จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มรดกทางวัฒนธรรม : ปราสาทหินวัดพู แขวงจำปาสัก สปป.ลาว



          มรดกทางวัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์ได้เคยสร้างไว้เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย การดำรงชีพและพิธีกรรมต่าง ๆ หลักฐานวัฒนธรรมในอดีต เช่น ซากบ้านเรือน ซากโบสถ์วิหาร ศาสนสถาน ซากกำแพงคูเมือง สถานที่ประกอบพิธีกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
การวิจัยข้ามวัฒนธรรมเป็นการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันหรือต่างกัน โดยเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างนักวิจัยเพื่อสะท้อนทัศนะในการมองวัฒนธรรมอื่นผ่านวัฒนธรรมตน นอกจากนี้การวิจัยข้ามวัฒนธรรมยังช่วยตรวจสอบปัจจัยทางพฤติกรรมศาสตร์ต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาของบุคคลต่อความเปลี่ยนแปลง การศึกษากลุ่มวัฒนธรรมใดในระยะก่อน ระหว่างและหลังการอพยพไปสู่ประเทศอื่นทำให้เกิดความเข้าใจในปัญหา ความวิตกกังวลและวิธีการจัดการและในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลง (นพวรรณ โชติบัณฑ์ , ดุษฎี โยเหลา , 29-45)
ปราสาทวัดพู ห่างจากตัวเมืองจำปาสัก(เมืองเก่า) ประมาณ 6 กิโลเมตร แขวงจำปาสักประเทศลาว จากหลักฐานการสร้างนักวิชาการเสนอว่า มีการสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่ 12ถือว่าเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดนอกจากนี้ปราสาทวัดพูยังเป็นศาสนสถานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมขอมโบราณที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมน้ำโขงในเขตจำปาสัก
ถือเป็นรากฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นการก่อร่างสร้างตัวซึ่งมีพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมและรูปแบบศิลปกรรมที่เป็นเอกลักษณ์จากสังคมบุพกาลในอดีตที่มีการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายสู่สังคมแห่งอารยธรรมที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนซึ่งนักวางผังในสมัยโบราณได้ปรับใช้ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ให้ตอบสนองต่อแนวความคิดทางศาสนาและคติความเชื่อในลัทธิไศวนิกายของศาสนาพราหมณ์ฮินดูโดยปราสาทวัดพูนี้นับได้ว่าเป็นต้นแบบสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรมของยุคสมัยอังกอร์วัดในประเทศกัมพูชา (เกรียงไกร เกิดศิริ, 2547)
หลังจากพุทธศตวรรษที่ 6หลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าชนชาติขอมเริ่มรวมตัวเป็นอาณาจักรหรือรัฐ มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 โดยพัฒนามาจากเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับอินเดีย มีความเจริญภายใต้พื้นฐานของอารยธรรมอินเดีย ใช้ชื่อว่า อาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง หรือทางเวียดนามตอนใต้และแม่น้ำโขงตอนใต้หรือกัมพูชา จนถึงบางส่วนในบริเวณของภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย โดยมีเมืองออdแก้ว (ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม) เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขาย และมีราชธานีนามว่าวยาธปุระใกล้เขาบาพนมในประเทศกัมพูชา
อาณาจักรฟูนันมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทั้งกับอินเดียและจีน หลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ยังดูรางเลือนหาข้อสรุปไม่ได้แน่ชัด ทราบแต่เพียงว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายคือ รุทรวรมัน และนับถือศาสนาพราหมณ์ที่ได้รับมาจากอินเดียเป็นหลัก มีการพบศิลาจารึกเกี่ยวกับการบูชายัญแก่เทพเจ้าในช่วงนี้ด้วยต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 12 อาณาจักรเจนละ ซึ่งแต่เดิมเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณตั้งแต่เมืองจำปาศักดิ์-ภูกล้าว และในปัจจุบันคือบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาวและทางภาคเหนือของประเทศเขมร และราชธานีของอาณาจักรเจนละคือ เมือง เศรษฐปุระอาณาจักรเจนละมีพื้นฐานอารยธรรมสืบต่อมาจากอาณาจักรฟูนันรวมทั้งการนับถือศาสนาพราหมณ์ด้วย
พระเจ้าภววรมัน ปฐมกษัตริย์ของเจนละได้ยึดวยาธปุระจากรุทรวรมัน ต่อมาพระอนุชาของภววรมันคือ พระเจ้ามเหนทรวรมันที่ 1 ได้เข้ายึดฟูนันและปราบปรามได้ ทำให้อาณาจักรเจนละได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิมจนล่วงพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรเจนละได้ถูกกษัตริย์ชวาจากราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรชวาภาคกลางรุกราน จึงทำให้เจนละแตกออกเป็น ๒ ส่วนคือ เจนละบก และ เจนละน้ำ ส่วนของเจนละน้ำนั้นถูกชวายึดครองได้ นอกจากนี้อาณาจักรชวายังได้นำตัวรัชทายาทคือ เจ้าชายชัยวรมันที่ 2 ไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรชวาอีกด้วย ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่าตัวจำนำเพื่อรับรองความจงรักภักดีของอาณาจักรขอม
ต่อมาในปี พ.ศ. 1350 ชัยวรมันที่ 2 ได้ยกทัพขึ้นมาประกาศเอกราชจากอาณาจักรชวา และยังรวมอาณาจักรเจนละบกเจนละน้ำที่แตกแยกเข้าด้วยกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรขอมใหม่ และขนานนามใหม่ว่า เมืองกัมโพชน์ตะวันออก โดยแยกตัวมาจากอาณาจักรลโวทย หรือละโว้ หรือปัจจุบันเรียกว่า ลพบุรี ซึ่งมีกัมโพชน์อยู่แล้ว โดยทรงเลือกตั้งราชธานีของเมืองกัมโพชน์ในบริเวณทางเหนือของทะเลสาบเขมร พระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจขยายเข้าไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำ บริเวณภาคอีสานของประเทศไทยด้วยในจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ ศีรษะเกษ
ลัทธิเทวราชาและการก่อสร้างปราสาทขอม
พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงสถาปนาลัทธิเทวราชา คือยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้าหรือเทวาราชา (Deva-Raja) เป็นกษัตริย์สูงสุด จึงเป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆเอาเป็นแบบอย่าง รวมถึงสยามของเราก็รับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์
ลัทธิเทวราชาหรือระบบเทวราชา ต่างจากลัทธิไศวนิกายแลไวษณพนิกาย คือ ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้าคือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ ๓ สิ่ง คือ
ขุดสระชลประทานหรือที่เรียกว่า บาราย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขมรมีความยิ่งใหญ่ เพราะเนื่องจากเขมรก็ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานใกล้แม่น้ำเท่าใดนัก ที่เมืองพระนครก็มีบารายขนาดใหญ่หลายบาราย เช่น บารายอินทรฏกะ มะละกอเต้นระบำ
กษัตริย์ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเตี้ยๆ อุทิศถวายบรรพบุรุษ หรือปราสาทขอมสร้างบนฐานเตี้ยๆเพียงชั้นเดียว เช่น ปราสาทพะโค ที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของพระองค์ นอกจากนี้ยังต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเป็นชั้นหรือปราสาทขอมแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า หากเป็นศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายก็จะประดิษฐานศิวลึงค์ของสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานเทวะรูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาทที่พระองค์สร้างไว้นั่นเอง เช่น พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ทรงสร้างปราสาทนครวัด อุทิศถวายแด่องค์พระวิษณุ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็มีพระนามว่า บรมพิษณุโลก
