จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มรดกทางวัฒนธรรม : ปราสาทหินวัดพู แขวงจำปาสัก สปป.ลาว



          มรดกทางวัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์ได้เคยสร้างไว้เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย การดำรงชีพและพิธีกรรมต่าง ๆ หลักฐานวัฒนธรรมในอดีต เช่น ซากบ้านเรือน ซากโบสถ์วิหาร ศาสนสถาน ซากกำแพงคูเมือง สถานที่ประกอบพิธีกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
การวิจัยข้ามวัฒนธรรมเป็นการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันหรือต่างกัน โดยเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างนักวิจัยเพื่อสะท้อนทัศนะในการมองวัฒนธรรมอื่นผ่านวัฒนธรรมตน นอกจากนี้การวิจัยข้ามวัฒนธรรมยังช่วยตรวจสอบปัจจัยทางพฤติกรรมศาสตร์ต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาของบุคคลต่อความเปลี่ยนแปลง การศึกษากลุ่มวัฒนธรรมใดในระยะก่อน ระหว่างและหลังการอพยพไปสู่ประเทศอื่นทำให้เกิดความเข้าใจในปัญหา ความวิตกกังวลและวิธีการจัดการและในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลง (นพวรรณ โชติบัณฑ์ , ดุษฎี โยเหลา , 29-45)
ปราสาทวัดพู ห่างจากตัวเมืองจำปาสัก(เมืองเก่า) ประมาณ 6 กิโลเมตร แขวงจำปาสักประเทศลาว จากหลักฐานการสร้างนักวิชาการเสนอว่า มีการสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่ 12ถือว่าเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดนอกจากนี้ปราสาทวัดพูยังเป็นศาสนสถานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมขอมโบราณที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมน้ำโขงในเขตจำปาสัก
ถือเป็นรากฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นการก่อร่างสร้างตัวซึ่งมีพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมและรูปแบบศิลปกรรมที่เป็นเอกลักษณ์จากสังคมบุพกาลในอดีตที่มีการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายสู่สังคมแห่งอารยธรรมที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนซึ่งนักวางผังในสมัยโบราณได้ปรับใช้ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ให้ตอบสนองต่อแนวความคิดทางศาสนาและคติความเชื่อในลัทธิไศวนิกายของศาสนาพราหมณ์ฮินดูโดยปราสาทวัดพูนี้นับได้ว่าเป็นต้นแบบสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรมของยุคสมัยอังกอร์วัดในประเทศกัมพูชา (เกรียงไกร เกิดศิริ, 2547)
หลังจากพุทธศตวรรษที่ 6หลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าชนชาติขอมเริ่มรวมตัวเป็นอาณาจักรหรือรัฐ มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 โดยพัฒนามาจากเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับอินเดีย มีความเจริญภายใต้พื้นฐานของอารยธรรมอินเดีย ใช้ชื่อว่า อาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง หรือทางเวียดนามตอนใต้และแม่น้ำโขงตอนใต้หรือกัมพูชา จนถึงบางส่วนในบริเวณของภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย โดยมีเมืองออdแก้ว (ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม) เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขาย และมีราชธานีนามว่าวยาธปุระใกล้เขาบาพนมในประเทศกัมพูชา
อาณาจักรฟูนันมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทั้งกับอินเดียและจีน หลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ยังดูรางเลือนหาข้อสรุปไม่ได้แน่ชัด ทราบแต่เพียงว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายคือ รุทรวรมัน และนับถือศาสนาพราหมณ์ที่ได้รับมาจากอินเดียเป็นหลัก มีการพบศิลาจารึกเกี่ยวกับการบูชายัญแก่เทพเจ้าในช่วงนี้ด้วยต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 12 อาณาจักรเจนละ ซึ่งแต่เดิมเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณตั้งแต่เมืองจำปาศักดิ์-ภูกล้าว และในปัจจุบันคือบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาวและทางภาคเหนือของประเทศเขมร และราชธานีของอาณาจักรเจนละคือ เมือง เศรษฐปุระอาณาจักรเจนละมีพื้นฐานอารยธรรมสืบต่อมาจากอาณาจักรฟูนันรวมทั้งการนับถือศาสนาพราหมณ์ด้วย
พระเจ้าภววรมัน ปฐมกษัตริย์ของเจนละได้ยึดวยาธปุระจากรุทรวรมัน ต่อมาพระอนุชาของภววรมันคือ พระเจ้ามเหนทรวรมันที่ 1 ได้เข้ายึดฟูนันและปราบปรามได้ ทำให้อาณาจักรเจนละได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิมจนล่วงพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรเจนละได้ถูกกษัตริย์ชวาจากราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรชวาภาคกลางรุกราน จึงทำให้เจนละแตกออกเป็น ๒ ส่วนคือ เจนละบก และ เจนละน้ำ ส่วนของเจนละน้ำนั้นถูกชวายึดครองได้ นอกจากนี้อาณาจักรชวายังได้นำตัวรัชทายาทคือ เจ้าชายชัยวรมันที่ 2 ไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรชวาอีกด้วย ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่าตัวจำนำเพื่อรับรองความจงรักภักดีของอาณาจักรขอม
ต่อมาในปี พ.ศ. 1350 ชัยวรมันที่ 2 ได้ยกทัพขึ้นมาประกาศเอกราชจากอาณาจักรชวา และยังรวมอาณาจักรเจนละบกเจนละน้ำที่แตกแยกเข้าด้วยกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรขอมใหม่ และขนานนามใหม่ว่า เมืองกัมโพชน์ตะวันออก โดยแยกตัวมาจากอาณาจักรลโวทย หรือละโว้ หรือปัจจุบันเรียกว่า ลพบุรี ซึ่งมีกัมโพชน์อยู่แล้ว โดยทรงเลือกตั้งราชธานีของเมืองกัมโพชน์ในบริเวณทางเหนือของทะเลสาบเขมร พระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจขยายเข้าไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำ บริเวณภาคอีสานของประเทศไทยด้วยในจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ ศีรษะเกษ
ลัทธิเทวราชาและการก่อสร้างปราสาทขอม
พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงสถาปนาลัทธิเทวราชา คือยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้าหรือเทวาราชา (Deva-Raja) เป็นกษัตริย์สูงสุด จึงเป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆเอาเป็นแบบอย่าง รวมถึงสยามของเราก็รับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์
ลัทธิเทวราชาหรือระบบเทวราชา ต่างจากลัทธิไศวนิกายแลไวษณพนิกาย คือ ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้าคือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ ๓ สิ่ง คือ
ขุดสระชลประทานหรือที่เรียกว่า บาราย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขมรมีความยิ่งใหญ่ เพราะเนื่องจากเขมรก็ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานใกล้แม่น้ำเท่าใดนัก ที่เมืองพระนครก็มีบารายขนาดใหญ่หลายบาราย เช่น บารายอินทรฏกะ มะละกอเต้นระบำ
กษัตริย์ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเตี้ยๆ อุทิศถวายบรรพบุรุษ หรือปราสาทขอมสร้างบนฐานเตี้ยๆเพียงชั้นเดียว เช่น ปราสาทพะโค ที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของพระองค์ นอกจากนี้ยังต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเป็นชั้นหรือปราสาทขอมแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า หากเป็นศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายก็จะประดิษฐานศิวลึงค์ของสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานเทวะรูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาทที่พระองค์สร้างไว้นั่นเอง เช่น พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ทรงสร้างปราสาทนครวัด อุทิศถวายแด่องค์พระวิษณุ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็มีพระนามว่า บรมพิษณุโลก
จากเหตุผลนี้เองที่เป็นประเพณีที่กษัตริย์เขมรทุกพระองค์จะต้องสร้างปราสาทขอมอย่างน้อยที่สุด ๒ หลัง ส่วนรูปแบบของปราสาทขอมนั้น ก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานในประเทศอินเดียที่เรียกกันว่า ศิขร ซึ่งเป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ และ วิมาน เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้ นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ จันฑิ ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนละตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวาด้วย
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า ปราสาทขอม หรือก็คือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องด้วยปราสาทขอมเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็นอิฐ ศิลาทราย และศิลาแลง เป็นต้นซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน
จึงไม่แปลกที่สามารถพบปราสาทแบบเขมร ในบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาว และแถบภาคอีสานของประเทศไทย ซึ่งมีปราสาทขอมอยู่มากมายด้วยเช่นกัน เนื่องจากในบางช่วงเวลาพระราชอำนาจของกษัตริย์ที่เมืองพระนครมีความเข้มแข็ง ทำให้อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาโบราณที่มีเหนือดินแดนประเทศไทยขยายเข้ามา ด้วยเหตุนี้ปราสาทขอมจึงถูกสร้างขึ้นในดินแดนลาวและไทยด้วย
สถาปัตยกรรมปราสาทหินวัดพู
          ปราสาทหินวัดพูถูกสร้างขึ้นบนฐานเป็นชั้นหรือปราสาทขอมแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นบนภูเขาที่มีชื่อเรียกว่า ภูเกล้า เพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า ในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย โดยปรากฏหลักฐานคือแท่นโยนีที่พบบริเวณรอบๆตัวปราสาท ประดิษฐานศิวลึงค์ของสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานเทวะรูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาท
          ปราสาทแห่งนี้มีการสร้างต่อกันมาเรื่อยๆ เพื่อเป็นการสืบทอดศาสนาและอุทิศเพื่อศาสนา อาจแบ่งเป็นยุค(แบ่งตามวัตถุที่ใช้ในการสร้าง) คือ ยุคแรก ปราสาทสร้างขึ้นด้วยดินเผา สามารถพบหลักฐานได้บริเวณด้านซ้ายและด้านขวาของบันไดทางขึ้นปราสาท (หมายเลข 3ตามภาพผังวัดพู)ในปัจจุบันบริเวณดังกล่าวจะพบเพียงกองอิฐเท่านั้น นอกจากนี้ทางด้านหลังของปราสาทองค์ประธาน(เทวาลัย)ก็สร้างขึ้นด้วยอิฐ
ก่อนที่จะมีการต่อเติมด้วยหินทรายในยุคหลังๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้เราทราบว่าปราสาทวัดพูมีการสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคแรก (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6) ส่วนในยุคที่ 2 นั้นสร้างขึ้นจากหินทรายมีอาคารทรงปราสาทหลายหลังที่สร้างขึ้นด้วยหินทรายเช่น ปราสาทองค์ประธานที่มีการต่อเติมจากตัวปราสาทเดิมที่ก่อด้วยอิฐบันไดทางขึ้นปราสาท เสานางเรียง เป็นต้น ในยุคที่สองนี้นักโบราณคดีสันนิษฐานจากภาพสลักส่วนใหญ่ว่าอยู่ในยุคปาปวน หรือในช่วง พระเจ้าอุทยดิษยะวรมัน ที่2เป็นกษัตริย์ ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีการสร้างปราสาทด้วยอิฐในยุคแรกแล้วจะไม่มีการสร้างต่อเป็นระยะเวลาร้อยๆปี แต่จากภาพสลักที่พบชี้ให้เห็นถึงการสร้างหรือศิลปกรรมที่พบเท่านั้นซึ่ง
รูปแบบปราสาทวัดพู อาคารตัวปราสาทประธาน(เทวาลัย) มีการสร้างและบูรณะในสมัยต่อๆมา อาคารหลังนี้เดิมใช้ในลัทธิพราหมณ์โดยจะประดิษฐานฐานโยนีและศิวะลึงค์ไว้ในตัวปราสาท นอกจากนี้ยังมีการต่อท่อสมสูตร มาจากน้ำธรรมชาติ ที่ชาวเมืองจำปาสักเรียกว่า น้ำเที่ยง
โดยจะให้น้ำไหลผ่านท่อสมสูตรเข้ารดศิวะลึงค์ตลอดปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้พื้นที่ในการทำพิธีกรรมและแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนในยุคนั้นที่มีต่อปราสาทหินวัดพู ด้านบนของตัวปราสาทโล่งสันนิษฐานว่าคงจะใช้กระเบื้องในการมุงหลังคาแต่ในปัจจุบันไม่มีแล้ว ในปัจจุบันอาคารหลังนี้คราวหลังที่อาณาจักรล้านช้างแผ่ขยายอำนาจเข้ามาบริเวณนี้ จึงได้นำเอาศาสนาพุทธเข้ามาด้วย อาคารหรือเทวาลัยหลังนี้จึงกลายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดังที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วนทางทิศใต้ของปราสาทองค์ประธานหรือเทวาลัยจะเป็นบรรณาลัย คือที่เก็บคัมภีร์หรือคำสอนทางศาสนา ทางทิศเหนือ ทิศใต้และทิศตะวันออกจะพบการแกะสลักหินให้มีลักษณะเหมือนบานประตู เรียกว่า ประตูหลอก อาคารบรรณาลัยนี้จะสามารถเข้าได้ด้านเดียวคือทิศตะวันตก
นอกจากนี้บริเวณก่อนทางขึ้นปราสาทยังพบปราสาทอีกสองหลังคือ โฮงท้าวและโฮงนาง สร้างด้วยหินทรายมีการแกะสลักลาดลายอย่างสวยงาม ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าเป็นที่พักของข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จพระมหากษัตริย์
ประติมากรรม
ในด้านประติมากรรมของปราสาทหินวัดพู อรวรรณ เพชรนาค ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “คติความเชื่อและรูปแบบของภาพสลัก ปราสาทวัดพู” โดยศึกษาเกี่ยวกับศิลปะที่พบบนปราสาทหินวัดพูปราสาทวัดพูว่าเป็นที่ตั้งของศาสนสถานในอารยะธรรมโบราณโดยแบ่งได้เป็น 3 ยุคคือ ๑) ยุคของอาณาจักรเจนละซึ่งนับถือเทพเจ้าและพิธีการบูชายัญ ๒)ยุคอาณาจักรขอมที่มีการสร้างปราสาทเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ และ ๓)ในยุคอาณาจักรล้านช้างที่ได้ปรับเปลี่ยนปราสาทขอมให้กลายเป็นพุทธสถานของนิกายเถรวาทจนถึงปัจจุบันอาคารต่างๆของปราสาทวัดพูได้สร้างขึ้นในยุคสมัยของอาณาจักรขอมภายใต้ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ และมีการก่อสร้างและต่อเติมอาคารในหลายยุคหลายสมัยด้านคติความเชื่อของภาพสลักที่ปราสาทวัดพูนั้นแบ่งตามคติของการสร้างภาพสลักคือภาพสลักเล่าเรื่องในศาสนาพราหมณ์ที่สร้างขึ้นตามคติความเชื่อของลัทธิไศวนิกาย กับลัทธิไวษณพนิกายซึ่งปรากฏในรูปแบบของภาพสลักเล่าเรื่องทางประติมานวิทยา มีเนื้อหาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระนางอุมา พระอินทร์และฤาษี เรื่องราวที่เกี่ยวกับสัตว์ เช่น ช้างเอราวัณนาค ครุฑ หน้ากาล สิงห์ รวมถึงลวดลายพันธุ์พฤกษาประดับตกแต่งต่าง ๆรูปแบบของภาพสลักที่ปรากฎสวนใหญเป็นศิลปะแบบบาปวนตอนต้นที่ยังคงรักษารูปแบบบางประการของศิลปะแบบเกลียงไว้ แสดงถึงการก่อสร้างภายใต้ช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันรูปแบบภาพสลักเล่าเรื่องที่ปราสาทวัดพูนั้น แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ
ได้แก่ภาพสลักเล่าเรื่องอย่างแท้จริงโดยไม่มีส่วนประกอบอื่นมาปะปนและภาพสลักเล่าเรื่องท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษาที่มีการเล่าเรื่องอยู่ในบริเวณจุดกึ่งกลางของภาพโดยภาพสลักนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญในการแสดงความหมายในเชิงสัญลักษณ์ให้ปราสาทหินแปรเปลี่ยนเป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่ประทับของเทพเจ้าอย่างสมบรูณ์
นิเวศวัฒนธรรม
ปราสาทวัดพูศูนย์กลางอำนาจและความมั่งคั่ง พ.ศ. 1000-1300 เป็นชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นศูนย์อำนาจในแถบนี้มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรเจนละ (Chenla) และอาณาจักรจาม (Champa) ให้ความสำคัญกับส่วนยอดของภูตั้งแหลมเป็นแท่งคล้ายกับลำลึงค์ มีการตั้งศาสนสถานขึ้นที่เชิงเขาและเรียกภูยอดลึงค์นี้ว่าลิงคปารวัต (Lingaparvata)หรือลิงคบรรพต ชาวบ้านเรียกกันว่าภูเก้าหรือภูเกล้า บางเอกสารเรียกภูควย เปรียบได้กับเขาไกรลาส (Kailasha) อันเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะ และแม่น้ำโขงที่อยู่ทางด้านหน้าเปรียบเสมือนมหาสมุทร ประดุจแม่คงคา วัดพูสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับและที่สักการะพระศิวภัทเรศวร (Shiva Bhadresvara)
ที่เชิงเขาด้านหลังวัดมีน้ำจากเขาไหลซึมลงมาถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะเชื่อว่าน้ำไหลลงมาจากลิงคปารวัตบนยอดเขา สิ่งปลูกสร้างแรกเริ่มเกิดในราวศตวรรษที่ 10 และปรับปรุงใหม่ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 และบุรณะต่อมาในสมัยของสุริยวรมันที่ 1 และ 2, และชัยวรมันที่ 7 ตามลาดับ
ปรากฏในจารึกว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โปรดให้ทิวากร (Divakara) พราหมณ์ราชครูสร้างและตกแต่งเพิ่มเติม สระน้าอันหนึ่งเรียกชื่อตามท่านราชครูว่า ทิวากรตฏากะ (Divakaratataka) จากศิลาจารึกที่ค้นพบที่ปราสาทเขาพระวิหารระบุว่า ศิลาฤกษ์ได้นามาจากวัดพูจึงนับว่าวัดพูเป็นวัดแม่ของปราสาทเขาพระวิหาร
การใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชุมชน
พื้นที่ปราสาทวัดพูในปัจจุบันชาวจำปาสักและชาวลาวยังถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มีการกราบไหว้ขอพร รวมทั้งมีการผสานความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เข้ากับศาสนาพุทธเช่น การนำรูปทวารบาลมากราบไหว้โดยเชื่อว่าเป็นพระยากำมะทาซึ่งเป็นลูกของท้าวคัชนามผู้สร้างเมืองจำปาสักในสมัยก่อนที่สมเด็จเจ้าราชครูขี้หอมจะพาเจ้าหน่อกษัตริย์และไพร่พลลงมาสร้างบ้านแปลงเมืองและสถาปณาอาณานครจำบากนาคบุรีศรีขึ้นในแถบนี้ รวมทั้งมีการใช้ปราสาทองค์ประธาน หรือเทวาลัยปรับเปลี่ยนเป็นพุทธสถาน โดยได้สร้างพระพุทธรูปเข้าไปประดิษฐานแทนที่ศิวะลึงค์

