00.00 น วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นช่วงที่ใครหลายคนกำลังหลับใหลฝันหวาน
หรือบางคนกำลังได้ที่กับแอลกอฮอร์ในผับต่างๆ ที่กำลังใกล้ปิดลงในเวลาตี 2 ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
ของผมไฟนีออนยังสว่างจ้าอยู่เคล้าด้วยเสียงเพลงตามสไตน์
ผมกำลังวุ่นวายกับการจัดกระเป๋าเพราะยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย
เพราะช่วงนี้ชีพจรลงเท้า(เดินทางบ่อยซะเหลือเกิน) นัดพี่ปิง สมชาติ รัตนมาลี ไว้ตี
2 เพราะเพื่อนพี่ปิงจะมารับ วันนี้ผมสัญญากับตัวเองว่าจะนอนบนรถ
เราขึ้นรถตอนเวลาเกือบตี 5 เสียงคุยกันเจี้ยวจ้าวต่างๆนานาไม่นาน
ลูกทัวร์ทริปหลวงพระบางของเราก็หลับไปแทบไม่ได้ยินเสียงใครคุยเลย
พวกเราหลับไปในรถที่เหมือนตอนเรากระโดดอยู่บนสปริงตลอดเวลา
แต่ก็หลับได้ งงกับตัวเองเหมือนกัน อาจเป็นเพราะการไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ก็เป็นได้
เรามาตื่นกันอีกทีก็อยู่ที่ปั๊มน้ำมัน PPT แห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี
เราต่างทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จรวมทั้งอาหารเช้าด้วย
แต่ไม่มีใครกล้ากินอะไรมากเพราะกลัวจะไปปวดท้องเอากลางทาง
ที่พึ่งของเราคงหนีไม่พ้นร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่น
แต่มันก็ช่วยให้เราคลายความหิวได้ไม่น้อย ตื่นอีกทีก็อยู่ที่สถานีรถไฟหนองคาย งงเล็กน้อย
เขาพาเรามาสถานีรถไฟทำไมกัน และแล้วก็ได้คำตอบนั้นคือเปลี่ยนรถ
โดยบริษัททัวร์นำรถมารอรับที่สถานีรถไฟ อิอิ
ตอนแรกก็นึกว่าจะเปลี่ยนโปรแกรมพานั่งรถไฟไป คณะเราถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคายเวลาประมาณ
7 โมงเศษๆ ทุกคนต่างกรอกเอกสารและเข้าแถวเตรียมปั๊มตราประทับเพื่อเป็นหลักฐานว่าเข้าเมืองลาวอย่างถูกกฎหมาย
หลังจากที่ตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถ มุ่งหน้าสู่เมืองมรดกโลกหลวงพระบาง
ตลอดระยะเวลาที่เรานั่งกึ่งนอนอยู่ในรถเราจะได้ยินเสียงไกด์พูดบ้างอะไรบ้าง
เสียงที่เราทุกคนต้องรู้ว่าตื่นได้แล้ว อีอะไรสักแห่งข้างหน้า
หรือการตื่นก่อนเข้าห้องน้ำจะได้ยินเสียง “โป่งโป๊งงงงงงงง”จากไกด์แสนสวยของเรา หลังเวลาที่ปราศจากเสียงไกด์พวกเราก็อยู่ในโลกแห่งความฝัน
เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะถามตัวเองว่า “ฮอดไสแล้วน้อ” พร้อมกับอุทานในใจว่า
“ปานได๋สิฮอดน้อ” กว่าจะถึงหลวงพระบางเราได้แวะที่ต่างๆ อาทิเช่น เขาหลัก วังเวียง
หรือแม้แต่ที่ขายของ (ส่วนมากไปเดินชมครับ นอกนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำซะส่วนใหญ่ ) ระยะทางอันยาวไกลที่เต็มไปด้วยภูเขาลูกมหึมา
ถนนที่ลาดด้วยยางมะตอยเพียงน้อยนิดกับขอบถนนทางโค้งที่ไม่มีเหล็กกั้น เราก็อดไม่ได้ที่จะขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้ถึงหลวงพระบางอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย สาธุฯ
คณะทัวร์ของเราถึงชานเมืองหลวงพระบางเวลาประมาณ
4
ทุ่มกว่าๆ เปลี่ยนจากรถบัสเป็นรถสกายแลป (ภาษาท้องถิ่น
บ้านเราคือรถสามล้อนี่เอง) ไปทานข้าวในตัวเมืองหลวงพระบาง บรรยากาศแรกที่รู้สึกดีมากๆคืออากาศที่เย็นสบาย
ในคืนนี้ผมคิดกับตัวเองว่าคงนอนไม่หลับเพราะนอนมาทั้งวันแล้ว
หลังจากที่เราเข้าที่พักสิ่งที่สังเกตได้คือสมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ
ทั้งรูปแบบอาคารบ้านเรือน แม้กระทั้งหมอน อิอิ
ผมไม่รู้หรอกครับว่าหมอนห้องอื่นเป็นเหมือนหมอนห้องผมหรือเปล่า
แต่หมอนห้องผมจากสีขาวมันกลายเป็นสีเหลือง จนผมอดคิดไม่ได้ว่า
ยูเนสโกอนุรักษ์หมอนด้วยมั๊ยน้อ
เวลา 7.00
น. วันที่ 10 กุมภาพันธ์
2556 หลังจากที่ทุกคนตื่นนอนและทำภารกิจส่วนตัวแล้ว
ต่างออกไปหาลิ้มรถอาหารถิ่นที่ห่างออกไปจากที่พักไม่กี่สิบเมตร บ้างกินเฝ๋อ
บ้างไก่ย่าง บ้างข้าวจี่ ส่วนตัวผมและพี่พล นิพล สายศรี ตื่นสายครับ อิอิ เลยได้กินอาหารแบบพิเศษ
ซื้อขึ้นไปกินบนรถสกายแลป แต่ขอยอมรับว่าอาหารที่หลวงพระบางอร่อยจริงๆ