จากเหตุผลนี้เองที่เป็นประเพณีที่กษัตริย์เขมรทุกพระองค์จะต้องสร้างปราสาทขอมอย่างน้อยที่สุด ๒ หลัง ส่วนรูปแบบของปราสาทขอมนั้น ก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานในประเทศอินเดียที่เรียกกันว่า ศิขร ซึ่งเป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ และ วิมาน เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้ นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ จันฑิ ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนละตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวาด้วย
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า ปราสาทขอม หรือก็คือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องด้วยปราสาทขอมเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็นอิฐ ศิลาทราย และศิลาแลง เป็นต้นซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน
จึงไม่แปลกที่สามารถพบปราสาทแบบเขมร ในบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาว และแถบภาคอีสานของประเทศไทย ซึ่งมีปราสาทขอมอยู่มากมายด้วยเช่นกัน เนื่องจากในบางช่วงเวลาพระราชอำนาจของกษัตริย์ที่เมืองพระนครมีความเข้มแข็ง ทำให้อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาโบราณที่มีเหนือดินแดนประเทศไทยขยายเข้ามา ด้วยเหตุนี้ปราสาทขอมจึงถูกสร้างขึ้นในดินแดนลาวและไทยด้วย
สถาปัตยกรรมปราสาทหินวัดพู
          ปราสาทหินวัดพูถูกสร้างขึ้นบนฐานเป็นชั้นหรือปราสาทขอมแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นบนภูเขาที่มีชื่อเรียกว่า ภูเกล้า เพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า ในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย โดยปรากฏหลักฐานคือแท่นโยนีที่พบบริเวณรอบๆตัวปราสาท ประดิษฐานศิวลึงค์ของสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานเทวะรูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาท
          ปราสาทแห่งนี้มีการสร้างต่อกันมาเรื่อยๆ เพื่อเป็นการสืบทอดศาสนาและอุทิศเพื่อศาสนา อาจแบ่งเป็นยุค(แบ่งตามวัตถุที่ใช้ในการสร้าง) คือ ยุคแรก ปราสาทสร้างขึ้นด้วยดินเผา สามารถพบหลักฐานได้บริเวณด้านซ้ายและด้านขวาของบันไดทางขึ้นปราสาท (หมายเลข 3ตามภาพผังวัดพู)ในปัจจุบันบริเวณดังกล่าวจะพบเพียงกองอิฐเท่านั้น นอกจากนี้ทางด้านหลังของปราสาทองค์ประธาน(เทวาลัย)ก็สร้างขึ้นด้วยอิฐ
ก่อนที่จะมีการต่อเติมด้วยหินทรายในยุคหลังๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้เราทราบว่าปราสาทวัดพูมีการสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคแรก (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6) ส่วนในยุคที่ 2 นั้นสร้างขึ้นจากหินทรายมีอาคารทรงปราสาทหลายหลังที่สร้างขึ้นด้วยหินทรายเช่น ปราสาทองค์ประธานที่มีการต่อเติมจากตัวปราสาทเดิมที่ก่อด้วยอิฐบันไดทางขึ้นปราสาท เสานางเรียง เป็นต้น ในยุคที่สองนี้นักโบราณคดีสันนิษฐานจากภาพสลักส่วนใหญ่ว่าอยู่ในยุคปาปวน หรือในช่วง พระเจ้าอุทยดิษยะวรมัน ที่2เป็นกษัตริย์ ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีการสร้างปราสาทด้วยอิฐในยุคแรกแล้วจะไม่มีการสร้างต่อเป็นระยะเวลาร้อยๆปี แต่จากภาพสลักที่พบชี้ให้เห็นถึงการสร้างหรือศิลปกรรมที่พบเท่านั้นซึ่ง
รูปแบบปราสาทวัดพู อาคารตัวปราสาทประธาน(เทวาลัย) มีการสร้างและบูรณะในสมัยต่อๆมา อาคารหลังนี้เดิมใช้ในลัทธิพราหมณ์โดยจะประดิษฐานฐานโยนีและศิวะลึงค์ไว้ในตัวปราสาท นอกจากนี้ยังมีการต่อท่อสมสูตร มาจากน้ำธรรมชาติ ที่ชาวเมืองจำปาสักเรียกว่า น้ำเที่ยง