ทวารบาลที่ชาวจำปาสักเชื่อว่าเป็นพระยากำมะทา
          นอกจากนี้ที่ปราสาทวัดพูยังมีการประกอบพิธีกรรมประจำปี คืองานบูชาปราสาทหินวัดพู ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจากพิธีกรรมนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของชาวจำปาสักและชาวลาวมีต่อปราสาทหินวัดพู โดยถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของชาวจำปาสักและชาวลาวอีกด้วย
มองมรดกทางวัฒนธรรมเชิงเปรียบเทียบ: ปราสาทเขาพระวิหาร
ปราสาทพระวิหารอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างชายแดนไทยและกัมพูชา ใกล้กับหมู่บ้านภูมิซรอลตำบลบึงมะลูอาเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษห่างจากกลุ่มโบราณสถานในเขตเมืองพระนคร (Angkor) มาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณเกือบ 200กิโลเมตรศาสนสถานแห่งนี้ได้รับการก่อสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์อันเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะเทพสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ตามลัทธิไศวะนิกาย เช่นเดียวกันกับปราสาทวัดพู แขวงจำปาสัก สปป.ลาวจัดเป็นเทวสถานที่มีลักษณะเป็นเทวบรรพตหรือศาสนบรรพตซึ่งหมายถึงเทวสถานที่ประดิษฐานอยู่บนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเขาพระวิหารซึ่งเป็นที่ตั้งปราสาทจึงมีความสำคัญในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์เสมือนหนึ่งเขาไกลาสอันเป็นที่ประทับของเทพเจ้าคือพระศิวะลักษณะทางศิลปกรรมส่วนใหญ่ที่ปรากฏเป็นองค์ประกอบสถาปัตยกรรมของเทวสถานแห่งนี้แสดงให้เห็นลักษณะของรูปแบบศิลปกรรมขอมแบบบาปวน เช่นเดียวกับปราสาทวัดพู มีการอัญเชิญพระภัทเรศวรมาประดิษฐานใหม่ที่นี่ (ศรีภัทเรศวรเป็นชื่อเรียกเดิมของปราสาทวัดพูแขวงจาปาสักสปป.ลาว) ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนที่อยู่รอบๆปราสาทวัดพูและชุมชนที่อยู่รอบๆปราสาทพระวิหาร
จารึกพระวิหาร๑ที่ประกาศเกียรติคุณ "ศรีสุกรรมากาเสตงงิผู้ทำรั้วล้อมกัมรเตงชคัตศรีศิขเรศวรและกัมรเตงชคัตศรีพฤทเธศวร. อัญศรีสุริยวรมันเทวะเกี่ยวกับความจงรักภักดีของศรีสุกรรมากาเสตงงิ() ขณะที่ทารั้วในกัมร-. เตงชคตศรีพฤทเธศวรพร้อมกับความขยันหมั่นเพียรของในเขาการเฝ้าบัญชีเมื่อความรุ่งเรืองของพระศิวะ() ในกั. มรเตงชคตศรีศิขรีศวรซึ่งปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน (ที่)พระยศสถิราวสานะและเป็นผู้ที่มีเครือญาติทาหน้าที่รักษาจากจารึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ที่กรอบประตูระเบียงคตมีทั้งหมด 33 บรรทัดเนื้อความย่อมีดังนี้พระกัมรเตงอัญศิวทาสคุณโทษพระสภาแห่งกัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรเมืองสดุกอาพิลร่วมกับข้าราชการคนอื่นๆคือกัมรเตงอัญขทุรอุปกัลปดาบสพระกัมรเตงอัญศิขเรสวัตพระธรรมศาสตร์และพระกัมรเตงอัญผู้ตรวจการแต่ละปักษ์ซื้อที่ดินซึ่งติดกับตระพัง (สระน้า) เพื่อถวายให้แก่กัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรในวันวิศุวสงกรานต์ขึน 2 ค่าเดือน 5 มหาศักราช 964 (..1585)ปราสาทสระกำแพงใหญ่หรือกัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรเป็นศาสนสถานขอมที่น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ช่วงเดียวกับการต่อเติมปราสาทเขาพระวิหารดังที่ปรากฏในจารึกปราสาทเขาพระวิหาร 1 ในราวปีพ..1581 ว่าศรีสุกรรมากาเสตงงินายช่างผู้สร้างแนวกาแพงที่ปราสาทเขาพระวิหารเป็นผู้สร้างแนวปราสาทสระกาแพงใหญ่ด้วยอีกไม่กี่ปีต่อมาคือราวปีพ..1585 พระกมรเตงอัญศิวทาสแห่งเมืองสดุกอาพิล

เนื้อความในจารึกหลักที่ K 380 และจารึกปราสาทพระวิหาร 4 (ศก 6) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงพุทธศักราช 1580 โดยมีใจความสาคัญคือคุณงามความดีของ ศรีสุกรมา กัมเสตงิ ผู้ริเริ่มจัดทำรั้วทั้งหมดที่ พระกัมรเตงชะคัต ศรีศิขเรศวร (ศิวลึงค์ซึ่งประดิษฐาน ณ ปราสาทพระวิหาร) และพระกัมรเตงชะคัต ศรีพฤทเธศวร (ศิวลึงค์ซึ่งประดิษฐานณ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ 6) นอกจากการสร้างรั้วที่ปราสาทพระวิหาร (ซึ่งเป็นเทวสถานแห่งองค์ ศรีศิขเรศวร) กับที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ (ซึ่งเป็นเทวสถานแห่งองค์ ศรีพฤทเธศวร) แล้ว พระศรีราชปติวรมัน ยังกราบทูลเรื่องความดีอื่นๆ ที่ ศรีสุกรมา กัมเสตงิ ได้ดำเนินการคือ การพยายามจดบันทึกเวลาแสดงอภินิหาร (ศิวะเตชะ) ของ พระศรีศิขเรศวร ทั้งให้ญาติเขียนลำดับประวัติราชวงศ์กัมพูและให้หน่วยราชการเขียนประวัติเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน เริ่มตั้งแต่พระเจ้าศรุตวรมเทวะ จนถึงพระศรีสูรยวรมเทวะและให้เขียนประวัติของ พระศรีศิขเรศวร กับ พระศรีพฤทเธศวร ลงบนแผ่นศิลามอบไว้ที่ปราสาท พระเจ้าศรีสูรยวรมเทวะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์และหมู่บ้าน วิเภทะ แก่ ศรีสุกรมา กัมเสตงิ จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้าน กุรุเกษตร กล่าวคือเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านซึ่งเดิมมีนามว่าหมู่บ้าน วิเภทะ เป็น หมู่บ้าน กุรุเกษตร นักวิชาการเชื่อว่าหมู่บ้านกุรุเกษตร น่าจะได้แก่ชุมชนโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งก็คือพื้นที่ในเขตตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ และอำเภอใกล้เคียง ใน จังหวัดศรีสะเกษ นั้น เอง ดังปรากฎพบหลักฐานไม่ว่าจะเป็นโบราณสถานเช่น ปราสาทโดนตวล ปราสาทตาหนักไทร ปราสาทเยอ ปราสาทภูฝ้าย โบราณวัตถุในแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง และจารึกขอมหลักอื่นๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นลักษณะทางวัฒนธรรมในรูปแบบวัฒนธรรมขอม ที่กำหนดอายุได้ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อันเป็นช่วงเวลาร่วมสมัยกับปราสาทพระวิหาร ต่อเนื่องจนถึงในช่วงเวลาต่อมาคือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 17-18 ความโดยรวมจากจารึกเหล่านี้ จึงแสดงให้เห็นความสำคัญของปราสาทพระวิหารช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ที่มีต่อชุมชนโบราณบริเวณเชิงเขาพระวิหาร ตลอดจนชุมชนที่อยู่ห่างไกลออกไปซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาทในบริเวณที่ราบลุ่มลาน้ามูล-ชี ตอนล่าง โดยเฉพาะชุมชนบริเวณแถบเมือง สดุกอาพิล อันเป็นที่ตั้งของปราสาทสระกำแพงใหญ่ ดังเนื้อความที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเทวสถานและชุมชนโบราณทั้งสองพื้นที่
อย่างไรก็ตาม แม้นัยของลักษณะแผนผังทางสถาปัตยกรรมและข้อมูลในจารึกจะบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างปราสาทพระวิหารกับพื้นที่ชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะข้อมูลจากจารึกต่างๆ ทั้งจารึกที่พบ ณ ปราสาทพระวิหารเอง ตลอดจนจารึกที่พบในเขตประเทศกัมพูชาก็แสดงให้เห็นว่า ปราสาทพระวิหารมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับชุมชนขอมโบราณที่อยู่ในเขตที่ราบรอบทะเลสาบเขมรด้วยเช่นกัน

การวิจัยข้ามวัฒนธรรม : ผนวกความรู้สองชุดให้เข้าใจในวัฒนธรรม
          จากการที่ได้เข้าร่วมศึกษาดูงาน ณ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว และเมืองสตรึงเตรง ประเทศกัมพูชา ทำให้กลุ่มข้าพเจ้าได้เห็นแนวทางและลักษณะร่วมทางวัฒนธรรมที่มีความเชื่อมโยงและมีความสัมพันธ์กันในอดีต กล่าวคือความสัมพันธ์ของปราสาทวัดพู ประเทศลาวและปราสาทพระวิหาร คือเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นสมัยใกล้เคียงกัน (ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา)  มีลักษณะทางศิลปกรรมแบบปาปวนเหมือนกัน สร้างบนภูเขาเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ คือพระศิวะเช่นเดียวกัน มีการนำวัตถุจากปราสาทแห่งหนึ่งไปไว้อีกแห่งหนึ่ง เป็นต้น จึงทำให้ทราบว่าความสัมพันธ์และอาณาเขตของอาณาจักรเขมรเคยรุ่งเรืองมาถึงแถบประเทศลาวและประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตไม่ได้มีพื้นที่หรือเขตแดนที่แน่นอน หากใช้ปราสาทหรือศิลปะเป็นตัววัดว่าอาณาเขตมีขอบเขตถึงที่ใด ในปัจจุบันปราสาทหินวัดพูและปราสาทเขาพระวิหารกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของโลก ดังที่ ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปราสาททั้งสองแห่งเป็นมรดกโลก
                                               
อ้างอิง
เกรียงไกร เกิดศิริ.วัดพู : มรดกโลกทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมแห่งเมืองจำปาสัก. วารสารหน้าจั่ว : 2547 .
นพวรรณ โชติบัณฑ์ , ดุษฎี โยเหลา . ทำไมจึงวิจัยข้ามวัฒนธรรม .วารสารพฤติกรรม(สำเนา) :29 – 45 .
อรวรรณเพชรนาค . คติความเชื่อและรูปแบบของภาพสลัก ปราสาทวัดพู แขวงจำปาสัก สปป.ลาว.ขอนแก่น :
สาขาวิชาวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
www.วิกิพีเดีย.com/ปราสาทศิลปะเขมร . สืบค้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 .

