อารัมภบท
หลวงพระบางเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังในระดับโลก
สำหรับคนไทยหลวงพระบางก็มีประวัติศาสตร์ที่เคียงคู่มาด้วยกันเสมอๆ
นับตั้งแต่ยุคสมัยเชียงแสน ล้านช้าง ด้วยความที่เป็นเมืองติดแม่น้ำโขงที่สวยงาม
มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย ที่ยังคงสถาปัตยกรรมอันสวยงามยากจะหาที่ไหนเหมือนได้
ด้วยเอกลัษณ์และความสวยงามของเมือง ตึกรามบ้านช่อง
ที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยยุคล่าอาณานิคม ทำให้มีอาคารในรูปแบบสถาปัตยกรรม
โคโลเนียลสไตล์ อยู่ทั่วไป ตัวเมืองยังมีที่ตั้งที่สวยงามล้อมรอบด้วยแม่น้ำสองสาย
คือ น้ำโขงและน้ำคาน และยังคงมีธรรมชาติอันสวยงามอยู่รายรอบเมือง
รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยังคงสวยงามและสืบสานมาจนทุกวันนี้
สิ่งเหล่านี้ทำให้เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั้งเมืองนะครับ
ไม่ใช่แค่บางจุดของเมือง เพราะอย่างในหลายๆที่ มรดกโลกแห่งอื่น
อาจได้ขึ้นทะเบียนอย่างจำเพาะเจาะจง ในโบราณสถานบ้าง ในแหล่งธรรมชาติบ้าง
แต่ของหลวงพระบางนั้นทั้งเมือง และถูกขึ้นทะเบียนเป็ยมรดกโลกเมื่อธันวาคม พ.ศ. 2538
และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักษ์รักษา
ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตำนานเมืองหลวงพระบาง
แขวงหลวงพระบาง
เดิมเป็นเมืองหลวงของลาว ในสมัยแรกเข้ามาอยู่สุวรรณภูมิ
ภายหลังลาวแบ่งแยกออกเป็นหลายภาค หลวงพระบางเป็นเมืองหลวงของลาวภาคเหนือ
ตามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้เวียงจันทน์เป็นเมืองหลวง
ปัจจุบันเมืองหลวงพระบางยังเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ ซึ่งประชาชนเรียกองค์ท่านว่า
“
สมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตแห่งพระราชอาณาจักรลาว” เมืองหลวงพระบาง
ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายติดฝั่งแม่น้ำโขง มีแม่น้ำคานไหลลงบรรจบแม่น้ำโขงตอนเหนือเมือง ณ
ปากน้ำตรงนั้นมีวัดโบราณของลาว คือ วัดเชียงทอง ตามคำบอกเล่าของชาวลาวว่า
1นิสิตระดับปริญญาโท
ระบบในเวลาราชการ กลุ่มการวิจัยทางวัฒนธรรม คณะวัฒนธรรมศาสตร์
เดิมเป็นบ่อทองคำ
และมีต้นไม้ทองใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ภายหลังโค่นลงเสีย
และเอาดินถมบ่อทองสร้างวิหารครอบไว้ มีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งใหญ่มากเรียกว่า “