โดยจะให้น้ำไหลผ่านท่อสมสูตรเข้ารดศิวะลึงค์ตลอดปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้พื้นที่ในการทำพิธีกรรมและแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนในยุคนั้นที่มีต่อปราสาทหินวัดพู ด้านบนของตัวปราสาทโล่งสันนิษฐานว่าคงจะใช้กระเบื้องในการมุงหลังคาแต่ในปัจจุบันไม่มีแล้ว ในปัจจุบันอาคารหลังนี้คราวหลังที่อาณาจักรล้านช้างแผ่ขยายอำนาจเข้ามาบริเวณนี้ จึงได้นำเอาศาสนาพุทธเข้ามาด้วย อาคารหรือเทวาลัยหลังนี้จึงกลายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดังที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วนทางทิศใต้ของปราสาทองค์ประธานหรือเทวาลัยจะเป็นบรรณาลัย คือที่เก็บคัมภีร์หรือคำสอนทางศาสนา ทางทิศเหนือ ทิศใต้และทิศตะวันออกจะพบการแกะสลักหินให้มีลักษณะเหมือนบานประตู เรียกว่า ประตูหลอก อาคารบรรณาลัยนี้จะสามารถเข้าได้ด้านเดียวคือทิศตะวันตก
นอกจากนี้บริเวณก่อนทางขึ้นปราสาทยังพบปราสาทอีกสองหลังคือ โฮงท้าวและโฮงนาง สร้างด้วยหินทรายมีการแกะสลักลาดลายอย่างสวยงาม ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าเป็นที่พักของข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จพระมหากษัตริย์
ประติมากรรม
ในด้านประติมากรรมของปราสาทหินวัดพู อรวรรณ เพชรนาค ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “คติความเชื่อและรูปแบบของภาพสลัก ปราสาทวัดพู” โดยศึกษาเกี่ยวกับศิลปะที่พบบนปราสาทหินวัดพูปราสาทวัดพูว่าเป็นที่ตั้งของศาสนสถานในอารยะธรรมโบราณโดยแบ่งได้เป็น 3 ยุคคือ ๑) ยุคของอาณาจักรเจนละซึ่งนับถือเทพเจ้าและพิธีการบูชายัญ ๒)ยุคอาณาจักรขอมที่มีการสร้างปราสาทเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ และ ๓)ในยุคอาณาจักรล้านช้างที่ได้ปรับเปลี่ยนปราสาทขอมให้กลายเป็นพุทธสถานของนิกายเถรวาทจนถึงปัจจุบันอาคารต่างๆของปราสาทวัดพูได้สร้างขึ้นในยุคสมัยของอาณาจักรขอมภายใต้ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ และมีการก่อสร้างและต่อเติมอาคารในหลายยุคหลายสมัยด้านคติความเชื่อของภาพสลักที่ปราสาทวัดพูนั้นแบ่งตามคติของการสร้างภาพสลักคือภาพสลักเล่าเรื่องในศาสนาพราหมณ์ที่สร้างขึ้นตามคติความเชื่อของลัทธิไศวนิกาย กับลัทธิไวษณพนิกายซึ่งปรากฏในรูปแบบของภาพสลักเล่าเรื่องทางประติมานวิทยา มีเนื้อหาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระนางอุมา พระอินทร์และฤาษี เรื่องราวที่เกี่ยวกับสัตว์ เช่น ช้างเอราวัณนาค ครุฑ หน้ากาล สิงห์ รวมถึงลวดลายพันธุ์พฤกษาประดับตกแต่งต่าง ๆรูปแบบของภาพสลักที่ปรากฎสวนใหญเป็นศิลปะแบบบาปวนตอนต้นที่ยังคงรักษารูปแบบบางประการของศิลปะแบบเกลียงไว้ แสดงถึงการก่อสร้างภายใต้ช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันรูปแบบภาพสลักเล่าเรื่องที่ปราสาทวัดพูนั้น แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ
ได้แก่ภาพสลักเล่าเรื่องอย่างแท้จริงโดยไม่มีส่วนประกอบอื่นมาปะปนและภาพสลักเล่าเรื่องท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษาที่มีการเล่าเรื่องอยู่ในบริเวณจุดกึ่งกลางของภาพโดยภาพสลักนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญในการแสดงความหมายในเชิงสัญลักษณ์ให้ปราสาทหินแปรเปลี่ยนเป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่ประทับของเทพเจ้าอย่างสมบรูณ์
นิเวศวัฒนธรรม