เราไปวันทาดหลวงเป็นที่แรกของทริป
เป็นวัดที่มีการสร้างเจดีย์ไว้หลังวิหารซึ่งเป็นแบบเดี่ยวกันกับสุโขทัย
ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครไปไหว้พระในวิหารจะถือว่าได้ว่าได้ไหว้เจดีย์ด้วย
ตามตำนานกล่าวว่าวัดทาดหลวงสร้างขึ้นโดยสังฆฑูตของพระเจ้าอโศกมหราช
ซึ่งเดินทางจากอินเดียมาเผยแพร่พุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ 3 สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2361
ในรัชกาลพระเจ้ามันธาตุราช หน้าสิมด้านทิศเหนือมีเจดีย์สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ.2363
โดยเจ้าหญิงปทุมมาพระธิดาของเจ้าอนุรุทราช ต่อมาใน พ.ศ.2508
ได้บูรณะเจดีย์เพื่อเป็นที่เก็บพระสรีรังคารของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
การบูรณะครั้งนี้ได้พบโบราณวัตถุหลายอย่างฝังอยู่ใต้ฐานเจดีย์
ปัจจุบันเก็บไว้ในหอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง
จากการแสการท่องเที่ยวในเมืองหลวงพระบางที่เพิ่มมากขึ้น
ทำให้วัดต่างๆในหลวงพระบางต้องติดเหล็กดัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนขึ้นไปตีกลองที่หอกลอง
เพราะที่หลวงพระบางเขาดีกลองเป็นเวลา
หลังจากที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับวัดทาดหลวงและถ่ายรูปเป็นที่พอใจ
เราก็มุ่งหน้าไปต่อที่วัดมะโนรม ที่สร้างโดยพระเจ้าสามแสนไท
พระราชโอรสของเจ้าฟ้างุ่มในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19
หลังจากนั้นไม่นานโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ขึ้นและถูกทำลายเสียหายในช่วงที่มีจีนฮ่อออกปล้นสะดมในปีพ.ศ.
2330
ตัววัดซึ่งอยู่นอกเขตกำแพงเมืองได้รับความเสียหายหลายแห่งมีการบูรณะภายหลังโดยสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
มีโครงสร้างคล้ายกับที่วัดโพนชัยรวมทั้งหอพระและพระพุทธรูปสำริดได้โบกปูนปิดทองใหม่
ด้านหลังพระอุโบสถมีร่องรอยของแท่นพระพุทธรูป มีศาลาหลังเล็กครอบไว้
ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ตั้งของ วัดเชียงกลาง ซึ่งคณะสังฆฑูตจากกัมพูชาเป็นผู้สร้างไว้
ตั้งแต่ครั้งเดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาบนแผ่นดินล้านช้างในสมัย เจ้าฟ้างุ่ม
ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบางและเคยเป็นที่ประดิษฐาน
พระบางในระหว่างปีพ.ศ. 2045-2056
ในวัดนี้จะเห็นภาพเขียนที่ปรากฏอยู่ในวัดต่างๆในเมืองไทย
โดยจะเป็นเรื่องราวของพุทธประวัติและพุทธชาดก
หลังจากนั้นเราเดินทางต่อไปที่วัดวิชุนราช
อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้
วัดวิชุนในเรื่องมีความแปลกที่พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน
พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ สร้างโดยพระเจ้าวิชุนราชในปีพ.ศ. 2057
และตั้งชื่อวัดตามพระนามของพระองค์เอง ในสมัยฮ่อบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง
วัดวิชุนถูกพวกฮ่อเผาทำลาย
จนรัชสมัยพระเจ้าสักกะรินจึงได้บูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยมี
อองรี มาร์แซล นายช่างฝรั่งเศสผู้เคยบูรณะนครวัดเป็นแม่งาน
เนื่องจากที่นี่เคยเป็นหอพิพิธภัณฑ์มาก่อนที่จะย้ายหอพิพิธภัณฑ์ไปที่
พระราชวังเดิม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระอุโบสถ
หรือที่ชาวลาวเรียกว่าสิม
เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง
ตัวอุโบสถมีรูปทรงอาคารไทลื้อสิบสองปันนา
ซึ่งมีจุดเด่นคือส่วนคอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไป
ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่(หรือช่อฟ้าแบบไทย) ตรงกลางหลังคามีช่อฟ้า
เป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้น หน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยลูกมะหวด
บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทอง มีรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม
และพระอินทร์ ศิลปะแบบเชียงขวาง
ระเบียงด้านหน้าที่หันอออกสูพระธาตุหมากโมมีชายคาใหญ่ยื่นลงมาคลุม
ทำให้สิมแบบนี้ไม่มีหน้าบัน ด้านข้างสิมมีทางเดินเชื่อมระหว่างวัดวิชุนกับวัดอาฮาม
ตรงรอยต่อของเขตพัทธสีมาเป็นซุ้มประตูโขง
อันเป็นลักษณะของวัดแบบล้านนาและล้านช้างในอดีต
เสร็จกิจการการเก็บข้อมูลที่วัดวิชุนราชเราได้มีโอกาสเข้าไปในวัดอาฮามอุตุมะทานี
พระอุโบสถวัดอาฮามสร้างโดยพระเจ้ามังทาตุราชในปีพ.ศ. 2365 ด้านข้างพระอุโบสถจะเป็นที่ตั้งของหอเสื้อเมืองหรือหอ
“ปู่เยอ-ย่าเยอ” หลังคามีลักษณะซ้อนกันอยู่ 3
ชั้นตรงกลางสันหลังคามีช่อฟ้ารูปทรงแปลกตาจากวัดทั่วไปในหลวงพระบาง
ข้างบันไดทางขึ้นพระอุโบสถด้านหน้ามีรูปปั้นสิงห์ลอยตัว
ทาด้วยปูนขาวถัดออกไปด้านข้างทั้งสองด้านเป็นรูปปั้นยักษ์ลอยตัวบางตำรากล่าวว่าเป็นทวารบาล
พระอุโบสถได้รับการบูรณะในปีพ.ศ. 2474
และค้นพบโบราณวัตถุมีค่าหลายชิ้นที่ฝังอยู่ใต้พระอุโบสถ หน้าพระอุโบสถมีพระธาตุ 2
องค์องค์หนึ่งเป็นพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมในอดีตมีหอคลุมอยู่
อีกองค์เป็นพระธาตุย่อมุมบริเวณมุมฐานทั้งสี่ด้านประดับด้วยเสารูปดอกบัว
หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันไปต่อที่วัดที่ถือว่าถ้าไม่ไปเมืองหลวงพระบางถือว่าไปไม่ถึง
นั้นคือ วัดเชียงทอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2102 ?2103 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
ในบรรดาวัดวาอารามทั้งหมดต้องยกให้วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงามที่สุด
และได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด
"นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว"
วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ไม่นานนัก
และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชาติศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชาติศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของประเทศลาว
พระอุโบสถ
ภาษาลาวเรียกว่า สิม
เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนักหลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง
ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า
ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ
ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น
เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่
ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่
มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ
ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงาม
ที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ
ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ
ด้านหลังของวิหารวัดเชียงทอง
จะมีภาพติดกระจกอยู่ภาพหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าเป็นภาพอะไร
หรือบางคนอาจคิดว่าต้นโพธิ์
ที่จริงแล้วมันคือต้นทองซึ่งเป็นที่มาชองชื่อเมืองเชียงดงเชียงทอง
ชื่อเดิมของเมืองหลวงพระบาง
เยื้องๆ
กับวิหารวัดเชียงทองจะพบกับวิหารหลังหนึ่งที่ชาวลาวเรียกกันว่า “ โฮงเมี้ยนโกฏิ” สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ 2505. ออกแบบโดยเจ้ามนีวง
เพื่อเป็นที่เก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตสีสะหว่างวง หลังการสิ้นพระชนม์
ผนังด้านหน้าแกะสลักตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารเป็นสีทองเหลืองอร่ามโดยช่างเอกแห่งสกุลช่างล้านช้าง
“เพียตัน” หรือพระยาตัน
ตั้งแต่หน้าบันจดพื้นเป็นลวดลายพฤกษา และเหตุการณ์บางตอนจากมหากาพย์เรื่อง “รามเกียรติ์” แต่ภาพที่ดูโดดเด่นที่สุด
เห็นจะเป็นภาพแกะสลักตรงด้านข้างบานประตูทั้งสองด้าน คือ ตอนนางสีดาลุยไฟ และ
ตอนพระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ โดยเฉพาะภาพนางสีดาลุยไฟนั้นดูร้อนแรง