หลวงพระบางมิติในการเปลี่ยนแปลงทางด้านการท่องเที่ยว


อารัมภบท
หลวงพระบางเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังในระดับโลก สำหรับคนไทยหลวงพระบางก็มีประวัติศาสตร์ที่เคียงคู่มาด้วยกันเสมอๆ นับตั้งแต่ยุคสมัยเชียงแสน ล้านช้าง ด้วยความที่เป็นเมืองติดแม่น้ำโขงที่สวยงาม มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย ที่ยังคงสถาปัตยกรรมอันสวยงามยากจะหาที่ไหนเหมือนได้ ด้วยเอกลัษณ์และความสวยงามของเมือง ตึกรามบ้านช่อง ที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยยุคล่าอาณานิคม ทำให้มีอาคารในรูปแบบสถาปัตยกรรม โคโลเนียลสไตล์ อยู่ทั่วไป ตัวเมืองยังมีที่ตั้งที่สวยงามล้อมรอบด้วยแม่น้ำสองสาย คือ น้ำโขงและน้ำคาน และยังคงมีธรรมชาติอันสวยงามอยู่รายรอบเมือง รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยังคงสวยงามและสืบสานมาจนทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั้งเมืองนะครับ ไม่ใช่แค่บางจุดของเมือง เพราะอย่างในหลายๆที่ มรดกโลกแห่งอื่น อาจได้ขึ้นทะเบียนอย่างจำเพาะเจาะจง ในโบราณสถานบ้าง ในแหล่งธรรมชาติบ้าง แต่ของหลวงพระบางนั้นทั้งเมือง และถูกขึ้นทะเบียนเป็ยมรดกโลกเมื่อธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักษ์รักษา ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตำนานเมืองหลวงพระบาง
แขวงหลวงพระบาง เดิมเป็นเมืองหลวงของลาว ในสมัยแรกเข้ามาอยู่สุวรรณภูมิ ภายหลังลาวแบ่งแยกออกเป็นหลายภาค หลวงพระบางเป็นเมืองหลวงของลาวภาคเหนือ ตามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้เวียงจันทน์เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันเมืองหลวงพระบางยังเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ ซึ่งประชาชนเรียกองค์ท่านว่า สมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตแห่งพระราชอาณาจักรลาว” เมืองหลวงพระบาง ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายติดฝั่งแม่น้ำโขง มีแม่น้ำคานไหลลงบรรจบแม่น้ำโขงตอนเหนือเมือง ณ ปากน้ำตรงนั้นมีวัดโบราณของลาว คือ วัดเชียงทอง ตามคำบอกเล่าของชาวลาวว่า
                                     
1นิสิตระดับปริญญาโท ระบบในเวลาราชการ กลุ่มการวิจัยทางวัฒนธรรม คณะวัฒนธรรมศาสตร์
เดิมเป็นบ่อทองคำ และมีต้นไม้ทองใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ภายหลังโค่นลงเสีย และเอาดินถมบ่อทองสร้างวิหารครอบไว้ มีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งใหญ่มากเรียกว่า ก้อนชวาตั้งอยู่ไร่นาข้าวเจ้า ซึ่งราษฎรสมัยก่อนต้องทำนาข้าวเจ้าไปถวายให้กษัตริย์เสวย ทางทิศใต้เมืองหลวงพระบางประมาณ 2 กิโลเมตร มีหมู่บ้านหนึ่งเรียกบ้านสังคะโลก หมู่บ้านนี้เดิมเรียกว่า เชียงดงเพราะมีมีแม่น้ำดงผ่าน ทุกปีมีงานสรงน้ำพระพุทธรูป กษัตริย์ชาวลาวทุกองค์ต้องเสด็จไปร่วมพิธีที่นั่น หมู่บ้านเชียงดงหรือสังคะโลกเวลานี้มีประมาณ 120 หลังคาเรือน
นามต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องกับนามเมืองหลวงพระบางสมัยแรก เพราะประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารเมืองเรียกชื่อเมืองหลวงพระบางต่างๆ กัน คือ บางฉบับเรียกว่า เชียงคงเชียงทองบางฉบับว่า เชียงดงเชียงทองบางฉบับว่า ดินแดนลาว พวกขอมอยู่ก่อน พวกละว้าหรือข่าเข้ามาอยู่ภายหลัง บางฉบับว่าพวกขอมอยู่ที่หลัง พวกละว้าหรือลั๊วะอยู่ก่อน ไทยลาวเข้ามาภายหลังทั้งสองพวก แล้วขับไล่พวกนี้ไปอยู่ตามป่าตามเขา บางท่านว่านามผู้ปกครองเมืองหรือนามบุคคลซึ่งกล่าวถึงสมัยแรกตั้งเมืองหลวงพระบางเป็นนามขอม บางท่านว่าเป็นนามของพวกละว้า ผู้ที่ทราบภาษาลาว ได้อ่านพงศาวดารภาษาลาวออก สอบถามชาวเมืองประกอบแล้วจะทราบได้ว่า นามเหล่านี้เป็นนามภาษาลาวเป็นส่วนมาก ดังนาม อ้ายเจตไหเมียชื่อนางเกล้าใหญ่ในหนังสือพงศาวดารฝ่ายไทยเขียนไว้ ที่ถูกควรเป็น อ้ายเจ็ดไหตามสำเนียงภาษาลาวและอักษรลาวเขียนไว้ นางเก๊าใหญ่มากกว่า เพราะภาษาลาวไม่ใช้อักษร ล.หรือ ร.กล้ำ คำว่า เกล้าภาษาไทยแปลว่า หัวหรือ ขมวดผมแต่คำว่า เก๊าเป็นภาษาลาว แปลได้หลายอย่าง จะยืนยันลงไปว่า นามกษัตริย์สมัยแรกเป็นขอมเพราะมีชื่อเป็นขอมทั้งนั้นยังนับไม่ได้
ตามพงศาวดารล้านช้างว่า โอรสขุนบรมองค์ที่ 1 นามขุนลอ ไปตั้งเมืองบริเวณเมืองชะวา (คือเมืองหลวงพระบาง) ชั้นแรกเรียกว่า บ้านเซ่า คำว่า เซ่าภาษาลาวแปลว่า หยุดหรือ พักอาจจะหมายความว่าขุนลอ ยกไพร่พลลงมาเห็นทำเลตรงนั้นเหมาะจะสร้างเป็นเมืองหลวงจึงหยุดพัก ชั้นแรกยังไม่ได้ตั้งชื่อเมือง คงเรียกกันว่าบ้านเซ่า ไปพลางก่อน ต่อมาพลเมืองหนาแน่นเข้า เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น เชียงดง เชียงทอง หากเชียงดงเป็นนามเดิมของหมู่บ้านสังคะโลก ซึ่งมีน้ำดงไหลผ่านและเชียงทองนั้นหมายถึงปากแม่น้ำคานตอนไหลบรรจบแม่น้ำโขง ติดตัวเมืองหลวงพระบางทางเหนือและเป็นที่ตั้งวัดเชียงทองเวลานี้ คำว่า เชียงดงเชียงทองคงหมายถึง 2 เมืองติดกัน ต่อมาเมื่อได้เชิญพระบางมาจากเวียงจันทน์ ไปประดิษฐาน ณ เมืองเชียงดงเชียงทองแล้วจึงเปลี่ยนนามเมืองเป็น เมืองหลวงพระบางมาจนทุกวันนี้
พงศาวดารลาว ได้เล่าถึงเรื่องเมืองหลวงพระบางสมัยแรกดังนี้นับแต่ขุนบูลม ลงมาตั้งเมืองหลุ่มได้ 205 ปี ขุนลอใหญ่มาได้ 23 ปี ก็ล่วงมาตั้งเมืองชะวาที่เชียงดงเชียงทอง อันเจ้ารัสสี (ฤาษี) แฮกหมายใส่หลักคำใส่หลักเงินไว้ ที่ก้อนก่ายฟ้าหั้นแล ยามนั้น ข่ากันฮางปู่มัน พระยานาคอยู่น้ำท่าผาติ่งสบอูหั้น ขุนลอจึงมาเลวแป้ (รบชนะ) ไล่เขาเมืองภูเลาภูคา จึงเป็นข่าเก่าบัดนี้แล อันนั้นแม่นข่ากันฮางแลยังมีคนชุมหนึ่ง แม่เขาชื่อนางกางฮีผีเสื้อ พ่อเขานั้นเป็นคนเอากัน เป็นผัวเมียจึงมีลูก เขาใส่ชื่อลูกผู้พี่นั้น ชื่อขุนเค็ด ผู้น้องชื่อขุนคาน เขาอยากมาตั้งที่เชียงดงเชียงทอง บุญเขาน้อยมาตั้งบ่ได้ เขาจึงไปตั้งที่เชียงงวด อัน เฮาว่าขึงมวกบัดนี้แล บ่อนหั้นเปนบ้านเมืองเขา ขุนลอจุงไปเลวเอาแต่นั้นเขาก็เอารี้พลมาฮอดท้านขันหั้น ขุนลอก็ไปเลวได้ชนกัน ขุนลอก็เลวแป้ (รบชนะ) ไล่ไป ก็ได้ขุนเค็ดขุนคานที่เชียงงวด ทั้งพ่อทั้งลูกเอาไปจมน้ำเสียที่ดอนสิงหั้นแล เชื้อแถวขุนคานก็พ่ายหนีไปลี้ซ่อนอยู่หั้นแล แต่นั้นเจ้าขุนลอก็คืนมาฮอดเชียงดงเชียงทอง แล้วคนทั้งหลายจึงราชาภิเษกให้เป็นเจ้าแผ่นดินหั้นแล
ตามข้อความข้างบน แสดงว่าเมืองชะวานั้นมีชนชาติข่านามว่า กันฮาง ตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ก่อน เมื่อขุนลอโอรสของขุนบรมเข้ามาก็ขับไล่พวกข่ากันฮางไปอยู่ตามป่า ตามภูเขาภูคา เป็นทาสของชาวลาวตราบทุกวันนี้ ยังมีชนพวกหนึ่งมีหัวหน้า 2 พี่น้อง ผู้พี่ขุนเค็ด ผู้น้องชื่อขุนคาน เป็นโอรสของนาง กางฮี ผีเสื้อ มีบิดาเป็นมนุษย์ ตั้งบ้านเมืองอยู่เชียงงวด (ขี้มวกหรือขึงมวก) ขุนลอยกไปรบชนะขับไล่พ่ายไป เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตตมราชธานี โดยเอา งอนหมื่นหลวงเท่าสบโฮบเป็นหางนาค เอาสบคานและน้ำของก้ำ (เฉียง) เหนือเป็นหัวนาค จึงได้ชื่อว่าเมืองศรีสัตตนาคเพื่อดังนั้น อันชื่อเมืองล้านช้างนี้เอานิมิต จึงเรียกว่าเมืองล้านช้างเพื่ออั้นแลเมืองหลวงพระบาง จึงมีหลายชื่อ ชาวลาวปัจจุบันนิยมเรียกชื่อเดียวว่า เมืองหลวงพระบาง หมอมัคกิลวารีไปประเทศลาวเมื่อ พ.ศ. 2414 ได้เขียนไว้ว่า เมืองหลวงพระบางนี้มีลักษณะมั่นคงกว่าหัวเมืองไทยทั้งหลายที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ และเป็นเมืองต่างจากเมืองลาวทั้งปวง พลเมืองส่วนมากไม่ได้อยู่ในเมือง ทำเลการทำนาก็อยู่ห่างไกลเมืองออกไป ข้าวที่ส่งเป็นอาหารของชาวเมืองหลวงพระบางได้จากพวกชาวเขาที่ส่งส่วยเป็นภาษีประจำ เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งโขง มีเนินเขาอยู่ตรงกลางสูงประมาณ 200 ฟุต มีสถูปเจดีย์อยู่บนยอด ลำน้ำแม่คานไหลผ่านตัวเมืองออกไปบรรจบแม่น้ำโขง
ตำนานเมืองหลวงพระบางตอนต้น เล่าว่า เดิมเมืองหลวงพระบางนั้นเป็นเมืองผีเสื้อหรือยักษ์ มีพญายักษ์ตนหนึ่งชื่อ นันทา เมียชื่อมหาเทวี ลูกลาวชื่อนางกางฮี (นางเมรี) เขาเจ้าผัวนางตายก่อนเมีย จึงไปเป็นพระยาอินทปัตเกิดลูกชื่อ เจ้าพุทธเสน (พระรถ) มาเอานาง กางฮี เป็นเมีย มีลูกชายผู้หนึ่งชื่อ ท้าวพิสี มีลูกหญิงผู้หนึ่งชื่อนางพิไสย ผู้เฒ่าชาวเมืองหลวงพระบางเล่าให้ฟังว่า บิดาของนางกางฮีจำแลงกายไปท่องเที่ยว ไปพบหนุ่มน้อยเจ้าพุทธเสนเข้า อยากให้ธิดาของตนลิ้มรสเนื้อมนุษย์ จึงลวงให้เจ้าพุทธเสนไปบ้านเมืองของตน และเขียนหนังสือถึงนางกางฮีว่า ถ้าไปถึงกลางวันให้กินกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนจงกินกลางคืนปิดผนึกมอบให้เจ้าพุทธเสนเดินทางไปหาลูกลาวของตน เจ้าพุทธเสนเอาจดหมายผูกติดเชือกแขวนคอแล้วเดินทางรอนแรมขึ้นเขาข้ามห้วยลำธาน อดๆ อยากๆ ครั้นเดินทางมาถึงริมฝั่งโขง ณ ภูเขาลูกหนึ่งเรียกว่ ผาตัดแก้ (เวลานี้เรียกกับแก้ อยู่ใต้หลวงพระบาง) ก็นอนหลับไป เทพารักษ์รักษาป่าถิ่นนั้นมาเห็นจดหมายผูกแขวนไว้ที่คอของเจ้าพุทธเสน ก็สงสัยจึงลอบเปิดอ่านดู ทราบความแล้วเกิดสงสารจะตายเปล่าไม่เข้าที จึงเขียนข้อความให้ใหม่ว่า ไปถึงกลางวันหรือกลางคืนให้เอาเฮ็ดผัวครั้นเจ้าพุทธเสนตื่นขึ้นมาเดินทางเข้าต่อไปถึงสวนแถน (เวลานี้อยู่ใต้เมือง) ณ สวนนี้มีมะม่วงมะนาวพูดได้ ชาวพื้นเมืองเรียก มะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่ ได้พบปะกับนาง กางฮี มอบหนังสือให้ ได้เสียเป็นผัวเมียกัน ครอบราชสมบัติเมืองหลวงพระบาง จนสิ้นพระชนม์ กลายเป็นภูเขา 2 ลูก อยู่ฝั่งเชียงแมนซึ่งตรงกันข้ามกับหลวงพระบาง เรียกภูท้าว ภูนาง ปัจจุบันนี้สุสานที่ฝังศพกษัตริย์ของเมืองลาวอยู่ใต้ภูท้าว เรียกป่าช้าหนองเงิน ภูนางนั้นเป็นรูปผู้หญิงนอน มีศีรษะ คอ หน้าอก และมีสระอยู่ 3 สระ ชาวพื้นเมืองนับถือกันมากไม่มีผู้ใดกล้าไปตัดฟันต้นไม้หรือขุดดินตามแม่น้ำโขงนับจากใต้เมืองห้วยทรายลงมายังเมืองหลวงพระบาง และใต้หลวงพระบางลงไปสุดแดนของแขวงนี้ มีเกาะแก่งอันตรายร้ายแรงมากมาย แต่ละแก่งมีชื่อและประวัตินิยายอันน่ากลัว เช่น ผาย่าเฒ่าใต้ปากทา มีก้อนหินอยู่ริมน้ำเป็นรูปหญิงแก่สีขาว เล่าว่า แม่เฒ่าชาวข่ามุจะไปเมืองหลวงพระบาง ล่องเรืองมาเรือล่มจมน้ำตาย กลายเป็นหินรูปหินย่าเฒ่าอยู่ตรงนั้นตราบจนบัดนี้
มรดกโลกหลวงพระบาง
ในระหว่างปี พ.ศ. 2536-2537 องค์การยูเนสโกเข้ามาสำรวจหลวงพระบางตามข้อเสนอให้เมืองนี้ได้เป็นมรดกโลกด้วยชัยภูมิที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวของเมืองหลวงพระบาง และด้วยการที่ฝรั่งเศสย้ายศูนย์กลางการบริหารปกครองไปอยู่ที่เวียงจันทน์ ยังผลให้ราชธานีเก่าแก่อย่างหลวงพระบางคงบรรยากาศแบบโบราณเอาไว้ได้จนกระทั่งทุกวันนี้ แม้ในยุคสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อ หลวงพระบางก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แต่การคุกคาม ที่แท้จริงนั้นเริ่มขึ้นในทศวรรษ 1990 เมื่อลาวเริ่มเปิดประเทศต้อนรับโลกภายนอกและการพัฒนาความเจริญอีกครั้ง โชดดีที่องค์การสหประชาชาติให้ความสนใจกับปัญหานี้และส่งคณะผู้แทนเข้ามาทำการสำรวจ รายงานที่ได้รับทำให้ยูเนสโกประกาศยกย่องให้หลวงพระบางเป็น เมืองที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้อย่างดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์” (The best preserved city in South-East Asia)