ปราสาทวัดพูศูนย์กลางอำนาจและความมั่งคั่ง พ.ศ. 1000-1300 เป็นชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นศูนย์อำนาจในแถบนี้มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรเจนละ (Chenla) และอาณาจักรจาม (Champa) ให้ความสำคัญกับส่วนยอดของภูตั้งแหลมเป็นแท่งคล้ายกับลำลึงค์ มีการตั้งศาสนสถานขึ้นที่เชิงเขาและเรียกภูยอดลึงค์นี้ว่าลิงคปารวัต (Lingaparvata)หรือลิงคบรรพต ชาวบ้านเรียกกันว่าภูเก้าหรือภูเกล้า บางเอกสารเรียกภูควย เปรียบได้กับเขาไกรลาส (Kailasha) อันเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะ และแม่น้ำโขงที่อยู่ทางด้านหน้าเปรียบเสมือนมหาสมุทร ประดุจแม่คงคา วัดพูสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับและที่สักการะพระศิวภัทเรศวร (Shiva Bhadresvara)
ที่เชิงเขาด้านหลังวัดมีน้ำจากเขาไหลซึมลงมาถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะเชื่อว่าน้ำไหลลงมาจากลิงคปารวัตบนยอดเขา สิ่งปลูกสร้างแรกเริ่มเกิดในราวศตวรรษที่ 10 และปรับปรุงใหม่ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 และบุรณะต่อมาในสมัยของสุริยวรมันที่ 1 และ 2, และชัยวรมันที่ 7 ตามลาดับ
ปรากฏในจารึกว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โปรดให้ทิวากร (Divakara) พราหมณ์ราชครูสร้างและตกแต่งเพิ่มเติม สระน้าอันหนึ่งเรียกชื่อตามท่านราชครูว่า ทิวากรตฏากะ (Divakaratataka) จากศิลาจารึกที่ค้นพบที่ปราสาทเขาพระวิหารระบุว่า ศิลาฤกษ์ได้นามาจากวัดพูจึงนับว่าวัดพูเป็นวัดแม่ของปราสาทเขาพระวิหาร
การใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชุมชน
พื้นที่ปราสาทวัดพูในปัจจุบันชาวจำปาสักและชาวลาวยังถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มีการกราบไหว้ขอพร รวมทั้งมีการผสานความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เข้ากับศาสนาพุทธเช่น การนำรูปทวารบาลมากราบไหว้โดยเชื่อว่าเป็นพระยากำมะทาซึ่งเป็นลูกของท้าวคัชนามผู้สร้างเมืองจำปาสักในสมัยก่อนที่สมเด็จเจ้าราชครูขี้หอมจะพาเจ้าหน่อกษัตริย์และไพร่พลลงมาสร้างบ้านแปลงเมืองและสถาปณาอาณานครจำบากนาคบุรีศรีขึ้นในแถบนี้ รวมทั้งมีการใช้ปราสาทองค์ประธาน หรือเทวาลัยปรับเปลี่ยนเป็นพุทธสถาน โดยได้สร้างพระพุทธรูปเข้าไปประดิษฐานแทนที่ศิวะลึงค์

ทวารบาลที่ชาวจำปาสักเชื่อว่าเป็นพระยากำมะทา
          นอกจากนี้ที่ปราสาทวัดพูยังมีการประกอบพิธีกรรมประจำปี คืองานบูชาปราสาทหินวัดพู ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจากพิธีกรรมนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของชาวจำปาสักและชาวลาวมีต่อปราสาทหินวัดพู โดยถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของชาวจำปาสักและชาวลาวอีกด้วย
มองมรดกทางวัฒนธรรมเชิงเปรียบเทียบ: ปราสาทเขาพระวิหาร
ปราสาทพระวิหารอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างชายแดนไทยและกัมพูชา ใกล้กับหมู่บ้านภูมิซรอลตำบลบึงมะลูอาเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษห่างจากกลุ่มโบราณสถานในเขตเมืองพระนคร (Angkor) มาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณเกือบ 200กิโลเมตรศาสนสถานแห่งนี้ได้รับการก่อสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์อันเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะเทพสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ตามลัทธิไศวะนิกาย เช่นเดียวกันกับปราสาทวัดพู แขวงจำปาสัก สปป.ลาวจัดเป็นเทวสถานที่มีลักษณะเป็นเทวบรรพตหรือศาสนบรรพตซึ่งหมายถึงเทวสถานที่ประดิษฐานอยู่บนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเขาพระวิหารซึ่งเป็นที่ตั้งปราสาทจึงมีความสำคัญในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์เสมือนหนึ่งเขาไกลาสอันเป็นที่ประทับของเทพเจ้าคือพระศิวะลักษณะทางศิลปกรรมส่วนใหญ่ที่ปรากฏเป็นองค์ประกอบสถาปัตยกรรมของเทวสถานแห่งนี้แสดงให้เห็นลักษณะของรูปแบบศิลปกรรมขอมแบบบาปวน เช่นเดียวกับปราสาทวัดพู มีการอัญเชิญพระภัทเรศวรมาประดิษฐานใหม่ที่นี่ (ศรีภัทเรศวรเป็นชื่อเรียกเดิมของปราสาทวัดพูแขวงจาปาสักสปป.ลาว) ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนที่อยู่รอบๆปราสาทวัดพูและชุมชนที่อยู่รอบๆปราสาทพระวิหาร