ประหนึ่งว่านางสีดากำลังโลดแล่นลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อองค์พระราม
เพียตันได้ ใส่วิญญาณของตัวละครที่เขาแกะสลักลงไปด้วย และที่พิเศษไปกว่านั้น
คือเจ้ามนีวง ออกแบบให้ฝาผนังทั้งหมดสามารถถอดออกมาได้ เพื่อสามารถเคลื่อนราชรถออกสู่ภายนอก
ภายในโรงเมี้ยน มีราชรถไม้สีทองขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายเป็นนาค สวยงาม
เหนือราชรถมีพระโกศ อยู่สามองค์ คือ
โกศใหญ่สิบสองเหลี่ยมองค์กลางใช้เป็นที่บรรจุพระศพของพระเจ้าสีสะหว่างวง
องค์หน้าเป็นของเจ้าราชสัมพันพระเจ้าอาของพระเจ้าสีสะหว่างวง และพระโกศองค์หลังเป็นของพระราชมารดา
ทั้งโกศ และราชรถถูกแกะสลักตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงสวยงามสมพระเกียรติ์
นอกจากนั้นภายในโรงเมี้ยนนี้ยังมีพระพุทธรูปโบราณแกะสลักด้วยไม้เก็บรักษาไว้อีกมากมายหลายองค์
ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามด้วยพุทธศิลป์ที่อ่อนช้อย
ต่อจากนั้นพวกเราต่างแยกย้ายไปดูวัดอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกันกับวัดเชียงทอง
ส่วนผมได้ไปที่วัดสุวรรณคีรี
ซึ่งเป็นวัดที่ชาวไทพวนจากเชียงขวางเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กองทัพชาวพวนที่สู้รบกับทัพของพม่า
ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเจ้าชายชาวพวนชื่อเจ้าคำศรัทธาได้อภิเษกสมรสกับนางแว่นแก้วราชธิดาของพระเจ้าอินทโสมแห่งนครหลวงพระบางในปีพ.ศ.
2316 หลังจากนั้นในครั้งที่พม่ายกกองทัพมาตีเมืองหลวงพระบางครั้งที่ 2
เจ้าคำศรัทธาได้ส่งกองทัพของพระองค์มาช่วยรบ
วัดคีรีเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามวัดหนึ่ง มีศิลปะแบบเชียงขวาง
พระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ปัจจุบันยังรักษาโครงสร้างและลวดลายประดับประดาที่มีอยู่เดิมไว้
บนหลังคาไม่มีช่อฟ้า
ด้านหลังของพระอุโบสถมีพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
หลังจากนั้นเราก็เดินต่อไปที่วัดสีบุญเรือง
พระอุโบสถของวัดศรีบุญเรืองสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2301
ในรัชสมัยพระเจ้าโชติกะกุมาร มีขนาดเล็กเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางในพุทธศตวรรษที่ 24
ปัจจุบันยังไม่ได้รับการบูรณะนอกจากหน้าต่างที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
ภายในมีลวดลายปิดทองหลายรูปแบบสีสันงดงาม ตรงกลางหลังคาประดับช่อฟ้า 15 ช่อ
ความโดดเด่นของวัดนี้จะอยู่ที่ตัวสิม (อุโบสถ) รูปทรงหลังคาแอ่นขนาดใหญ่
ซึ่งเป็นศิลปะสไตล์เชียงขวาง ที่มีสีหน้าลายนกยูง ลวดลายดอกรวงผึ้งอันอ่อนช้อย
แขนนางแบบเดียวกับวัดคีรี และซุ้มป่องเยี่ยม (หน้าต่าง) แกะสลักเป็นรูปพญานาค
เรานั่งพักในวิหารสัมผัสได้ถึงความเย็นที่สงบ
ต่อไปเราก็เดินมุ่งหน้าไปโดยไม่รู้ว่าคือวัดอะไรอยู่ข้างหน้า
เมื่อไปถึงเราจึงรู้ว่าวัดศิริมุงคุนไซยาราม
ตัววัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ศาสนสถานส่วนใหญ่ยังคงสภาพเดิม
เล่าสืบต่อกันมาว่าสร้างในปีพ.ศ. 2306 ในรัชสมัยพระเจ้าโชติกะกุมาร
สิมหรืออุโบสถมีลักษณะแบบหลวงพระบางโดยทั่วไป ได้รับซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อปี
พ.ศ. 2488 ช่างสกุลผู้รับหน้าที่ปฏิสังขรณ์ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
จึงทรงผลให้รูปทรงสถาปัตยกรรมของวัดนี้เป็นแบบผสมผสานตามไปด้วย
เห็นได้อย่างชัดเจนจากระเบียงโถงด้านหน้าเป็นศิลปะแบบหลวงพระบาง
ทรวงทรงหลังคาเป็นแบบเชียงขวาง และประดับตกแต่งด้วยกระจกสีโมเสกแบบเวียงจันทน์
หน้าจั่วประดับลวดลายสวยงาม
ด้านทิศใต้มีอูบมุงหลังเล็กภายในประดิษฐานพระธาตุองค์หนึ่ง ยอดประดับเศวตฉัตรทอง 7
ชั้น ใกล้ทางเข้าด้านทิศเหนือติดกับวัดศรีบุญเรืองมีหอระฆังทองที่งดงาม
หลังจากนั้นเราได้เดินทางไปที่วัดแสนสุขาราม
สร้างขึ้นในพ.ศ. 2261 ตามประวัติกล่าวว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000 กีบ
ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนเริ่มสร้าง
เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังที่นครหลวงพระบางแยกออกจากนคร เวียงจันทน์ได้
11 ปี โดยวัดแสนได้รับการบูรณะ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475
ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ. 2500 ส่วนการประดับลวดลายปิดทองนั้นบูรณะเมื่อคริสศตวรรษที่
20 โดยช่างชาวหลวงพระบาง จุดเด่นของวัดแสนสุขารามคือ
พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่
ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง มีพระหัตถ์ที่งดงามผ่องแผ้ว
และหอรอยพระพุทธบาทจำลองด้านข้างหอพระยืน ส่วนพระอุโบสถลงรักปิดทองอย่างสวยงาม
จัดเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางตอนกลาง สังเกตได้จากเสาทรงแปดเหลี่ยม
และยอดเสารูปกลีบบัว ส่วนผนังภายในพระอุโบสถตกแต่งด้วยการเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง
โดยตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระประธานหรือพระองค์หลวง
สร้างให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามและน่าสนใจไม่น้อยเลยปิดท้ายด้วย รูปปั้น เทวดา
ครับที่ศิลปะแนว หลวงพระบาง
หลังจากที่วันแสนสุขขารามเสร็จแล้วคณะเราได้เดินทางไปรับประทานอาหารที่ทางทัวร์จัดเตรียมไว้ให้
เช้านี้เราได้กราบมนัสการพระพุทธรูปและพระธาตุต่างๆมากมายถือว่าไม่เสียเที่ยวที่มาหลวงพระบาง
คุ้มค่ากับการมาจริงๆครับ หลังจากที่พวกเราทานข้าวเสร็จก็เดินทางต่อไป
โดยขึ้นสกายแลปออกมานอกเมืองเพื่อเปลี่ยนรถเป็นรถบัส ไปที่บ้านช่างไหซึ่งเป็นหมู่บ้านต้มเหล้าขาว
โดยก่อนที่ชาวบ้านจะเปลี่ยนอาชีพมาต้มเหล้าขาว
แต่ก่อนนั้นหมู่บ้านนี้มีหน้าที่ปั้นไหเพื่อส่งเข้าวัง
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงได้เปลี่ยนอาชีพมาต้มเหล้าขายแทน
เหล้าที่ขายเป็นเหล้าขาว มีสัตว์ต่างๆลอยอยู่ในขวด เช่น ตะขาบ งู แมงป่อง
อวัยวะเพศช้าง เป็นต้น แต่ที่ผมอดนึกขึ้นไม่ได้คือ
งูมันแผ่แม่เบี้ยอยู่ในขวดได้อย่างไร อันนี้ไปครั้งหน้าผมต้องไปพิสูจน์ให้รู้
ก่อนที่จะมาชมการต้มเหล้าอย่างจริงจัง พวกเราได้ลงเรือเพื่อไปเที่ยวชมถ้ำติ่ง
โดยต้องล่องเรือในแม่น้ำโขงทวนขึ้นไปประมาณ 30 นาที ระหว่างที่นั่งเรือก็มีบริการต่างๆจาก
สาวเสริฟลูกเรือ มีทั้งน้ำชา กาแฟ เบียร์แม้กระทั่งม่ามา ถือว่าครบเครื่องจริงๆ
เราล่องเรือชมบรรยากาศได้สักพักก็ได้พบกับกำแพงขาวๆบนตีนเขา
พร้อมกับเรือที่พานักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมถ้ำติ่งแห่งนี้ ที่เห็นกำแพงชาวๆ
เรียกว่าถ้ำติ่งลุ่ม (บ้านเราแปลว่า ถ้ำติ่งล่าง นั้นแหละ)
และจะมีแยกซ้ายไปถ้ำติ่งเทิง (บน)
ที่ถ้ำติงลุ่มนั้นจะมีพระไม้จำนวนมากวางอยู่เต็มถ้ำเลยครับ
ตัวถ้ำมีความสูงประมาณ 60 เมตรจากพื้นน้ำ
มีลักษณะเป็นโพรงถ้ำตื้นๆ มีหินงอกหินย้อยเล็กน้อย เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ทำด้วยไม้และเป็นพระยืน
แต่ก็มีปางอื่นๆอยู่บ้าง แต่ล่ะองคืก็มีความสวยงามเก่าแก่แตกต่างกันไป
ในสมัยโบราณถ้ำติ่ง เป็นที่สักการะบ่วงสรวงดวงวิญญาณ ผีฟ้า ผีแถน เทวดาผาติ่ง
ของคนแถวนั้น จึงมีการนำพระพุทธรูปมาวางไว้เป็นจำนวนมาก
ถ้ำติ่งในวันนี้ยังแสดงถึงยุคแห่งการปฏิวัติความเชื่อ
ของชาวลาวในอดีตที่เคยนับถือผี พระเจ้าโพธิสารราชทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา
เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และทรงใช้ถ่ำติ่ง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา
และมีการค้นพบพระพุทธรูป ที่สร้างขึ้นในคริสศตวรรษที่ 18-19 กว่า 2,500 องค์ ส่วนใหญ่ทำขึ้นจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่มีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่ง
ที่ทำด้วยเงิน และทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด
หลังจากกลับมาจากบ้านช่างไหแล้วก็เป็นการเที่ยวตามอัธยาศัย