บริเวณเมืองเก่าหลวงพระบางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำคานบนพื้นที่ 2 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมวัดเชียงทอง หอพิพิธภัณฑ์ วัดใหม่สุวันนะพูมาราม และพระธาตุพูสี ได้รับการ ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมกรมรดกโลกครั้งที่ 19 ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 ด้วยเงินช่วยเหลือในการบูรณปฏิสังขรณ์และบำรุงรักษาโบราณสถานจากองค์การสหประชาชาติ เป็นเครื่องประกันอนาคตของหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี เป้าหมายหลักของยูเนสโกคือ การคงบรรยากาศแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของหลวงพระบาง ตลอดจนอนุรักษ์สถาปัตยกรรมทั้งของลาวและฝรั่งเศส รวมถึงประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ ไว้ ในปี ค.ศ. 1998 ยูเนสโกได้ว่าจ้างสถาปนิกฝรั่งเศสสองคนกับสถาปนิกลาวอีกห้าคน ให้เข้ามาปฏิบัติภารกิจดังกล่าว ปัจจุบันพวกเขาได้คัดสิ่งปลูกสร้างที่เป็นโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ออกมาได้มากถึง 700 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียนแบ่งแยกหมวดหมู่และทำเรื่องร้องขอการคุ้มครองจากทางการ นอกจากนี้ ยังห้ามการปลูกตึกสูงหรือการพัฒนาความเจริญใดๆ อันจะสร้างความเสียหายให้กับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของเมืองหลวงพระบางอีกด้วย การพิจารณาให้สถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดเป็นมรดกโลกนั้น คณะกรรมการมรดกโลกมีเกณฑ์การพิจารณา 6 ข้อ โดยสถานที่นั้นต้องผ่านเกณฑ์อย่างน้อย 1 ข้อ แต่เมืองหลวงพระบางนั้น ผ่านเกณฑ์พิจารณาถึง 3 ข้อได้แก่
 เกณฑ์ข้อที่ 1 : คือ หลวงพระบางถือเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านช้างมาแต่นับอดีต จวบจนปัจจุบันเมืองนี้ยังนับเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของประเทศลาวอยู่ และเป็นแหล่งของศิลปะรวมทั้งสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างที่โดดเด่นชัดเจน
 เกณฑ์ข้อที่ 2 : คือ หลวงพระบางมีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียลซึ่งยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ ถือเป็นแบบอย่างของเมืองซึ่งประกอบด้วยสถาปัตยกรรมยุคนี้ที่ชัดเจน
เกณฑ์ข้อที่ 3 : คือ ทำเลของหลวงพระบางแสดงถึงภูมิปัญญาในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ และสะท้อนวัฒนธรรมในการจัดสรรทรัพยากรซึ่งยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน ความเป็นมรดกโลกของเมืองหลวงพระบางที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดคือ สถาปัตยกรรมของวัด และอาคารบ้านเรือนแบบโคโลเนียล ห้องการมรดกโลกหรือตัวแทนของคณะกรรมการมรดกโลกประจำเมืองหลวงพระบางได้จัดแสดงนิทรรศการ เฮือนลาวแปดหลังหรือสถาปัตยกรรมอาคารแปดแบบ ที่ทำให้หลวงพระบางได้รับเลือกเป็นมรดกโลกไว้ที่ เฮือนมรดกเชียงม่วน กลางเมืองหลวงพระบาง

เมื่อหลวงพระบางเป็นเมืองท่องเที่ยงทางวัฒนธรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เข้าไปเยือนจะต้องปฏิบัติตามกฏที่มีการตั้งไว้เพื่อเป็นการอนุรักษฺและให้เกียรติแก่สถานที่ เพื่อให้สังคมหลวงพระบางเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ข้อควรปฏิบัติสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อไปเที่ยวหลวงพระบาง
โดยทั่วไปวัฒนธรรมลาวก็คล้ายคลึงกับไทย ซึ่งทำให้ไม่ยากในการปรับตัวและเข้าใจ คนลาวชอบคนอ่อนน้อม มีมารยาทไม่ต่างจากไทย ผู้น้อยเคารพผู้อาวุโสกว่า เจอหน้าก็ยกมือไหว้กัน ซึ่งลาวเรียกว่า นบ แม้ปัจจุบัน ผู้ชายลาวจะนิยมใช้วัฒนธรรมตะวันตกด้วยการจับมือกัน แต่การไหว้ก่อนแล้วค่อยจับมือก็ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย
ขอให้รำลึกอยู่เสมอว่ามารยาทไทย มารยาทลาวนั้น ไม่ต่างจากกันเท่าไร บางคนไปหลวงพระบางแล้ว ทำตัวตามสบายเหมือนนักท่องเที่ยวฝรั่ง นั่นอาจทำให้เจ้าบ้านรู้สึกอึดอัดใจได้ เพราะคนลาวมักเชื่อเสมอว่าลาวกับไทยนั้นยึดถือมารยาทแบบเดียวกัน พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ผิดมารยาทไปบ้าง คนลาวอาจให้อภัยว่าเป้นเพราะไม่รู้ แต่หากเป็นคนไทยเขาจะรู้สึกว่าเป็นการไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติกัน
มารยาทในที่สาธารณะอย่างการจับมือถือแขนอาจไม่นักหนาแต่หากถึงขั้นโอบคอ โอบไหล่ กอดจูบกันนั้น ฝรั่งไม่ถือ แต่คนลาวถือเช่นเดียวกับคนไทย ขอให้ใช้ความเป็นไทยเวลาไปเที่ยวเมืองลาว ไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นสากลตามแบบนักท่องเที่ยวตะวันตก
เวลาไปเที่ยวชมวัดวา แม้มิได้ไปทำบุญ แต่ควรระลึกถึงว่ากำลังเข้าไปในเขตพัทธสีมา สตรีห้ามนุ่งสั้น ไม่ว่ากระโปรงหรือกางเกง เพราะหากเป็นสตรีลาวยังต้องนุ่งซิ่นเท่านั้นจึงจะเข้าวัดได้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอาจอนุโลมให้ใส่กางเกงขายาวแทนได้ เสื้อไม่ควรแขนกุด ประเภทสายเดี่ยวเกาะอก ไม่ควรนำไปด้วยเป็นดีที่สุด
 ส่วนสุภาพบุรุษ กางเกงต้องขายาว เสื้อสุภาพ ประเภทเสื้อกล้ามตัวบาง อย่างนักท่องเที่ยวฝรั่งนิยม ซึ่งชาวลาวเรียกว่า เสื้อห้อย นั้น ไม่ควรสวมเข้าวัด
หากอยากไปทำบุญ ไม่ว่าที่วัดหรือการตักบาตรตอนเช้า สตรีควรเตรียมซิ่นหรือผ้าถุงไปด้วย แพรเบี่ยงสำหรับเป็นผ้ากราบผืนหนึ่ง หากไม่มีก็หาซื้อในหลวงพระบางได้ ส่วนผู้ชายไม่ยุ่งยากมากนัก มีเพียงกางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีอ่อนหน่อย และผ้าพาดไหล่สักผืน ก็เป็นอันใช้ได้
มารยาทในการถ่ายภาพเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องคำนึงถึง การถ่ายภาพอาคารบ้านเมืองหรือทิวทัศน์ไม่นับเป็นปัญหา แต่หากมีบุคคลเป็น เป้าหมาย นั้น ต้องคำนึงให้มากว่า กำลังเข้าไปรบกวน วุ่นวายกับชีวิตประจำวันของเขาหรือเปล่า การถ่ายภาพบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือพระสงฆ์สามเณร ควรขออนุญาตบุคคลนั้นก่อน การถ่ายภาพงานพิธีกรรมต่างๆ ต้องสอบถามเจ้าของงานหรือผู้อาวุโสในที่นั้นว่าสามารถถ่ายรูปได้ไหม ยิ่งเป็นพิธีกรรมที่จริงจังแล้วทางที่ดีไม่ควรใช้ไฟแฟลช เพราะจะรบกวนพิธีและสมาธิของผู้ร่วมพิธีได้
จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สู่แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในหลวงพระบาง
วัดเชียงทอง
            วัดเชียงทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง ใกล้บริเวณที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง มีถนนเล็กๆชื่อถนนโพธิสารราช ริมน้ำโขงคั่นอยู่ วัดเชียงทองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2102 ?2103 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ในบรรดาวัดวาอารามทั้งหมดต้องยกให้วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงามที่สุด และได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด "นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว" วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชาติศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชาติศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของประเทศลาว
พระอุโบสถ ภาษาลาวเรียกว่า สิม เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนักหลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่ ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่ มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงาม ที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ
พระประธาน หรือชาวลาวเรียกว่าพระองค์หลวง ภายในพระอุโบสถเป็นสีทองงดงามอร่ามตาด้านข้างพระองค์หลวงมีพระบางจำลอง และผนังด้านหลังของพระอุโบสถเป็นภาพที่เกิดจากการใช้กระจกสีตัด ติดต่อกันเป็นรูปต้นทองขนาดใหญ่ ซึ่งเคยมีในเมืองหลวงพระบางลักษณะคล้ายต้นโพธิ์ ด้านข้างต้นทองเป็นรูปสัตว์ในวรรคดียามใดที่แสงแดดสดส่องสะท้อนดูงดงาม
         วิหารน้อย ด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารสองหลังนี้ จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้น บ้าน บนพื้นสีชมพู ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจักแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474 และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507
          ส่วนวิหารอีกหลังที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถคือ วิหารพระม่าน ผนังวิหารด้านนอกมีลักษณะคล้ายกับวิหารองค์แรก ภายในวิหารนี้ประดิษฐาน พระม่าน ในช่วงวันขึ้นปีใหม่จะมีการอันเชิญมาให้ประชาชนสรงน้ำและกราบไหว้เป็นประจำทุกปี ผนังด้านหลังวิหารทาด้วยสีชมพูประดับด้วยกระจกสีแสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คน สร้างขึ้นใน พ.ศ.2493 เพื่อเฉลิมฉลองที่โลกก้าวสู่ยุคกึ่งพระพุทธกาล
ด้านหลังของวิหารพระม่านจะเป็นพระธาตุศรีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นโขงเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งหอกลองมีลวดลายลงรักปิดทองสวยงาม
โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกได้เพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ กลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศสามองค์ตรงกลางเป็นองค์ใหญ่ของเจ้าสว่างศรีวัฒนา ด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเก็บราชรถนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และใช้ช่างชาวหลวงพระบางชื่อ เพียตัน นับว่าเป็นช่างฝีมือดีประจำพระองค์ มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก จุดเด่นของโรงเมี้ยนโกศยังอยู่ที่ประตูด้านนอกคือเป็นภาพแกะสลักวรรณคดี เรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่น ตอนพิเภกกำลังบอกความลับที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม ถัดลงมาเป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ ถัดลงมาเป็นตอนที่พระรามพระลักษณ์ต่อสู้กับทศกัณฑ์ ด้านล่างสุดเป็นตอนที่นางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับพระราม เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นการลงรักปิดทอง ต่อมาได้มีการบูรณะใหม่โดยทาสีทอง ภายในวัดยังมีเขตสังฆาวาสและยังมีพระจำพรรษาอยู่เช่นวัดทั่วไป
วัดวิชุนราช
ตั้งอยู่ถนนวิชุนราช ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้ วัดวิชุนในเรื่องมีความแปลกที่พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม และเจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญและความโดดเด่นของวัด วิชุน
สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ สร้างโดยพระเจ้าวิชุนราชในปีพ.ศ. 2057 และตั้งชื่อวัดตามพระนามของพระองค์เอง ในสมัยฮ่อบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง วัดวิชุนถูกพวกฮ่อเผาทำลาย จนรัชสมัยพระเจ้าสักกะรินจึงได้บูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยมี อองรี มาร์แซล นายช่างฝรั่งเศสผู้เคยบูรณะนครวัดเป็นแม่งาน เนื่องจากที่นี่เคยเป็นหอพิพิธภัณฑ์มาก่อนที่จะย้ายหอพิพิธภัณฑ์ไปที่ พระราชวังเดิม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระอุโบสถ หรือที่ชาวลาวเรียกว่าสิม เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง ตัวอุโบสถมีรูปทรงอาคารไทลื้อสิบสองปันนา ซึ่งมีจุดเด่นคือส่วนคอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไป ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่(หรือช่อฟ้าแบบไทย) ตรงกลางหลังคามีช่อฟ้า เป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้น หน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยลูกมะหวด บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทอง มีรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม และพระอินทร์ ศิลปะแบบเชียงขวาง ระเบียงด้านหน้าที่หันอออกสูพระธาตุหมากโมมีชายคาใหญ่ยื่นลงมาคลุม ทำให้สิมแบบนี้ไม่มีหน้าบัน ด้านข้างสิมมีทางเดินเชื่อมระหว่างวัดวิชุนกับวัดอาฮาม ตรงรอยต่อของเขตพัทธสีมาเป็นซุ้มประตูโขง อันเป็นลักษณะของวัดแบบล้านนาและล้านช้างในอดีต ซุ้มประตูโขงที่วัดวิชุนนี เก่าแก่ที่สุดในบรรดาประตูโขงทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่ในหลวงพระบาง นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่และโบราณวัตถุ ที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ภายในหลวงพระบางอีกด้วย
พระประธานหรือ พระองค์หลวงในพระอุโบสถมีขนาดใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง ด้านหลังพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง เช่นพระพุทธรูปสำริด พวกไม้จำหลักลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรักปิดทองสูงเท่าคนจริงจำนวนมาก
พระธาตุหมากโม (หมากโม หมายถึง แตงโม) เป็นเจดีย์ปทุมหรือพระธาตุดอกบัว แต่ชาวลาวทั่วไปเรียกว่า พระธาตุหมากโม เนื่องจากเห็นว่ามีรูปทรงคล้ายแตงโมผ่าครึ่งหรือทรงโอคว่ำ คล้ายสถูปฟองน้ำที่สาญจี ประเทศอินเดีย ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดย์ทิศทรงดอกบัวตูมทั้งสี่มุม
พระนางพันตีนเชียง มเหสีของพระเจ้าวิชุนราช ซึ่งเป็นชาวพวนเมืองเชียงขวาง โปรดให้สร้างพระธาตุหมากโมขึ้นในปี พ.ศ.2057 ในอดีตพระธาตุหมากโมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ แต่ต่อมาได้มีการย้ายไปประดิษฐานที่หอพระบาง ซึ่งพระธาตุหมากโมเึคยถูกปฏิสังขรณ์มาแล้ว 2 ครั้ง ในปีพ.ศ.2402 รัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457 ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์มีการปฎิสังขรอีกครั้ง ซึ่งการบูรณะครั้งนี้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้วซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต โบราณวัตถุเหล่านี้ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และได้เก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางจวบจนปัจจุบัน
วัดแสนสุขาราม
ตั้งอยู่ที่ถนนเชียงทอง ภายในตัวเมือง ใกล้กับวัดสงบลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ วัดแสนสุขาราม สร้างขึ้นในพ.ศ. 2261 ตามประวัติกล่าวว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000 กีบ  ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนเริ่มสร้าง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังที่นครหลวงพระบางแยกออกจากนคร เวียงจันทน์ได้ 11 ปี โดยวัดแสนได้รับการบูรณะ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475 ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ. 2500 ส่วนการประดับลวดลายปิดทองนั้นบูรณะเมื่อคริสศตวรรษที่ 20 โดยช่างชาวหลวงพระบาง จุดเด่นของวัดแสนสุขารามคือ  พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง มีพระหัตถ์ที่งดงามผ่องแผ้ว และหอรอยพระพุทธบาทจำลองด้านข้างหอพระยืน ส่วนพระอุโบสถลงรักปิดทองอย่างสวยงาม จัดเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางตอนกลาง สังเกตได้จากเสาทรงแปดเหลี่ยม และยอดเสารูปกลีบบัว ส่วนผนังภายในพระอุโบสถตกแต่งด้วยการเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง โดยตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระประธานหรือพระองค์หลวง สร้างให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามและน่าสนใจไม่น้อยเลยปิดท้ายด้วย รูปปั้น เทวดา ครับที่ศิลปะแนว หลวงพระบาง



