุษของตน ซึ่งเป็นหลักฐานในการเชื่อเรื่องผีของชาวไทย-ลาวมาก่อน จากการแปลของ สุภณ  สมจิตรศรีปัญญา มีตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับแคน ดังนี้
“ทันกลางนั้น                       สุเมรุหลักโลก
มีหมู่เทพท่อนท้าว               ทันอ้างอยู่เสวย
ซื่อว่าสักกะราชาเจ้า            อินตาเทวราช
ผาสาทตั้ง                              ปรางค์แก้วง่อนสุเมรุ
มีหมู่แก้ว                               เมียท้าวเทพอินทร์
คละนานับ                            สองตื้อปลายแปดล้าน
มาเฝ้าบ่ำรือ
มีทังนนตีพร้อม                   พิณคำระบำปี่
ระฆังพาทย์ฆ้อง                  แคนไค้ขลุ่ยซอ
หอยสังข์ทังปี่ห้อ                 หอกระดิ่งดังม่วน
สวนไลกระจับปี่แก้ว           กลมเกลี้ยงกล่อมเสียง”

วรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอ่
ก็มีปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องเช่นกันกล่าวคือ
“ทั้งดอกไม้ธูปเทียนมาลา                  บูชาพระเทศนากัณฑ์ม้วน
สมควรเจ้ายถาให้แม่ออก                   ไฟดอกธูปเทียนให้แห่ไป
เวียนแวดล้อมผามใหญ่หลายถัน      เอากันฮิวโห่งันตีฆ้อง
กลองชัยพร้อมกลองโทนกลองแป่ม แคนและไค้ไหลล้อมฮอบผาม”
วรรณคดีเรื่องขูลูนางอั้ว
จากการแปลของ ปรีชา พิณทอง ได้กล่าวถึงตอนที่บริวารเมืองกาสีของท้าวขูลู ยกขบานขันหมากไปสู่ขอนางอั้วแห่งเมืองกาย ดังนี้คือ
“ผ่อเห็นชุม สาวฟ้อน หลายถันแหนแห่
เสียงเสพเข้า หลังหน้า ม่วนไพร ลางพ่องถือ วีแก้ว จามรกวัดแกว่ง
ลางพ่องสุบ เทริดม้าว ปะเหียนก้อนแกว่งแพน
ยาบยาบเหลื่อม เมืองแกง จตุลา
ตาเทียมปัด เชิดชาย ประสงค์เล่น
ลางพ่องขับ อิ่นอ้อย นำปี่แคนซอ
สาวขับเลียน แถวถัน เฮื่อคำ ตะเกียงแก้ว”
ในปัจจุบันนี้ แคน ถือเป็นเครื่องดนตรีที่มีความเก่าแก่มากที่สุด เป็นเครื่องดนตรีที่มีความนิยมเป่ากันมาก โดยเฉพาะชาวจังหวัดขอนแก่น ถือเอาแคนเป็นเอกลักษณ์ชาวขอนแก่น รวมทั้งเป็นเครื่องดนตรีประจำภาคอีสานตลอดไป และในปัจจุบันนี้ชาวบ้านได้มีการประดิษฐ์ทำแคนเป็นอาชีพอย่างมากมาย เช่น อ.นาหว้า จ.นครพนม จะทำแคนเป็นอาชีพทั้งหมู่บ้าน รวมทั้ง จังหวัดอื่นๆ อีกมากมาย และแคนยังเป็นเครื่องดนตรีที่นำมาเป่าประกอบการแสดงต่างๆ เช่นแคนวง วงโปงลาง วงดนตรีพื้นเมือง
 รวมทั้งมีการเป่าประกอบพิธีกรรมของชาวอีสาน เช่า รำผีฟ้า รำภูไท เป็นต้น รวมทั้งเป่าประกอบหมอลำกลอน ลำเพลิน ลำพื้น รวมทั้งหมอลำซิ่ง ยังขาดแคนไม่ได้
การเล่นแคนของชาวอีสานถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการผ่อนคลายจากการที่เมื่อยล้ามาทั้งวัน เช่นในตอนที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้อธิบายไว้ว่าพอถึงหัวเมืองลาวมีการเล่นลาวแคนเป็นอันมาก
















บรรณานุกรม
ขำ บุนนาค . พระราชพงศาวดารรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ . กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ , ๒๕๔๗ .
ขอนแก่น ๒๐๐ ปี . กรุงเทพฯ : ฟิวเจอร์ เพรส , ๒๕๔๐ .
ชัยสิทธิ์ สนสุนัน . เอกสารประกอบการสอนรายวิชาดนตรีพื้นเมือง . ขอนแก่น : คณะศิลปกรรมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๔๒ .
ประมวล พิมพ์เสน . บันทึกประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น . ขอนแก่น : พระธรรมขันธ์ , ๒๕๔๑ .
ปรีชา พิณทอง . ท้าวก่ำกาดำ . อุบลราชธานี : โรงพิมพ์ศิริธรรม , ๒๕๒๗ .
โพไซ  สุนละลาด . ดนตรีกับวิถีชีวิตชาวไทยพวนที่แขวงเชียงขวาง
       แห่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว . มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ,
       ๒๕๓๘ .
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม . แอ่งอารยธรรมอีสาน : แฉหลักฐานโบราณคดีพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย .
       กรุงเทพฯ : มติชน , ๒๕๔๐ .
สุจิตต์ วงษ์เทศ . คนไทยมาจากไหน . กรุงเทพฯ : มติชน , ๒๕๔๘ .
สุจิตต์ วงษ์เทศ . สุวรรณภูมิ กระแสประวัติศาสตร์ไทย . กรุงเทพฯ : มติชน , ๒๕๔๙ .
สุภณ สมจิตรศรีปัญญา . ปู่สังกะสาย่าสังกะสี . มหาสารคาม : ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
       วิทยาลัยครูมหาสารคาม , ๒๕๒๙ .
สุภณ สมจิตรศรีปัญญา . วรรณกรรมชิ้นเอกของอีสาน : ท้าวก่ำกาดำ . มหาสารคาม : ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม
       ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิทยาลัยครูมหาสารคาม , ๒๕๒๒ .


สุภณ สมจิตรศรีปัญญา . อักษรไทยน้อย อักษรกาบ อักษรสร้อย .มหาสารคาม , ๒๕๒๕ .
สุรพล เนสุสินธ์ . เอกสารประกอบการสอนดนตรีพื้นเมือง . ขอนแก่น : คณะศิลปกรรมศาสตร์
       มหาวิทาลัยขอนแก่น
อุทิศ นาคสวัสดิ์ . ดนตรีพื้นเมืองอีสาน . วารสารวัฒนธรรมไทย(หน้า ๑๐ – ๑๒) , ๒๕๒๑ .