ก้อนชวา” ตั้งอยู่ไร่นาข้าวเจ้า
ซึ่งราษฎรสมัยก่อนต้องทำนาข้าวเจ้าไปถวายให้กษัตริย์เสวย
ทางทิศใต้เมืองหลวงพระบางประมาณ 2 กิโลเมตร มีหมู่บ้านหนึ่งเรียกบ้านสังคะโลก
หมู่บ้านนี้เดิมเรียกว่า “ เชียงดง” เพราะมีมีแม่น้ำดงผ่าน
ทุกปีมีงานสรงน้ำพระพุทธรูป กษัตริย์ชาวลาวทุกองค์ต้องเสด็จไปร่วมพิธีที่นั่น
หมู่บ้านเชียงดงหรือสังคะโลกเวลานี้มีประมาณ 120 หลังคาเรือน
นามต่างๆ
เหล่านี้เกี่ยวข้องกับนามเมืองหลวงพระบางสมัยแรก
เพราะประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารเมืองเรียกชื่อเมืองหลวงพระบางต่างๆ กัน คือ
บางฉบับเรียกว่า “ เชียงคงเชียงทอง”
บางฉบับว่า “ เชียงดงเชียงทอง” บางฉบับว่า ดินแดนลาว พวกขอมอยู่ก่อน พวกละว้าหรือข่าเข้ามาอยู่ภายหลัง
บางฉบับว่าพวกขอมอยู่ที่หลัง พวกละว้าหรือลั๊วะอยู่ก่อน ไทยลาวเข้ามาภายหลังทั้งสองพวก
แล้วขับไล่พวกนี้ไปอยู่ตามป่าตามเขา
บางท่านว่านามผู้ปกครองเมืองหรือนามบุคคลซึ่งกล่าวถึงสมัยแรกตั้งเมืองหลวงพระบางเป็นนามขอม
บางท่านว่าเป็นนามของพวกละว้า ผู้ที่ทราบภาษาลาว ได้อ่านพงศาวดารภาษาลาวออก
สอบถามชาวเมืองประกอบแล้วจะทราบได้ว่า นามเหล่านี้เป็นนามภาษาลาวเป็นส่วนมาก
ดังนาม “ อ้ายเจตไหเมียชื่อนางเกล้าใหญ่” ในหนังสือพงศาวดารฝ่ายไทยเขียนไว้ ที่ถูกควรเป็น “ อ้ายเจ็ดไห”
ตามสำเนียงภาษาลาวและอักษรลาวเขียนไว้ “ นางเก๊าใหญ่”
มากกว่า เพราะภาษาลาวไม่ใช้อักษร “ ล.”
หรือ “ ร.” กล้ำ คำว่า “
เกล้า” ภาษาไทยแปลว่า “ หัว”
หรือ “ ขมวดผม” แต่คำว่า
“ เก๊า” เป็นภาษาลาว แปลได้หลายอย่าง
จะยืนยันลงไปว่า นามกษัตริย์สมัยแรกเป็นขอมเพราะมีชื่อเป็นขอมทั้งนั้นยังนับไม่ได้
ตามพงศาวดารล้านช้างว่า
โอรสขุนบรมองค์ที่ 1 นามขุนลอ ไปตั้งเมืองบริเวณเมืองชะวา (คือเมืองหลวงพระบาง)
ชั้นแรกเรียกว่า บ้านเซ่า คำว่า “ เซ่า” ภาษาลาวแปลว่า “ หยุด” หรือ “
พัก” อาจจะหมายความว่าขุนลอ
ยกไพร่พลลงมาเห็นทำเลตรงนั้นเหมาะจะสร้างเป็นเมืองหลวงจึงหยุดพัก
ชั้นแรกยังไม่ได้ตั้งชื่อเมือง คงเรียกกันว่าบ้านเซ่า ไปพลางก่อน
ต่อมาพลเมืองหนาแน่นเข้า เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น เชียงดง เชียงทอง หากเชียงดงเป็นนามเดิมของหมู่บ้านสังคะโลก
ซึ่งมีน้ำดงไหลผ่านและเชียงทองนั้นหมายถึงปากแม่น้ำคานตอนไหลบรรจบแม่น้ำโขง
ติดตัวเมืองหลวงพระบางทางเหนือและเป็นที่ตั้งวัดเชียงทองเวลานี้ คำว่า “ เชียงดงเชียงทอง” คงหมายถึง 2 เมืองติดกัน
ต่อมาเมื่อได้เชิญพระบางมาจากเวียงจันทน์ ไปประดิษฐาน ณ