พวกเราลงที่วัดพระมหาธาตุ สร้างในปีพ.ศ. 2091 ในสมัยพระเจ้าไซยเชษฐาธิราช
ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญ เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2453
โดยเจ้ามหาอุปราชบุญคง ภายในสิม (อุโบสถ) แบบล้านช้างมี "ราวเทียน"
รูปนาค 24 ตัว ฝีมือการแกะวิจิตรงดงาม หน้าสิมมีเจดีย์ธาตุองค์ใหญ่
บรรจุอัฐิของเจ้าเพชรราชรัตนวงศา อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศลาว
และถือเป็นรัฐบุรุษของประเทศลาวยุคใหม่ เฉพาะพระอุโบสถขนาดใหญ่
มีการตกแต่งเพิ่มเติมรูปสลักบนบานประตูและหน้าต่าง
แสดงเรื่องเล่าชาดกพระสุธนมโนราห์ดูสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นฝีมือสกุลช่างพ่อเฒ่าเพียตัน
ด้านหลังมีพระธาตุเจดีย์ยอดทรงระฆังประดับเศวตฉัตร 17 ช่อ นั้นหมายถึง
วัดนี้สร้างโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าชีวิต
วัดนี้เป็นวัดสุดท้ายสำหรับวันนี้ของทริปเรา
ตอนเย็นก็เที่ยวกันตามอัธยาศัย หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเราก็นัดรวมพลสี่เสือ
พี่ปิง (สมชาติ), พี่พล (นิพล), พี่เดย์(เดชา) และผม
เรามีจุดมุ่งหมายคือตลาดมืดหรือตลาดไนท์หลวงพระบางที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากนัก
สนุกที่สุดคือการต่อรองราคาของ (ภาษาลาวเรียกว่าต่อเครื่อง)
อย่าไปบอกว่าต่อราคาของนะครับเพราะมันส่อไปนางเพศ แต่ปวดหัวนิดๆเพราะราคาที่มหาศาล
เป็นแสนเป็นล้านปวดหัวกันไปตามๆ กัน ด้วยที่ภาษาอีสานคล้ายคลึงกับภาษาลาว
และผมมีญาติอยู่ที่จังหวัดเลยจึงพูดสำเนียงหลวงพระบางได้บ้าง มีเหตุการณ์หนึ่งที่ตลกมากในตลก
เป็นการสนทนากับแม่ค้า
ผม :
อันนี้ท่อได๋ (จับของสิ่งหนึ่งให้แม่ค่าดู)
แม่ค้า :
สองแสน
ผม :
ลดได้ท่อได๋
แม่ค้า :
แสนแปด
ผม : ลดอีกแด่
แม่ค้า :
เจ้ามาแต่ใต้หว่า (มาจากเมืองจำปาศักดิ์ใช่มั๊ย)
ผม :
บ่เจ้า ข่อยอยู่เวียงจันทร์ (โดยเรารู้มาว่าถ้าคนลาวด้วยกันจะได้ราคาที่ถูกกว่า)
แม่ค้า :
เอ่าบ้อ (หรอค่ะ)
ผม :
เอาสินค้าชิ้นใหม่ยกขึ้นแล้วถามแม่ค้า “อันนี้จักบาท”
(ความลับแตกเพราะคนลาวที่ไหนใช้เงินบาท
555+)
แม่ค้า : (งงเล็กน้อย)
หลังจากที่กลับจากตลาดมืดก็มากินข้าวโดยซื้อจากตลาดที่เคยซื้อตอนเช้า
ข้าวเย็นนี้มีไก่ย่าง แจ่วพริก มันทอด เนื้อย่าง ข้าวเหนียว ซื้อมากินในโรงแรม
แซบคักขนาด อิอิ
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็ขอตัวเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้เที่ยวต่อสำหรับวันพรุ่งนี้
เพราะต้องตื่นแต่ตี 5 เพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียว
05.00
น. พี่ปิง (สมชาติ) ปังๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตู ป่ะไปใส่บาตร ผมตอบกลับไปว่า “ ไปโลดอ้าย เคยใส่แล้ว”
(พึ่งมาครั้งแรกใส่ที่ไหน) พี่ปิง “มามาเพิ่นถ้าอยู่” (เขารออยู่)
พี่ปิงได้รับคำตอบว่าผมกับพี่พลไม่ไป 10 นาทีต่อมา
ปังๆๆๆๆๆ ป่ะๆ ยังทันๆ เสียงพี่ปิงคนเดิม
ผมกับพี่พลก็เลยจำยอมลุกจากที่นอน ล้างหน้าแล้วก็ออกไปเลย น้ำท่าไม่ต้องอาบกัน
ถึงที่เราจะตักบาตร คนเยอะมากส่วนมากจะเป็นบักท่องเที่ยว
เมื่อเวลาพระสงฆ์มาเราควักข้าวเหนียวแทบไม่ทัน สงสัยพระที่นี่เขายึดหลัง
บิณ(บิน)ฑบาตร เลยไปแบบไวๆด่วนๆ
เสร็จจากตักบาตรข้าวเหนียว
เราได้เดินทางขึ้นไปนมัสการพระธาตุพูสี ซึ่งอยู่บนยอกเขา อากาศเย็นชื้นๆ
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขึ้นเขาในตอนเช้า
พูสี
มีความหมายว่า ภูเขาของพระฤาษีเดิมชื่อว่า ภูสรวง
ครั้นเมื่อมีฤาษีไปอาศัยอยู่ชาวบ้านจึงเรียกว่าภูฤาษีหรือภูษีมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ยังมีนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่าภูษีอาจหมายถึงพูสึซึ่งเป็นศรีของเมืองหลวงพระบาง
พระธาตุพูสี
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอนุรุท ประมาณพุทธศักราช 2337
พระธาตุนี้ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของพูสี บนความสูง 150