วัดใหม่สุวรรณภูมาราม
หรือที่ชาวหลวงพระบางเรียกกันสั้นๆว่า "วัดใหม่" เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาวและยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบางในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานในหอพระบางภายในพระราชวังจวบจนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อมาเยือนวัดแห่งนี้สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากวัดอื่นๆ คือตัวอุโบสถ(สิม) ลักษณะจะเป็นอาคารทรงโรง หลังคามีขนาดใหญ่ มีชายคาปกคลุมทั้งสี่ด้านสองระดับต่อเนื่องกัน ด้านข้างมีฐานยื่นออกมารับกับชายคาที่ทอดยาวลงเกือบดินพื้นดิน บนยอดหลังคาเป็นหน้าจั่วขนาดใหญ่โดยมีหลังคาเล็กๆ ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง ตรงกลางของหลังคาเล็กประดับช่อฟ้า ด้านหลังมีหอขวางสร้างขึ้นติดกัน เชื่อว่ามาต่อเติมในภายหลัง ที่ระเบียงด้านหน้ามีอาคารคล้ายศาลาขวางครอบอยู่ มีหลังคาติดกับหลังคาอุโบสถ ที่เสาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ผนังด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองดูเหลืองอร่ามงามตายาวตลอดผนัง เล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก โดยฝีมือช่างหลวงประจำรัชกาลเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ด้านล่างเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ มีรูปช้างน้ำอยู่ด้านล่างขวาของภาพ ส่วนบานประตูแกะสลักเป็นรูปเทวดาศิลปะแบบเชียงขวาง
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปนับหมื่นนับแสนองค์บนผนังสีแดง คล้ายกับที่เคยพบเห็นในวัดบางแห่งของจังหวัดเชียงใหม่ ตรงกลางเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีพระพักตร์ที่งดงาม จัดเป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลวงพระบางแบบหนึ่ง ตรงข้ามด้านหน้าพระอุโบสถมีอาคารก่ออิฐถือปูนหลังเล็กๆ 2 หลังขนาดต่างกัน ชาวลาวเรียกว่า "อูบมุง" ขนาบข้างพระธาตุทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม อูบมุงหลังใหญ๋หันหน้ามาทางพระอุโบสถ ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดค่อนข้างใหญ่ประดิษฐานอยู่ ส่วนอูบมุงหลังเล็กหันหน้าออกถนน บริเวณภายในวัดใหม่มีการจัดวางผังอาคารกลุ่มพุทธวาสและสังฆาวาสแยกออกเป็นสัดส่วน มีแนวต้นไม้เล็กๆคั่นอยู่
ในช่วงปีใหม่ลาว (เดือนเมษายนของทุกปี) ทางการได้มีการอัญเชิญ "พระบาง" ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง มาไว้ที่ลานด้านหน้าของวัดใหม่แห่งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำอีกด้วย




วัดพระบาท (ใต้)
          อยู่ริมแม่น้ำโขงด้านทิศใต้ของตัวเมืองหลวงพระบาง ห่างจากวัดธาตุหลวงประมาณ 200 เมตร (ทางไปน้ำตกตาดกวางซี) สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าสามแสนไท ตัววัดในอดีตตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นในด้านทิศใต้คู่กับวัดพระบาทเหนือ จากหลักฐานร่องรอยที่พบเห็นเชื่อว่าสร้างในรัชสมัยพระเจ้าสามแสนไท เนื่องจากการบูรณะวัดในปีพ.ศ. 2503 สภาพวัดได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเกือบทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นศิลปะจีน-เวียดนามซึ่งในสมัยนั้นมีเจ้าอาวาสเป็นชาวเวียดนาม ที่เกิดและอาศัยอยู่ในหลวงพระบาง (เวียด-เกียว) และชาวบ้านที่ถวายปัจจัยร่วมบูรณะส่วนใหญ่มีเชื้อชาติเดียวกัน จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดเวียด” (มากจากคำว่าเวียดนามนั่นเอง) จุดเด่นที่น่าสนใจของวัดนี้อยู่ที่พระพุทธรูปและสถาปัตยกรรมภายในจะเป็นสไตล์แบบจีนผสมเวียดนาม มีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง จากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและเมืองฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน นับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของหลวงพระบาง

วัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร (วัดทาดน้อย)
          วัดพระมหาธาตุสร้างในปีพ.ศ. 2091 (สมัยพระเจ้าไซยเชษฐาธิราช) ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญ เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2453 โดยเจ้ามหาอุปราชบุญคง ภายในสิม (อุโบสถ) แบบล้านช้างมี "ราวเทียน" รูปนาค 24 ตัว ฝีมือการแกะวิจิตรงดงาม หน้าสิมมีเจดีย์ธาตุองค์ใหญ่ บรรจุอัฐิของเจ้าเพชรราชรัตนวงศา อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศลาว และถือเป็นรัฐบุรุษของประเทศลาวยุคใหม่ เฉพาะพระอุโบสถขนาดใหญ่ มีการตกแต่งเพิ่มเติมรูปสลักบนบานประตูและหน้าต่าง แสดงเรื่องเล่าชาดกพระสุธนมโนราห์ดูสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นฝีมือสกุลช่างพ่อเฒ่าเพียตัน ด้านหลังมีพระธาตุเจดีย์ยอดทรงระฆังประดับเศวตฉัตร 17 ช่อ นั้นหมายถึง วัดนี้สร้างโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าชีวิต




วัดโพนไซซะนะสงคราม
          สร้างในปี พ.ศ. 2334 โดยพระเจ้าอนุรุทธราช ตามประวัติกล่าวว่าเป็นประเพณีที่พระมหากษัตริย์แห่งนครหลวงพระบางและเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายต้องมาทำพิธีนมัสการพระองค์หลวง (พระประธาน) เพื่อขอพรก่อนจะออกไปรบทัพจับศึก เชื่อกันว่าองค์พระประธานของวัดนี้ มีอำนาจช่วยบันดาลให้ชนะศึกสงคราม พระอุโบสถมีลักษณะศิลปะแบบหลวงพระบางทั่วไป ภายในแบ่งเป็น 3 ห้องยาว 4 ห้องขวาง ภายหลังห้องขวางพังลง 2 ห้องและเริ่มบูรณะในปีพ.ศ. 2513 โดยขยายกว้างออกข้างละ 1 เมตร จากนั้นจึงบูรณะใหม่หมดทั้งหลัง

วัดศรีบุญเฮือง
          ตามประวัติศาสตร์ชาวบ้านได้เล่าสืบต่อกันมาว่าพระอุโบสถของวัดศรีบุญเรืองสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2301 ในรัชสมัยพระเจ้าโชติกะกุมาร มีขนาดเล็กเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางในพุทธศตวรรษที่ 24 ปัจจุบันยังไม่ได้รับการบูรณะนอกจากหน้าต่างที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ภายในมีลวดลายปิดทองหลายรูปแบบสีสันงดงาม ตรงกลางหลังคาประดับช่อฟ้า 15 ช่อ ความโดดเด่นของวัดนี้จะอยู่ที่ตัวสิม (อุโบสถ) รูปทรงหลังคาแอ่นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นศิลปะสไตล์เชียงขวาง ที่มีสีหน้าลายนกยูง ลวดลายดอกรวงผึ้งอันอ่อนช้อย แขนนางแบบเดียวกับวัดคีรี และซุ้มป่องเยี่ยม (หน้าต่าง) แกะสลักเป็นรูปพญานาค

