ตั้งแต่เริ่มมีการใช้เงินในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา คนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆของประเทศไทย โดยเริ่มจากส่วนที่ใกล้ส่วนกลางหรือกรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนระบบจากการแลกเปลี่ยนสินค้ามาเป็นการซื้อขาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคเปลี่ยนให้คนเริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น ซึ่งจากเดิมอยู่กันอย่างพอเพียง มีปลากินปลา มีไก่กินไก่ หรือถามสิ่งใดขาดเขินจากครอบครัวก็จะนำเอาสิ่งของหรือสิ่งต่างๆในครอบครัวไปแลกกลับหมู่บ้านใกล้เคียง เช่นอาจารย์ศรีศักรได้เสนอว่า มีการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือสิ่งของในชุมชนโบราณ คือเกลือและเหล็ก ซึ่งไม่สามารถผลิตได้เองในหมู่บ้าน จึงต้องมีการพบปะระหว่างชุมชนกับชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า และทำให้กลุ่มดังกล่าวมีวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกันมาถึงในปัจจุบัน วัฒนธรรมในความหมายของอาจารย์ศรีศักรนั้น หมายความว่าการที่กลุ่มคนหนึ่งหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วมีการใช้พื้นที่ร่วมกัน มีสิ่งของที่ใช้เหมือนๆกัน
จากการเปลี่ยนระบบการแลกสิ่งของมาเป็นเงินนั้น ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตกซึ่งผ่านเข้ามาทางการล่าอานานิคมในโลกตะวันออก ทำให้คนที่ต้องการสิ่งหนึ่งๆ หาได้โดยการซื้อ ซึ่งการซื้อต้องมีตัวกลางในการแลกเปลี่ยน คือ เงิน เมื่อจะซื้อสิ่งต่างๆได้ต้องมีเงิน ทำให้คนเริ่มหันมาหาเงิน โดยคิดว่าทำอย่างไรจะได้เงินเพื่อซื้อสิ่งของที่อยากได้ จึงเกิดเป็นอาชีพขึ้น เช่น การกำหนดให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา เป็นตัวจุดประกายในการสร้างเศรษฐกิจของรัฐบาล มีการผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น ซึ่งจากเดิมการผลิตเป็นการผลิตเพื่อการยังชีพเท่านั้น
นอกจากนี้การพัฒนาทางเทคโนโลยีต่างๆ เช่น รถยนต์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทันสมัย ทีวี วิทยุ โทรศัพท์ ซึ่งได้สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการความสะดวกสบายอยู่แล้ว จึงต้องการแสวงหาสิ่งเห่านี้อยู่เสมอและไม่รู้จักคำว่าพอ
การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีและความทันสมัยนั้นทำให้มนุษย์มีความต้องการความสะดวกสบาย มีเงินเป็นพระเจ้า ศีลธรรมเสื่อมถอยลง เกิดปัญหาสังคม เช่น โจร ขโมย ไม่รู้จักการช่วยตนเอง ค่อยแต่ว่ารัฐจะช่วยเหลือเราอย่างไร ซึ่งในข้อนี้เมื่อมองจากอดีตแล้วรัฐเป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาจากการเริ่มต้นของการใช้เงิน การกำหนดกฎหมาย การใช้แผนพัฒนาต่างๆ และรัฐต้องเป็นผู้แก้ไข ในสายตาของคนในประเทศ ซึ่งเกิดจากการปลูกจิตสำนึกที่ไม่เคยให้ประชาชนพึ่งตนเองเลยของรัฐบาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น