เมตรพระธาตุนี้มองเห็นได้แต่ไกลแทบจะทุกมุมเมืองของหลวงพระบาง
ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง
ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริดเจ็ดชั้น สูงประมาณ 21 เมตร
ช่วงที่พระธาตุนี้งดงามที่สุดคือช่วงตอนบ่ายแก่ๆแสงแดดจะกระทบองค์พระธาตุเป็นสีทองสุก
รอบๆพระธาตุจะมีทางเดินให้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง
ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะมองเห็นสนามบิน ส่วนด้านทิศตะวันตกจะมองเห็นแม่น้ำโขง
ช่วงที่คดเคี้ยวเข้าหากันในกลีบเขาและจากยอดภูสียังมองเห็นพระราชวังเดิมที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง
พระธาตุจอมษีมิได้เป็นสิ่งก่อสร้างแห่งเดียวบนยอดภูษี ยังมีสิ่งก่อสร้างทางพระพุทธศาสนาอีกหลายแห่งเช่น
วัดถ้ำพูสี วัดป่าแค วัดศรีพุทธบาท วัดป่ารวก
หลังจากที่แอกท่าถ่ายรูปกันเป็นที่พออกพอใจแล้วเราก็ลงมาเพื่อที่จะไปอาบน้ำเดินทางท่องเที่ยวตามโปรแกรมวันนี้
แต่ระหว่างทางเจอวัดที่สวยงามแต่ไม่ได้อยู่ในทริปเรา แต่น่าสนใจจึงเข้าไปชมโดยมี
ดร. สิทธิศักดิ์ เป้นผู้จ่ายค่าบัตรเข้าชมให้ ลืมบอกวันนี้คือวัดใหม่สุวรรณพูมาราม
ชาวหลวงพระบาง
เรียกสั้นๆว่า "วัดใหม่" ซึ่งมีอายุเก่าแก่
สร้างขึ้นในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 19 และ เคยเป็นที่ประทับของ
สมเด็จพระสังฆราชลาวมาก่อน อุโบสถของวัดนี้สร้างด้วยเครื่องไม้มีหลังคาซ้อนกัน
ห้าชั้นตามแบบหลวงพระบาง
กำแพงพระระเบียงด้านหน้า
ทำเป็นลายรดน้ำปิดทองเล่าเรื่องรามายณะ และพระเวสสันดรชาดก พระบาง
พระคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางก็เคย ประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้
ในช่วงครึ่งแรกของคริสตศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์
จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐาน
ในหอพระบางภายในพระราชวังจวบจนกระทั่งปัจจุบัน และ
ในวันปีใหม่จะมีการแห่แหนพระบางออกมา ให้ประชาชนได้สักการะบูชากันที่นี่
เราเดินทางกลับเข้าที่พักเพื่ออาบน้ำและรับประทานอาหารเช้าตามอัธยาศัย
ส่วนผมเองช้าและจากไปนอกทริปทำให้ไม่ได้อาบน้ำ แต่แปรงฟันอยู่เด้อ
แล้วเราก็ออกเดินทางสำหรับวันนี้ต่อไป
ที่แรกที่เราไปคือพระราชวังหลวงพระบางหรือหอพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาวตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง
หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารเตี้ยๆชั้นเดียว
ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคมผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง
สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย”รัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น “หอพิพิธภัณฑ์”ในปี พ.ศ. 2519
หลังจากที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า
หลังคามุงกระเบื้องตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบนอันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิมตรงเข้าไปเป็นห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง
เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคารแบ่งออกเป็น
2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี ปัจจุบันมีของขวัญจากประเทศต่างๆจัดแสดงให้ชมอยู่
ทั้งจากประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์, ประเทศทางตะวันตก,
เอเชีย
รวมทั้งของประเทศไทยส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิตมีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาวมีภาพเขียนบนผ้าใบผืนใหญ่กรุเต็มผนังขึ้นไปจรดเพดาน
เขียนขึ้นในปีพ.ศ. 2473แสดงถึง ฮีตครอง(จารีตประเพณี) ของคนลาว
ในช่วงเวลาต่างๆของแต่ละวันรูปขบวนเจ้ามหาชีวิตเสด็จไปสรงน้ำพระที่วัดเชียงทองและวัดใหม่รูปประเพณีบุญปีใหม่ลาว