จารึกพระวิหาร๑ที่ประกาศเกียรติคุณ "ศรีสุกรรมากาเสตงงิผู้ทำรั้วล้อมกัมรเตงชคัตศรีศิขเรศวรและกัมรเตงชคัตศรีพฤทเธศวร. อัญศรีสุริยวรมันเทวะเกี่ยวกับความจงรักภักดีของศรีสุกรรมากาเสตงงิ() ขณะที่ทารั้วในกัมร-. เตงชคตศรีพฤทเธศวรพร้อมกับความขยันหมั่นเพียรของในเขาการเฝ้าบัญชีเมื่อความรุ่งเรืองของพระศิวะ() ในกั. มรเตงชคตศรีศิขรีศวรซึ่งปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน (ที่)พระยศสถิราวสานะและเป็นผู้ที่มีเครือญาติทาหน้าที่รักษาจากจารึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ที่กรอบประตูระเบียงคตมีทั้งหมด 33 บรรทัดเนื้อความย่อมีดังนี้พระกัมรเตงอัญศิวทาสคุณโทษพระสภาแห่งกัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรเมืองสดุกอาพิลร่วมกับข้าราชการคนอื่นๆคือกัมรเตงอัญขทุรอุปกัลปดาบสพระกัมรเตงอัญศิขเรสวัตพระธรรมศาสตร์และพระกัมรเตงอัญผู้ตรวจการแต่ละปักษ์ซื้อที่ดินซึ่งติดกับตระพัง (สระน้า) เพื่อถวายให้แก่กัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรในวันวิศุวสงกรานต์ขึน 2 ค่าเดือน 5 มหาศักราช 964 (..1585)ปราสาทสระกำแพงใหญ่หรือกัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรเป็นศาสนสถานขอมที่น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ช่วงเดียวกับการต่อเติมปราสาทเขาพระวิหารดังที่ปรากฏในจารึกปราสาทเขาพระวิหาร 1 ในราวปีพ..1581 ว่าศรีสุกรรมากาเสตงงินายช่างผู้สร้างแนวกาแพงที่ปราสาทเขาพระวิหารเป็นผู้สร้างแนวปราสาทสระกาแพงใหญ่ด้วยอีกไม่กี่ปีต่อมาคือราวปีพ..1585 พระกมรเตงอัญศิวทาสแห่งเมืองสดุกอาพิล

เนื้อความในจารึกหลักที่ K 380 และจารึกปราสาทพระวิหาร 4 (ศก 6) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงพุทธศักราช 1580 โดยมีใจความสาคัญคือคุณงามความดีของ ศรีสุกรมา กัมเสตงิ ผู้ริเริ่มจัดทำรั้วทั้งหมดที่ พระกัมรเตงชะคัต ศรีศิขเรศวร (ศิวลึงค์ซึ่งประดิษฐาน ณ ปราสาทพระวิหาร) และพระกัมรเตงชะคัต ศรีพฤทเธศวร (ศิวลึงค์ซึ่งประดิษฐานณ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ 6) นอกจากการสร้างรั้วที่ปราสาทพระวิหาร (ซึ่งเป็นเทวสถานแห่งองค์ ศรีศิขเรศวร) กับที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ (ซึ่งเป็นเทวสถานแห่งองค์ ศรีพฤทเธศวร) แล้ว พระศรีราชปติวรมัน ยังกราบทูลเรื่องความดีอื่นๆ ที่ ศรีสุกรมา กัมเสตงิ ได้ดำเนินการคือ การพยายามจดบันทึกเวลาแสดงอภินิหาร (ศิวะเตชะ) ของ พระศรีศิขเรศวร ทั้งให้ญาติเขียนลำดับประวัติราชวงศ์กัมพูและให้หน่วยราชการเขียนประวัติเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน เริ่มตั้งแต่พระเจ้าศรุตวรมเทวะ จนถึงพระศรีสูรยวรมเทวะและให้เขียนประวัติของ พระศรีศิขเรศวร กับ พระศรีพฤทเธศวร ลงบนแผ่นศิลามอบไว้ที่ปราสาท พระเจ้าศรีสูรยวรมเทวะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์และหมู่บ้าน วิเภทะ แก่ ศรีสุกรมา กัมเสตงิ จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้าน กุรุเกษตร กล่าวคือเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านซึ่งเดิมมีนามว่าหมู่บ้าน วิเภทะ เป็น หมู่บ้าน กุรุเกษตร นักวิชาการเชื่อว่าหมู่บ้านกุรุเกษตร น่าจะได้แก่ชุมชนโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งก็คือพื้นที่ในเขตตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ และอำเภอใกล้เคียง ใน จังหวัดศรีสะเกษ นั้น เอง ดังปรากฎพบหลักฐานไม่ว่าจะเป็นโบราณสถานเช่น ปราสาทโดนตวล ปราสาทตาหนักไทร ปราสาทเยอ ปราสาทภูฝ้าย โบราณวัตถุในแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง และจารึกขอมหลักอื่นๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นลักษณะทางวัฒนธรรมในรูปแบบวัฒนธรรมขอม ที่กำหนดอายุได้ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อันเป็นช่วงเวลาร่วมสมัยกับปราสาทพระวิหาร ต่อเนื่องจนถึงในช่วงเวลาต่อมาคือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 17-18 ความโดยรวมจากจารึกเหล่านี้ จึงแสดงให้เห็นความสำคัญของปราสาทพระวิหารช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ที่มีต่อชุมชนโบราณบริเวณเชิงเขาพระวิหาร ตลอดจนชุมชนที่อยู่ห่างไกลออกไปซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาทในบริเวณที่ราบลุ่มลาน้ามูล-ชี ตอนล่าง โดยเฉพาะชุมชนบริเวณแถบเมือง สดุกอาพิล อันเป็นที่ตั้งของปราสาทสระกำแพงใหญ่ ดังเนื้อความที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเทวสถานและชุมชนโบราณทั้งสองพื้นที่
อย่างไรก็ตาม แม้นัยของลักษณะแผนผังทางสถาปัตยกรรมและข้อมูลในจารึกจะบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างปราสาทพระวิหารกับพื้นที่ชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะข้อมูลจากจารึกต่างๆ ทั้งจารึกที่พบ ณ ปราสาทพระวิหารเอง ตลอดจนจารึกที่พบในเขตประเทศกัมพูชาก็แสดงให้เห็นว่า ปราสาทพระวิหารมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับชุมชนขอมโบราณที่อยู่ในเขตที่ราบรอบทะเลสาบเขมรด้วยเช่นกัน

การวิจัยข้ามวัฒนธรรม : ผนวกความรู้สองชุดให้เข้าใจในวัฒนธรรม
          จากการที่ได้เข้าร่วมศึกษาดูงาน ณ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว และเมืองสตรึงเตรง ประเทศกัมพูชา ทำให้กลุ่มข้าพเจ้าได้เห็นแนวทางและลักษณะร่วมทางวัฒนธรรมที่มีความเชื่อมโยงและมีความสัมพันธ์กันในอดีต กล่าวคือความสัมพันธ์ของปราสาทวัดพู ประเทศลาวและปราสาทพระวิหาร คือเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นสมัยใกล้เคียงกัน (ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา)  มีลักษณะทางศิลปกรรมแบบปาปวนเหมือนกัน สร้างบนภูเขาเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ คือพระศิวะเช่นเดียวกัน มีการนำวัตถุจากปราสาทแห่งหนึ่งไปไว้อีกแห่งหนึ่ง เป็นต้น จึงทำให้ทราบว่าความสัมพันธ์และอาณาเขตของอาณาจักรเขมรเคยรุ่งเรืองมาถึงแถบประเทศลาวและประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตไม่ได้มีพื้นที่หรือเขตแดนที่แน่นอน หากใช้ปราสาทหรือศิลปะเป็นตัววัดว่าอาณาเขตมีขอบเขตถึงที่ใด ในปัจจุบันปราสาทหินวัดพูและปราสาทเขาพระวิหารกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของโลก ดังที่ ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปราสาททั้งสองแห่งเป็นมรดกโลก
                                               
อ้างอิง
เกรียงไกร เกิดศิริ.วัดพู : มรดกโลกทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมแห่งเมืองจำปาสัก. วารสารหน้าจั่ว : 2547 .
นพวรรณ โชติบัณฑ์ , ดุษฎี โยเหลา . ทำไมจึงวิจัยข้ามวัฒนธรรม .วารสารพฤติกรรม(สำเนา) :29 – 45 .
อรวรรณเพชรนาค . คติความเชื่อและรูปแบบของภาพสลัก ปราสาทวัดพู แขวงจำปาสัก สปป.ลาว.ขอนแก่น :
สาขาวิชาวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
www.วิกิพีเดีย.com/ปราสาทศิลปะเขมร . สืบค้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 .

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น