วัดสุวรรณคีรี (วัดคีรี)
ตามตำนานกล่าวว่า ชาวไทพวนจากเชียงขวางเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กองทัพชาวพวนที่สู้รบกับทัพของพม่า ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเจ้าชายชาวพวนชื่อเจ้าคำศรัทธาได้อภิเษกสมรสกับนางแว่นแก้วราชธิดาของพระเจ้าอินทโสมแห่งนครหลวงพระบางในปีพ.ศ. 2316 หลังจากนั้นในครั้งที่พม่ายกกองทัพมาตีเมืองหลวงพระบางครั้งที่ 2 เจ้าคำศรัทธาได้ส่งกองทัพของพระองค์มาช่วยรบ วัดคีรีเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามวัดหนึ่ง มีศิลปะแบบเชียงขวาง พระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันยังรักษาโครงสร้างและลวดลายประดับประดาที่มีอยู่เดิมไว้ บนหลังคาไม่มีช่อฟ้า ด้านหลังของพระอุโบสถมีพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
วัดมโนรมย์
สร้างโดยพระเจ้าสามแสนไท พระราชโอรสของเจ้าฟ้างุ่มในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นไม่นานโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ขึ้นและถูกทำลายเสียหายในช่วงที่มีจีนฮ่อออกปล้นสะดมในปีพ.ศ. 2330 ตัววัดซึ่งอยู่นอกเขตกำแพงเมืองได้รับความเสียหายหลายแห่งมีการบูรณะภายหลังโดยสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ มีโครงสร้างคล้ายกับที่วัดโพนชัยรวมทั้งหอพระและพระพุทธรูปสำริดได้โบกปูนปิดทองใหม่ ด้านหลังพระอุโบสถมีร่องรอยของแท่นพระพุทธรูป มีศาลาหลังเล็กครอบไว้ ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ตั้งของ วัดเชียงกลาง ซึ่งคณะสังฆฑูตจากกัมพูชาเป็นผู้สร้างไว้ ตั้งแต่ครั้งเดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาบนแผ่นดินล้านช้างในสมัย เจ้าฟ้างุ่ม ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบางและเคยเป็นที่ประดิษฐาน พระบางในระหว่างปีพ.ศ. 2045-2056

วัดสังคโลก
 (บางตำราเขียนว่าสวรรคโลก) สร้างในปีพ.ศ. 2070 ในสมัยพระเจ้าโพธิสาร เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านความเชื่อของชาวหลวงพระบาง เนื่องจากก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้าง วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งของวิหารบูชาผีฟ้า ผีแถน อันเป็นความเชื่อดั้งเดิม หลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว วัดสังคโลกก็กลายเป็นวัดสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์เป็นพิเศษจากพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นความเชื่อเดิมก็ได้ลดน้อยถอยลงไป ในปีพ.ศ. 2426 อุโบสถถูกลมพายุพัดเสียหาย และได้บูรณะให้กลับคืนมาเป็นสภาพแบบเดิม

หลวงพระบาง : การเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์


ข้อมูลทั่วไป
          หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าเมืองซวา (ออกเสียงว่า ซัว) และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอ ซึ่งถือเป็น ปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมืองซวาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเชียงทอง เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. 1896 - พ.ศ. 1916) เสด็จกลับจากกัมพูชา(อินทปัฏนคร) อันเนื่องจากพระองค์และพระบิดาต้องเสด็จลี้ภัยเพราะถูกขับไล่จากกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งแท้จริงก็คือพระอัยกาของเจ้าฟ้างุ้มนั่นเอง เจ้าฟ้างุ้มทรงจึงได้รวบรวมกำลังขณะอยู่ในเสียมเรียบ และนำกองทัพกู้ราชบัลลังก์กลับคืนและสถาปนาอาณาจักรขึ้นในชื่อเมืองเชียงดงเชียงทอง ต่อมาในสมัยพระโพธิสารราชเจ้าพระองค์ได้อาราธนาพระบางซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงคำ ขึ้นมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวง เมืองเชียงดงเชียงทองจึงถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นมา
          เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผล คือ มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม ซึ่งตรงกับเกณฑ์พิจารณาของยูเนสโกดังนี้
-          เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
-           เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
-          เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตาม กาลเวลา
          ในขณะที่มรดกโลกแห่งอื่นอาจได้ขึ้นทะเบียนอย่างจำเพาะเจาะจงในโบราณสถาน ธรรมชาติ แต่หลวงพระบางทั้งเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การท่องเที่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมวัฒนธรรม
          เมื่อสังคมเริ่มเข้าสู่สังคมแบบทุนนิยมผลที่ตามมาคือคนต้องดิ้นรนหาเพื่อให้มาซึ่งเงินตราเพื่อใช้แลกเปลี่ยนหรือให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ โดยจากเดิมนั้นสังคมแต่ละแห่งจะเกิดการแลกเปลี่ยนจากสิ่งของที่มีอยู่ในสังคมตนเอง
เป็นที่ชัดเจนว่าสังคมหลวงพระบางได้รับผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการบริโภคนิยมทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมและกิจกรรมทางสังคมเปลี่ยนไปมาก คือการเกิดกระแสการจัดการการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน  ทั้งนี้ชาวหลวงพระบางเองก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบแผนทางวัฒนธรรมเพื่อความอยู่รอดในสังคมโลกาภิวัตน์

ความทรงจำในหลวงพระบางเมืองมรดกโลก


00.00 น วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นช่วงที่ใครหลายคนกำลังหลับใหลฝันหวาน หรือบางคนกำลังได้ที่กับแอลกอฮอร์ในผับต่างๆ ที่กำลังใกล้ปิดลงในเวลาตี 2 ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของผมไฟนีออนยังสว่างจ้าอยู่เคล้าด้วยเสียงเพลงตามสไตน์ ผมกำลังวุ่นวายกับการจัดกระเป๋าเพราะยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะช่วงนี้ชีพจรลงเท้า(เดินทางบ่อยซะเหลือเกิน) นัดพี่ปิง สมชาติ รัตนมาลี ไว้ตี 2 เพราะเพื่อนพี่ปิงจะมารับ วันนี้ผมสัญญากับตัวเองว่าจะนอนบนรถ เราขึ้นรถตอนเวลาเกือบตี 5 เสียงคุยกันเจี้ยวจ้าวต่างๆนานาไม่นาน ลูกทัวร์ทริปหลวงพระบางของเราก็หลับไปแทบไม่ได้ยินเสียงใครคุยเลย
พวกเราหลับไปในรถที่เหมือนตอนเรากระโดดอยู่บนสปริงตลอดเวลา แต่ก็หลับได้ งงกับตัวเองเหมือนกัน อาจเป็นเพราะการไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ก็เป็นได้ เรามาตื่นกันอีกทีก็อยู่ที่ปั๊มน้ำมัน PPT แห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี เราต่างทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จรวมทั้งอาหารเช้าด้วย แต่ไม่มีใครกล้ากินอะไรมากเพราะกลัวจะไปปวดท้องเอากลางทาง ที่พึ่งของเราคงหนีไม่พ้นร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่น แต่มันก็ช่วยให้เราคลายความหิวได้ไม่น้อย ตื่นอีกทีก็อยู่ที่สถานีรถไฟหนองคาย งงเล็กน้อย เขาพาเรามาสถานีรถไฟทำไมกัน และแล้วก็ได้คำตอบนั้นคือเปลี่ยนรถ โดยบริษัททัวร์นำรถมารอรับที่สถานีรถไฟ อิอิ ตอนแรกก็นึกว่าจะเปลี่ยนโปรแกรมพานั่งรถไฟไป คณะเราถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคายเวลาประมาณ 7 โมงเศษๆ ทุกคนต่างกรอกเอกสารและเข้าแถวเตรียมปั๊มตราประทับเพื่อเป็นหลักฐานว่าเข้าเมืองลาวอย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถ มุ่งหน้าสู่เมืองมรดกโลกหลวงพระบาง

ตลอดระยะเวลาที่เรานั่งกึ่งนอนอยู่ในรถเราจะได้ยินเสียงไกด์พูดบ้างอะไรบ้าง เสียงที่เราทุกคนต้องรู้ว่าตื่นได้แล้ว อีอะไรสักแห่งข้างหน้า หรือการตื่นก่อนเข้าห้องน้ำจะได้ยินเสียง “โป่งโป๊งงงงงงงง”จากไกด์แสนสวยของเรา หลังเวลาที่ปราศจากเสียงไกด์พวกเราก็อยู่ในโลกแห่งความฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะถามตัวเองว่า “ฮอดไสแล้วน้อ” พร้อมกับอุทานในใจว่า “ปานได๋สิฮอดน้อ” กว่าจะถึงหลวงพระบางเราได้แวะที่ต่างๆ อาทิเช่น เขาหลัก วังเวียง หรือแม้แต่ที่ขายของ (ส่วนมากไปเดินชมครับ นอกนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำซะส่วนใหญ่ ) ระยะทางอันยาวไกลที่เต็มไปด้วยภูเขาลูกมหึมา ถนนที่ลาดด้วยยางมะตอยเพียงน้อยนิดกับขอบถนนทางโค้งที่ไม่มีเหล็กกั้น เราก็อดไม่ได้ที่จะขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้ถึงหลวงพระบางอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย  สาธุฯ
คณะทัวร์ของเราถึงชานเมืองหลวงพระบางเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ เปลี่ยนจากรถบัสเป็นรถสกายแลป (ภาษาท้องถิ่น บ้านเราคือรถสามล้อนี่เอง) ไปทานข้าวในตัวเมืองหลวงพระบาง บรรยากาศแรกที่รู้สึกดีมากๆคืออากาศที่เย็นสบาย ในคืนนี้ผมคิดกับตัวเองว่าคงนอนไม่หลับเพราะนอนมาทั้งวันแล้ว หลังจากที่เราเข้าที่พักสิ่งที่สังเกตได้คือสมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ ทั้งรูปแบบอาคารบ้านเรือน แม้กระทั้งหมอน อิอิ ผมไม่รู้หรอกครับว่าหมอนห้องอื่นเป็นเหมือนหมอนห้องผมหรือเปล่า แต่หมอนห้องผมจากสีขาวมันกลายเป็นสีเหลือง จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ยูเนสโกอนุรักษ์หมอนด้วยมั๊ยน้อ
เวลา 7.00 . วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 หลังจากที่ทุกคนตื่นนอนและทำภารกิจส่วนตัวแล้ว ต่างออกไปหาลิ้มรถอาหารถิ่นที่ห่างออกไปจากที่พักไม่กี่สิบเมตร บ้างกินเฝ๋อ บ้างไก่ย่าง บ้างข้าวจี่ ส่วนตัวผมและพี่พล นิพล สายศรี ตื่นสายครับ อิอิ  เลยได้กินอาหารแบบพิเศษ ซื้อขึ้นไปกินบนรถสกายแลป แต่ขอยอมรับว่าอาหารที่หลวงพระบางอร่อยจริงๆ เราไปวันทาดหลวงเป็นที่แรกของทริป เป็นวัดที่มีการสร้างเจดีย์ไว้หลังวิหารซึ่งเป็นแบบเดี่ยวกันกับสุโขทัย ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครไปไหว้พระในวิหารจะถือว่าได้ว่าได้ไหว้เจดีย์ด้วย
ตามตำนานกล่าวว่าวัดทาดหลวงสร้างขึ้นโดยสังฆฑูตของพระเจ้าอโศกมหราช ซึ่งเดินทางจากอินเดียมาเผยแพร่พุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ 3 สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2361 ในรัชกาลพระเจ้ามันธาตุราช หน้าสิมด้านทิศเหนือมีเจดีย์สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ.2363 โดยเจ้าหญิงปทุมมาพระธิดาของเจ้าอนุรุทราช ต่อมาใน พ.ศ.2508 ได้บูรณะเจดีย์เพื่อเป็นที่เก็บพระสรีรังคารของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ การบูรณะครั้งนี้ได้พบโบราณวัตถุหลายอย่างฝังอยู่ใต้ฐานเจดีย์ ปัจจุบันเก็บไว้ในหอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง
จากการแสการท่องเที่ยวในเมืองหลวงพระบางที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้วัดต่างๆในหลวงพระบางต้องติดเหล็กดัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนขึ้นไปตีกลองที่หอกลอง เพราะที่หลวงพระบางเขาดีกลองเป็นเวลา
หลังจากที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับวัดทาดหลวงและถ่ายรูปเป็นที่พอใจ เราก็มุ่งหน้าไปต่อที่วัดมะโนรม ที่สร้างโดยพระเจ้าสามแสนไท พระราชโอรสของเจ้าฟ้างุ่มในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นไม่นานโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ขึ้นและถูกทำลายเสียหายในช่วงที่มีจีนฮ่อออกปล้นสะดมในปีพ.ศ. 2330 ตัววัดซึ่งอยู่นอกเขตกำแพงเมืองได้รับความเสียหายหลายแห่งมีการบูรณะภายหลังโดยสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ มีโครงสร้างคล้ายกับที่วัดโพนชัยรวมทั้งหอพระและพระพุทธรูปสำริดได้โบกปูนปิดทองใหม่ ด้านหลังพระอุโบสถมีร่องรอยของแท่นพระพุทธรูป มีศาลาหลังเล็กครอบไว้ ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ตั้งของ วัดเชียงกลาง ซึ่งคณะสังฆฑูตจากกัมพูชาเป็นผู้สร้างไว้ ตั้งแต่ครั้งเดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาบนแผ่นดินล้านช้างในสมัย เจ้าฟ้างุ่ม ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบางและเคยเป็นที่ประดิษฐาน พระบางในระหว่างปีพ.ศ. 2045-2056
ในวัดนี้จะเห็นภาพเขียนที่ปรากฏอยู่ในวัดต่างๆในเมืองไทย โดยจะเป็นเรื่องราวของพุทธประวัติและพุทธชาดก
หลังจากนั้นเราเดินทางต่อไปที่วัดวิชุนราช อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้ วัดวิชุนในเรื่องมีความแปลกที่พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ สร้างโดยพระเจ้าวิชุนราชในปีพ.ศ. 2057 และตั้งชื่อวัดตามพระนามของพระองค์เอง ในสมัยฮ่อบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง วัดวิชุนถูกพวกฮ่อเผาทำลาย จนรัชสมัยพระเจ้าสักกะรินจึงได้บูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยมี อองรี มาร์แซล นายช่างฝรั่งเศสผู้เคยบูรณะนครวัดเป็นแม่งาน เนื่องจากที่นี่เคยเป็นหอพิพิธภัณฑ์มาก่อนที่จะย้ายหอพิพิธภัณฑ์ไปที่ พระราชวังเดิม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระอุโบสถ หรือที่ชาวลาวเรียกว่าสิม เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง ตัวอุโบสถมีรูปทรงอาคารไทลื้อสิบสองปันนา ซึ่งมีจุดเด่นคือส่วนคอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไป ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่(หรือช่อฟ้าแบบไทย) ตรงกลางหลังคามีช่อฟ้า เป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้น หน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยลูกมะหวด บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทอง มีรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม และพระอินทร์ ศิลปะแบบเชียงขวาง ระเบียงด้านหน้าที่หันอออกสูพระธาตุหมากโมมีชายคาใหญ่ยื่นลงมาคลุม ทำให้สิมแบบนี้ไม่มีหน้าบัน ด้านข้างสิมมีทางเดินเชื่อมระหว่างวัดวิชุนกับวัดอาฮาม ตรงรอยต่อของเขตพัทธสีมาเป็นซุ้มประตูโขง อันเป็นลักษณะของวัดแบบล้านนาและล้านช้างในอดีต
เสร็จกิจการการเก็บข้อมูลที่วัดวิชุนราชเราได้มีโอกาสเข้าไปในวัดอาฮามอุตุมะทานี  พระอุโบสถวัดอาฮามสร้างโดยพระเจ้ามังทาตุราชในปีพ.ศ. 2365 ด้านข้างพระอุโบสถจะเป็นที่ตั้งของหอเสื้อเมืองหรือหอ ปู่เยอ-ย่าเยอหลังคามีลักษณะซ้อนกันอยู่ 3 ชั้นตรงกลางสันหลังคามีช่อฟ้ารูปทรงแปลกตาจากวัดทั่วไปในหลวงพระบาง
ข้างบันไดทางขึ้นพระอุโบสถด้านหน้ามีรูปปั้นสิงห์ลอยตัว ทาด้วยปูนขาวถัดออกไปด้านข้างทั้งสองด้านเป็นรูปปั้นยักษ์ลอยตัวบางตำรากล่าวว่าเป็นทวารบาล พระอุโบสถได้รับการบูรณะในปีพ.ศ. 2474 และค้นพบโบราณวัตถุมีค่าหลายชิ้นที่ฝังอยู่ใต้พระอุโบสถ หน้าพระอุโบสถมีพระธาตุ 2 องค์องค์หนึ่งเป็นพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมในอดีตมีหอคลุมอยู่ อีกองค์เป็นพระธาตุย่อมุมบริเวณมุมฐานทั้งสี่ด้านประดับด้วยเสารูปดอกบัว
หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันไปต่อที่วัดที่ถือว่าถ้าไม่ไปเมืองหลวงพระบางถือว่าไปไม่ถึง นั้นคือ วัดเชียงทอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2102 ?2103 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ในบรรดาวัดวาอารามทั้งหมดต้องยกให้วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงามที่สุด และได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด "นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว" วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชาติศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชาติศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของประเทศลาว

พระอุโบสถ ภาษาลาวเรียกว่า สิม เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนักหลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่ ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่ มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงาม ที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ
ด้านหลังของวิหารวัดเชียงทอง จะมีภาพติดกระจกอยู่ภาพหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าเป็นภาพอะไร หรือบางคนอาจคิดว่าต้นโพธิ์ ที่จริงแล้วมันคือต้นทองซึ่งเป็นที่มาชองชื่อเมืองเชียงดงเชียงทอง ชื่อเดิมของเมืองหลวงพระบาง
เยื้องๆ กับวิหารวัดเชียงทองจะพบกับวิหารหลังหนึ่งที่ชาวลาวเรียกกันว่า “ โฮงเมี้ยนโกฏิ” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2505. ออกแบบโดยเจ้ามนีวง เพื่อเป็นที่เก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตสีสะหว่างวง หลังการสิ้นพระชนม์ ผนังด้านหน้าแกะสลักตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารเป็นสีทองเหลืองอร่ามโดยช่างเอกแห่งสกุลช่างล้านช้าง เพียตันหรือพระยาตัน ตั้งแต่หน้าบันจดพื้นเป็นลวดลายพฤกษา และเหตุการณ์บางตอนจากมหากาพย์เรื่อง รามเกียรติ์แต่ภาพที่ดูโดดเด่นที่สุด เห็นจะเป็นภาพแกะสลักตรงด้านข้างบานประตูทั้งสองด้าน คือ ตอนนางสีดาลุยไฟ และ ตอนพระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ โดยเฉพาะภาพนางสีดาลุยไฟนั้นดูร้อนแรง ประหนึ่งว่านางสีดากำลังโลดแล่นลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อองค์พระราม เพียตันได้ ใส่วิญญาณของตัวละครที่เขาแกะสลักลงไปด้วย และที่พิเศษไปกว่านั้น คือเจ้ามนีวง ออกแบบให้ฝาผนังทั้งหมดสามารถถอดออกมาได้ เพื่อสามารถเคลื่อนราชรถออกสู่ภายนอก ภายในโรงเมี้ยน มีราชรถไม้สีทองขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายเป็นนาค สวยงาม เหนือราชรถมีพระโกศ อยู่สามองค์ คือ โกศใหญ่สิบสองเหลี่ยมองค์กลางใช้เป็นที่บรรจุพระศพของพระเจ้าสีสะหว่างวง องค์หน้าเป็นของเจ้าราชสัมพันพระเจ้าอาของพระเจ้าสีสะหว่างวง และพระโกศองค์หลังเป็นของพระราชมารดา ทั้งโกศ และราชรถถูกแกะสลักตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงสวยงามสมพระเกียรติ์ นอกจากนั้นภายในโรงเมี้ยนนี้ยังมีพระพุทธรูปโบราณแกะสลักด้วยไม้เก็บรักษาไว้อีกมากมายหลายองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามด้วยพุทธศิลป์ที่อ่อนช้อย
ต่อจากนั้นพวกเราต่างแยกย้ายไปดูวัดอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกันกับวัดเชียงทอง ส่วนผมได้ไปที่วัดสุวรรณคีรี ซึ่งเป็นวัดที่ชาวไทพวนจากเชียงขวางเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กองทัพชาวพวนที่สู้รบกับทัพของพม่า ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเจ้าชายชาวพวนชื่อเจ้าคำศรัทธาได้อภิเษกสมรสกับนางแว่นแก้วราชธิดาของพระเจ้าอินทโสมแห่งนครหลวงพระบางในปีพ.ศ. 2316 หลังจากนั้นในครั้งที่พม่ายกกองทัพมาตีเมืองหลวงพระบางครั้งที่ 2 เจ้าคำศรัทธาได้ส่งกองทัพของพระองค์มาช่วยรบ วัดคีรีเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามวัดหนึ่ง มีศิลปะแบบเชียงขวาง พระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันยังรักษาโครงสร้างและลวดลายประดับประดาที่มีอยู่เดิมไว้ บนหลังคาไม่มีช่อฟ้า ด้านหลังของพระอุโบสถมีพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
หลังจากนั้นเราก็เดินต่อไปที่วัดสีบุญเรือง พระอุโบสถของวัดศรีบุญเรืองสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2301 ในรัชสมัยพระเจ้าโชติกะกุมาร มีขนาดเล็กเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางในพุทธศตวรรษที่ 24 ปัจจุบันยังไม่ได้รับการบูรณะนอกจากหน้าต่างที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ภายในมีลวดลายปิดทองหลายรูปแบบสีสันงดงาม ตรงกลางหลังคาประดับช่อฟ้า 15 ช่อ ความโดดเด่นของวัดนี้จะอยู่ที่ตัวสิม (อุโบสถ) รูปทรงหลังคาแอ่นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นศิลปะสไตล์เชียงขวาง ที่มีสีหน้าลายนกยูง ลวดลายดอกรวงผึ้งอันอ่อนช้อย แขนนางแบบเดียวกับวัดคีรี และซุ้มป่องเยี่ยม (หน้าต่าง) แกะสลักเป็นรูปพญานาค
เรานั่งพักในวิหารสัมผัสได้ถึงความเย็นที่สงบ ต่อไปเราก็เดินมุ่งหน้าไปโดยไม่รู้ว่าคือวัดอะไรอยู่ข้างหน้า เมื่อไปถึงเราจึงรู้ว่าวัดศิริมุงคุนไซยาราม ตัววัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ศาสนสถานส่วนใหญ่ยังคงสภาพเดิม เล่าสืบต่อกันมาว่าสร้างในปีพ.ศ. 2306 ในรัชสมัยพระเจ้าโชติกะกุมาร สิมหรืออุโบสถมีลักษณะแบบหลวงพระบางโดยทั่วไป ได้รับซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2488 ช่างสกุลผู้รับหน้าที่ปฏิสังขรณ์ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จึงทรงผลให้รูปทรงสถาปัตยกรรมของวัดนี้เป็นแบบผสมผสานตามไปด้วย เห็นได้อย่างชัดเจนจากระเบียงโถงด้านหน้าเป็นศิลปะแบบหลวงพระบาง ทรวงทรงหลังคาเป็นแบบเชียงขวาง และประดับตกแต่งด้วยกระจกสีโมเสกแบบเวียงจันทน์ หน้าจั่วประดับลวดลายสวยงาม ด้านทิศใต้มีอูบมุงหลังเล็กภายในประดิษฐานพระธาตุองค์หนึ่ง ยอดประดับเศวตฉัตรทอง 7 ชั้น ใกล้ทางเข้าด้านทิศเหนือติดกับวัดศรีบุญเรืองมีหอระฆังทองที่งดงาม 