รูปตลาดตอนแลง (ตลาดเย็น) ซึ่งภาพเหล่านี้ถ่ายด้วยด้วยเทคนิคแบบ Impressionismทั้งยังมีรูปหล่อครึ่งตัวอีก 4 องค์คือ เจ้ามหาชีวิตอุ่นคำ
เจ้ามหาชีวิตสักรินทร์
เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
ซึ่งหล่อมาจากประเทศฝรั่งเศสทั้งสิ้น
ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะภายในเป็นที่ประดิษฐานของ
“พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางอันศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกทั้งสองข้าง
ซึ่งชาวลาวเรียกกันว่า “ปางประทานอภัย”หรือที่คนไทยเรียกว่า
“ปางห้ามสมุทร” เป็นศิลปะเขมรสมัยหลังบายนอายุราว
300 ปี มาแล้ว หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ 90%หนัก 54 กิโลกรัม สูงราว 40 – 50 ซม. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงพระบาง”อันหมายถึงเมืองที่มี “พระบาง” ประดิษฐานอยู่นั่นเองทุกวันขึ้นปีใหม่ลาว (ราวเดือนเมษายน) จะมีการอัญเชิญ
“พระบาง”ลงมาประดิษฐานที่ “วัดใหม่” เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำสักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวหลวงพระบางและชาวลาวทั้งประเทศภายในห้องพระนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก
สลักด้วยหินในรูปแบบศิลปะเขมรอีก 4 องค์
และมีกลองมโหระทึกอีกหลายใบซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใดนอกจากนั้นยังมีพวงมาลาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ซึ่งถวายเป็นพุทธบูชาไว้เมื่อครั้งเสด็จมายังประเทศลาวและเมืองหลวงพระบาง
เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 ด้วย
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปยังสุสานของนักสำรวจชาวฝรั่งเศสขื่อ
อองลี มูโอ (Henri Mouhot)
ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกดินแดนในแถบอุศาคเนย์ ขากลับเรามาเลือกซื้อผ้าที่ศูนย์หัตถกรรมบ้านผานมซึ่งเป็นที่เดียวกันกับบ้านช่างทำเครื่องเงิน
เรารับประทานอาหารเที่ยงกันที่ในเมืองหลวงพระบางกันเช่นเดิม
ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่วัดศรีสวรรคโลกหรือวัดศรีสวรรคเทวโลก
ซึ่งเป็นวัดที่สร้างในปีพ.ศ. 2070 ในสมัยพระเจ้าโพธิสาร
เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านความเชื่อของชาวหลวงพระบาง
เนื่องจากก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้าง
วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งของวิหารบูชาผีฟ้า ผีแถน อันเป็นความเชื่อดั้งเดิม
หลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว
วัดสังคโลกก็กลายเป็นวัดสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์เป็นพิเศษจากพระเจ้าโพธิสาร
จากนั้นความเชื่อเดิมก็ได้ลดน้อยถอยลงไป ในปีพ.ศ. 2426 อุโบสถถูกลมพายุพัดเสียหาย
และได้บูรณะให้กลับคืนมาเป็นสภาพแบบเดิม
สุดท้ายของทริปนี้พักผ่อนหย่อนใจที่น้ำตกตาดกวางชีหรือตาดกวางสี
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ 70 เมตร
ในช่วงฤดูฝนน้ำตกแห่งนี้จะมีน้ำมาก ไหลเชี่ยวแรงเป็นสีน้ำตาลขุ่น จนทำให้ละอองน้ำกระเซ็นมาถึงตัวนักท่องเที่ยว
ที่ยืนชมบนสะพานชมน้ำตกตาดกวางซี บรรยากาศภายในบริเวณน้ำตกตาดกวางซี
ร่มรื่นเมื่อเริ่มเดินทางจากทางเข้าน้ำตก
ก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สองข้างทางปกคลุมไปทั่วบริเวณ
สร้างร่มเย็นและความเพลิดเพลินให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก
สถานที่นี้กลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนในของชาวตะวันตกซะมากกว่านะรับดูจากจำนวนประชากรแล้วมากพอสมควรครับ
ขากลับเราต้องนั่งรถ
นอนรถเช่นเดิมแต่การไปหลวงพระบางครั้งแรกในชีวิตี่ได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ
สถานที่ทางวัฒนธรรมที่สวยๆที่คงอยู่กับการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมและยืนยงอยู่ด้วยความโดดเด่นในหลวงพระบาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น