หลังจากนั้นเราได้เดินทางไปที่วัดแสนสุขาราม สร้างขึ้นในพ.ศ. 2261 ตามประวัติกล่าวว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000 กีบ  ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนเริ่มสร้าง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังที่นครหลวงพระบางแยกออกจากนคร เวียงจันทน์ได้ 11 ปี โดยวัดแสนได้รับการบูรณะ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475 ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ. 2500 ส่วนการประดับลวดลายปิดทองนั้นบูรณะเมื่อคริสศตวรรษที่ 20 โดยช่างชาวหลวงพระบาง จุดเด่นของวัดแสนสุขารามคือ 
พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง มีพระหัตถ์ที่งดงามผ่องแผ้ว และหอรอยพระพุทธบาทจำลองด้านข้างหอพระยืน ส่วนพระอุโบสถลงรักปิดทองอย่างสวยงาม จัดเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางตอนกลาง สังเกตได้จากเสาทรงแปดเหลี่ยม และยอดเสารูปกลีบบัว ส่วนผนังภายในพระอุโบสถตกแต่งด้วยการเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง โดยตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระประธานหรือพระองค์หลวง สร้างให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามและน่าสนใจไม่น้อยเลยปิดท้ายด้วย รูปปั้น เทวดา ครับที่ศิลปะแนว หลวงพระบาง
        หลังจากที่วันแสนสุขขารามเสร็จแล้วคณะเราได้เดินทางไปรับประทานอาหารที่ทางทัวร์จัดเตรียมไว้ให้ เช้านี้เราได้กราบมนัสการพระพุทธรูปและพระธาตุต่างๆมากมายถือว่าไม่เสียเที่ยวที่มาหลวงพระบาง คุ้มค่ากับการมาจริงๆครับ หลังจากที่พวกเราทานข้าวเสร็จก็เดินทางต่อไป โดยขึ้นสกายแลปออกมานอกเมืองเพื่อเปลี่ยนรถเป็นรถบัส ไปที่บ้านช่างไหซึ่งเป็นหมู่บ้านต้มเหล้าขาว โดยก่อนที่ชาวบ้านจะเปลี่ยนอาชีพมาต้มเหล้าขาว แต่ก่อนนั้นหมู่บ้านนี้มีหน้าที่ปั้นไหเพื่อส่งเข้าวัง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงได้เปลี่ยนอาชีพมาต้มเหล้าขายแทน เหล้าที่ขายเป็นเหล้าขาว มีสัตว์ต่างๆลอยอยู่ในขวด เช่น ตะขาบ งู แมงป่อง อวัยวะเพศช้าง เป็นต้น แต่ที่ผมอดนึกขึ้นไม่ได้คือ งูมันแผ่แม่เบี้ยอยู่ในขวดได้อย่างไร อันนี้ไปครั้งหน้าผมต้องไปพิสูจน์ให้รู้ ก่อนที่จะมาชมการต้มเหล้าอย่างจริงจัง พวกเราได้ลงเรือเพื่อไปเที่ยวชมถ้ำติ่ง โดยต้องล่องเรือในแม่น้ำโขงทวนขึ้นไปประมาณ 30 นาที   ระหว่างที่นั่งเรือก็มีบริการต่างๆจาก สาวเสริฟลูกเรือ มีทั้งน้ำชา กาแฟ เบียร์แม้กระทั่งม่ามา ถือว่าครบเครื่องจริงๆ
เราล่องเรือชมบรรยากาศได้สักพักก็ได้พบกับกำแพงขาวๆบนตีนเขา พร้อมกับเรือที่พานักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมถ้ำติ่งแห่งนี้ ที่เห็นกำแพงชาวๆ เรียกว่าถ้ำติ่งลุ่ม (บ้านเราแปลว่า ถ้ำติ่งล่าง นั้นแหละ) และจะมีแยกซ้ายไปถ้ำติ่งเทิง (บน) ที่ถ้ำติงลุ่มนั้นจะมีพระไม้จำนวนมากวางอยู่เต็มถ้ำเลยครับ ตัวถ้ำมีความสูงประมาณ  60 เมตรจากพื้นน้ำ มีลักษณะเป็นโพรงถ้ำตื้นๆ มีหินงอกหินย้อยเล็กน้อย เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ทำด้วยไม้และเป็นพระยืน แต่ก็มีปางอื่นๆอยู่บ้าง แต่ล่ะองคืก็มีความสวยงามเก่าแก่แตกต่างกันไป ในสมัยโบราณถ้ำติ่ง เป็นที่สักการะบ่วงสรวงดวงวิญญาณ ผีฟ้า ผีแถน เทวดาผาติ่ง ของคนแถวนั้น จึงมีการนำพระพุทธรูปมาวางไว้เป็นจำนวนมาก
ถ้ำติ่งในวันนี้ยังแสดงถึงยุคแห่งการปฏิวัติความเชื่อ ของชาวลาวในอดีตที่เคยนับถือผี พระเจ้าโพธิสารราชทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และทรงใช้ถ่ำติ่ง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา และมีการค้นพบพระพุทธรูป ที่สร้างขึ้นในคริสศตวรรษที่ 18-19 กว่า 2,500 องค์ ส่วนใหญ่ทำขึ้นจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่มีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่ง ที่ทำด้วยเงิน และทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด
หลังจากกลับมาจากบ้านช่างไหแล้วก็เป็นการเที่ยวตามอัธยาศัย พวกเราลงที่วัดพระมหาธาตุ สร้างในปีพ.ศ. 2091 ในสมัยพระเจ้าไซยเชษฐาธิราช ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญ เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2453 โดยเจ้ามหาอุปราชบุญคง ภายในสิม (อุโบสถ) แบบล้านช้างมี "ราวเทียน" รูปนาค 24 ตัว ฝีมือการแกะวิจิตรงดงาม หน้าสิมมีเจดีย์ธาตุองค์ใหญ่ บรรจุอัฐิของเจ้าเพชรราชรัตนวงศา อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศลาว และถือเป็นรัฐบุรุษของประเทศลาวยุคใหม่ เฉพาะพระอุโบสถขนาดใหญ่ มีการตกแต่งเพิ่มเติมรูปสลักบนบานประตูและหน้าต่าง แสดงเรื่องเล่าชาดกพระสุธนมโนราห์ดูสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นฝีมือสกุลช่างพ่อเฒ่าเพียตัน ด้านหลังมีพระธาตุเจดีย์ยอดทรงระฆังประดับเศวตฉัตร 17 ช่อ นั้นหมายถึง วัดนี้สร้างโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าชีวิต
วัดนี้เป็นวัดสุดท้ายสำหรับวันนี้ของทริปเรา ตอนเย็นก็เที่ยวกันตามอัธยาศัย หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเราก็นัดรวมพลสี่เสือ พี่ปิง (สมชาติ), พี่พล (นิพล), พี่เดย์(เดชา) และผม เรามีจุดมุ่งหมายคือตลาดมืดหรือตลาดไนท์หลวงพระบางที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากนัก สนุกที่สุดคือการต่อรองราคาของ (ภาษาลาวเรียกว่าต่อเครื่อง) อย่าไปบอกว่าต่อราคาของนะครับเพราะมันส่อไปนางเพศ แต่ปวดหัวนิดๆเพราะราคาที่มหาศาล เป็นแสนเป็นล้านปวดหัวกันไปตามๆ กัน ด้วยที่ภาษาอีสานคล้ายคลึงกับภาษาลาว และผมมีญาติอยู่ที่จังหวัดเลยจึงพูดสำเนียงหลวงพระบางได้บ้าง  มีเหตุการณ์หนึ่งที่ตลกมากในตลก เป็นการสนทนากับแม่ค้า
ผม : อันนี้ท่อได๋ (จับของสิ่งหนึ่งให้แม่ค่าดู)
แม่ค้า : สองแสน
ผม : ลดได้ท่อได๋
แม่ค้า : แสนแปด
ผม : ลดอีกแด่
แม่ค้า : เจ้ามาแต่ใต้หว่า  (มาจากเมืองจำปาศักดิ์ใช่มั๊ย)
ผม : บ่เจ้า ข่อยอยู่เวียงจันทร์ (โดยเรารู้มาว่าถ้าคนลาวด้วยกันจะได้ราคาที่ถูกกว่า)
แม่ค้า : เอ่าบ้อ (หรอค่ะ)
ผม : เอาสินค้าชิ้นใหม่ยกขึ้นแล้วถามแม่ค้า  อันนี้จักบาท
(ความลับแตกเพราะคนลาวที่ไหนใช้เงินบาท 555+)
แม่ค้า  : (งงเล็กน้อย)
        หลังจากที่กลับจากตลาดมืดก็มากินข้าวโดยซื้อจากตลาดที่เคยซื้อตอนเช้า ข้าวเย็นนี้มีไก่ย่าง แจ่วพริก มันทอด เนื้อย่าง ข้าวเหนียว ซื้อมากินในโรงแรม แซบคักขนาด อิอิ
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็ขอตัวเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้เที่ยวต่อสำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะต้องตื่นแต่ตี 5 เพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียว
05.00 น. พี่ปิง (สมชาติ) ปังๆๆๆๆๆ  เสียงเคาะประตู ป่ะไปใส่บาตร ผมตอบกลับไปว่า “ ไปโลดอ้าย เคยใส่แล้ว” (พึ่งมาครั้งแรกใส่ที่ไหน) พี่ปิง “มามาเพิ่นถ้าอยู่” (เขารออยู่) พี่ปิงได้รับคำตอบว่าผมกับพี่พลไม่ไป 10 นาทีต่อมา ปังๆๆๆๆๆ  ป่ะๆ ยังทันๆ เสียงพี่ปิงคนเดิม ผมกับพี่พลก็เลยจำยอมลุกจากที่นอน ล้างหน้าแล้วก็ออกไปเลย น้ำท่าไม่ต้องอาบกัน ถึงที่เราจะตักบาตร คนเยอะมากส่วนมากจะเป็นบักท่องเที่ยว เมื่อเวลาพระสงฆ์มาเราควักข้าวเหนียวแทบไม่ทัน สงสัยพระที่นี่เขายึดหลัง บิณ(บิน)ฑบาตร เลยไปแบบไวๆด่วนๆ

เสร็จจากตักบาตรข้าวเหนียว เราได้เดินทางขึ้นไปนมัสการพระธาตุพูสี ซึ่งอยู่บนยอกเขา อากาศเย็นชื้นๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขึ้นเขาในตอนเช้า
พูสี มีความหมายว่า ภูเขาของพระฤาษีเดิมชื่อว่า ภูสรวง ครั้นเมื่อมีฤาษีไปอาศัยอยู่ชาวบ้านจึงเรียกว่าภูฤาษีหรือภูษีมาจนถึงปัจจุบัน แต่ยังมีนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่าภูษีอาจหมายถึงพูสึซึ่งเป็นศรีของเมืองหลวงพระบาง
พระธาตุพูสี สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอนุรุท ประมาณพุทธศักราช 2337 พระธาตุนี้ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของพูสี บนความสูง 150 เมตรพระธาตุนี้มองเห็นได้แต่ไกลแทบจะทุกมุมเมืองของหลวงพระบาง ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริดเจ็ดชั้น สูงประมาณ 21 เมตร ช่วงที่พระธาตุนี้งดงามที่สุดคือช่วงตอนบ่ายแก่ๆแสงแดดจะกระทบองค์พระธาตุเป็นสีทองสุก รอบๆพระธาตุจะมีทางเดินให้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะมองเห็นสนามบิน ส่วนด้านทิศตะวันตกจะมองเห็นแม่น้ำโขง ช่วงที่คดเคี้ยวเข้าหากันในกลีบเขาและจากยอดภูสียังมองเห็นพระราชวังเดิมที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง พระธาตุจอมษีมิได้เป็นสิ่งก่อสร้างแห่งเดียวบนยอดภูษี ยังมีสิ่งก่อสร้างทางพระพุทธศาสนาอีกหลายแห่งเช่น วัดถ้ำพูสี วัดป่าแค วัดศรีพุทธบาท วัดป่ารวก
หลังจากที่แอกท่าถ่ายรูปกันเป็นที่พออกพอใจแล้วเราก็ลงมาเพื่อที่จะไปอาบน้ำเดินทางท่องเที่ยวตามโปรแกรมวันนี้ แต่ระหว่างทางเจอวัดที่สวยงามแต่ไม่ได้อยู่ในทริปเรา แต่น่าสนใจจึงเข้าไปชมโดยมี ดร. สิทธิศักดิ์ เป้นผู้จ่ายค่าบัตรเข้าชมให้ ลืมบอกวันนี้คือวัดใหม่สุวรรณพูมาราม
ชาวหลวงพระบาง เรียกสั้นๆว่า "วัดใหม่" ซึ่งมีอายุเก่าแก่ สร้างขึ้นในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 19 และ เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราชลาวมาก่อน อุโบสถของวัดนี้สร้างด้วยเครื่องไม้มีหลังคาซ้อนกัน ห้าชั้นตามแบบหลวงพระบาง
กำแพงพระระเบียงด้านหน้า ทำเป็นลายรดน้ำปิดทองเล่าเรื่องรามายณะ และพระเวสสันดรชาดก พระบาง พระคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางก็เคย ประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของคริสตศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐาน ในหอพระบางภายในพระราชวังจวบจนกระทั่งปัจจุบัน และ ในวันปีใหม่จะมีการแห่แหนพระบางออกมา ให้ประชาชนได้สักการะบูชากันที่นี่
เราเดินทางกลับเข้าที่พักเพื่ออาบน้ำและรับประทานอาหารเช้าตามอัธยาศัย ส่วนผมเองช้าและจากไปนอกทริปทำให้ไม่ได้อาบน้ำ แต่แปรงฟันอยู่เด้อ แล้วเราก็ออกเดินทางสำหรับวันนี้ต่อไป ที่แรกที่เราไปคือพระราชวังหลวงพระบางหรือหอพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาวตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารเตี้ยๆชั้นเดียว ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคมผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า การปลดปล่อยรัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น  หอพิพิธภัณฑ์ในปี พ.ศ. 2519 หลังจากที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้องตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบนอันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิมตรงเข้าไปเป็นห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี ปัจจุบันมีของขวัญจากประเทศต่างๆจัดแสดงให้ชมอยู่ ทั้งจากประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์, ประเทศทางตะวันตก, เอเชีย รวมทั้งของประเทศไทยส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิตมีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาวมีภาพเขียนบนผ้าใบผืนใหญ่กรุเต็มผนังขึ้นไปจรดเพดาน เขียนขึ้นในปีพ.ศ. 2473แสดงถึง ฮีตครอง(จารีตประเพณี) ของคนลาว ในช่วงเวลาต่างๆของแต่ละวันรูปขบวนเจ้ามหาชีวิตเสด็จไปสรงน้ำพระที่วัดเชียงทองและวัดใหม่รูปประเพณีบุญปีใหม่ลาว รูปตลาดตอนแลง (ตลาดเย็น) ซึ่งภาพเหล่านี้ถ่ายด้วยด้วยเทคนิคแบบ Impressionismทั้งยังมีรูปหล่อครึ่งตัวอีก 4 องค์คือ เจ้ามหาชีวิตอุ่นคำ เจ้ามหาชีวิตสักรินทร์  เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งหล่อมาจากประเทศฝรั่งเศสทั้งสิ้น
ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะภายในเป็นที่ประดิษฐานของ พระบางพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางอันศักดิ์สิทธิ์  มีลักษณะประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกทั้งสองข้าง ซึ่งชาวลาวเรียกกันว่า ปางประทานอภัยหรือที่คนไทยเรียกว่า ปางห้ามสมุทรเป็นศิลปะเขมรสมัยหลังบายนอายุราว 300 ปี มาแล้ว หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ 90%หนัก 54 กิโลกรัม สูงราว 4050 ซม. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ เมืองหลวงพระบางอันหมายถึงเมืองที่มี พระบางประดิษฐานอยู่นั่นเองทุกวันขึ้นปีใหม่ลาว (ราวเดือนเมษายน) จะมีการอัญเชิญ พระบางลงมาประดิษฐานที่ วัดใหม่เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำสักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวหลวงพระบางและชาวลาวทั้งประเทศภายในห้องพระนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก สลักด้วยหินในรูปแบบศิลปะเขมรอีก 4 องค์ และมีกลองมโหระทึกอีกหลายใบซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใดนอกจากนั้นยังมีพวงมาลาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งถวายเป็นพุทธบูชาไว้เมื่อครั้งเสด็จมายังประเทศลาวและเมืองหลวงพระบาง เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 ด้วย
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปยังสุสานของนักสำรวจชาวฝรั่งเศสขื่อ อองลี มูโอ (Henri Mouhot) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกดินแดนในแถบอุศาคเนย์ ขากลับเรามาเลือกซื้อผ้าที่ศูนย์หัตถกรรมบ้านผานมซึ่งเป็นที่เดียวกันกับบ้านช่างทำเครื่องเงิน
เรารับประทานอาหารเที่ยงกันที่ในเมืองหลวงพระบางกันเช่นเดิม ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่วัดศรีสวรรคโลกหรือวัดศรีสวรรคเทวโลก ซึ่งเป็นวัดที่สร้างในปีพ.ศ. 2070 ในสมัยพระเจ้าโพธิสาร เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านความเชื่อของชาวหลวงพระบาง เนื่องจากก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้าง วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งของวิหารบูชาผีฟ้า ผีแถน อันเป็นความเชื่อดั้งเดิม หลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว วัดสังคโลกก็กลายเป็นวัดสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์เป็นพิเศษจากพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นความเชื่อเดิมก็ได้ลดน้อยถอยลงไป ในปีพ.ศ. 2426 อุโบสถถูกลมพายุพัดเสียหาย และได้บูรณะให้กลับคืนมาเป็นสภาพแบบเดิม

สุดท้ายของทริปนี้พักผ่อนหย่อนใจที่น้ำตกตาดกวางชีหรือตาดกวางสี เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ 70 เมตร ในช่วงฤดูฝนน้ำตกแห่งนี้จะมีน้ำมาก ไหลเชี่ยวแรงเป็นสีน้ำตาลขุ่น จนทำให้ละอองน้ำกระเซ็นมาถึงตัวนักท่องเที่ยว ที่ยืนชมบนสะพานชมน้ำตกตาดกวางซี บรรยากาศภายในบริเวณน้ำตกตาดกวางซี ร่มรื่นเมื่อเริ่มเดินทางจากทางเข้าน้ำตก ก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สองข้างทางปกคลุมไปทั่วบริเวณ สร้างร่มเย็นและความเพลิดเพลินให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก สถานที่นี้กลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนในของชาวตะวันตกซะมากกว่านะรับดูจากจำนวนประชากรแล้วมากพอสมควรครับ
ขากลับเราต้องนั่งรถ นอนรถเช่นเดิมแต่การไปหลวงพระบางครั้งแรกในชีวิตี่ได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ สถานที่ทางวัฒนธรรมที่สวยๆที่คงอยู่กับการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมและยืนยงอยู่ด้วยความโดดเด่นในหลวงพระบาง