เมืองเชียงดงเชียงทองแล้วจึงเปลี่ยนนามเมืองเป็น “ เมืองหลวงพระบาง”
มาจนทุกวันนี้
พงศาวดารลาว
ได้เล่าถึงเรื่องเมืองหลวงพระบางสมัยแรกดังนี้“ นับแต่ขุนบูลม
ลงมาตั้งเมืองหลุ่มได้ 205 ปี ขุนลอใหญ่มาได้ 23 ปี
ก็ล่วงมาตั้งเมืองชะวาที่เชียงดงเชียงทอง อันเจ้ารัสสี (ฤาษี)
แฮกหมายใส่หลักคำใส่หลักเงินไว้ ที่ก้อนก่ายฟ้าหั้นแล ยามนั้น ข่ากันฮางปู่มัน
พระยานาคอยู่น้ำท่าผาติ่งสบอูหั้น ขุนลอจึงมาเลวแป้ (รบชนะ) ไล่เขาเมืองภูเลาภูคา
จึงเป็นข่าเก่าบัดนี้แล อันนั้นแม่นข่ากันฮางแลยังมีคนชุมหนึ่ง
แม่เขาชื่อนางกางฮีผีเสื้อ พ่อเขานั้นเป็นคนเอากัน เป็นผัวเมียจึงมีลูก เขาใส่ชื่อลูกผู้พี่นั้น
ชื่อขุนเค็ด ผู้น้องชื่อขุนคาน เขาอยากมาตั้งที่เชียงดงเชียงทอง
บุญเขาน้อยมาตั้งบ่ได้ เขาจึงไปตั้งที่เชียงงวด อัน เฮาว่าขึงมวกบัดนี้แล
บ่อนหั้นเปนบ้านเมืองเขา ขุนลอจุงไปเลวเอาแต่นั้นเขาก็เอารี้พลมาฮอดท้านขันหั้น
ขุนลอก็ไปเลวได้ชนกัน ขุนลอก็เลวแป้ (รบชนะ) ไล่ไป ก็ได้ขุนเค็ดขุนคานที่เชียงงวด
ทั้งพ่อทั้งลูกเอาไปจมน้ำเสียที่ดอนสิงหั้นแล
เชื้อแถวขุนคานก็พ่ายหนีไปลี้ซ่อนอยู่หั้นแล
แต่นั้นเจ้าขุนลอก็คืนมาฮอดเชียงดงเชียงทอง
แล้วคนทั้งหลายจึงราชาภิเษกให้เป็นเจ้าแผ่นดินหั้นแล ”
ตามข้อความข้างบน
แสดงว่าเมืองชะวานั้นมีชนชาติข่านามว่า กันฮาง ตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ก่อน
เมื่อขุนลอโอรสของขุนบรมเข้ามาก็ขับไล่พวกข่ากันฮางไปอยู่ตามป่า ตามภูเขาภูคา
เป็นทาสของชาวลาวตราบทุกวันนี้ ยังมีชนพวกหนึ่งมีหัวหน้า 2 พี่น้อง ผู้พี่ขุนเค็ด
ผู้น้องชื่อขุนคาน เป็นโอรสของนาง กางฮี ผีเสื้อ มีบิดาเป็นมนุษย์
ตั้งบ้านเมืองอยู่เชียงงวด (ขี้มวกหรือขึงมวก) ขุนลอยกไปรบชนะขับไล่พ่ายไป
เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตตมราชธานี โดยเอา “
งอนหมื่นหลวงเท่าสบโฮบเป็นหางนาค เอาสบคานและน้ำของก้ำ (เฉียง)
เหนือเป็นหัวนาค จึงได้ชื่อว่าเมืองศรีสัตตนาคเพื่อดังนั้น
อันชื่อเมืองล้านช้างนี้เอานิมิต จึงเรียกว่าเมืองล้านช้างเพื่ออั้นแล”เมืองหลวงพระบาง จึงมีหลายชื่อ ชาวลาวปัจจุบันนิยมเรียกชื่อเดียวว่า
เมืองหลวงพระบาง หมอมัคกิลวารีไปประเทศลาวเมื่อ พ.ศ. 2414 ได้เขียนไว้ว่า “
เมืองหลวงพระบางนี้มีลักษณะมั่นคงกว่าหัวเมืองไทยทั้งหลายที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
และเป็นเมืองต่างจากเมืองลาวทั้งปวง พลเมืองส่วนมากไม่ได้อยู่ในเมือง
ทำเลการทำนาก็อยู่ห่างไกลเมืองออกไป
ข้าวที่ส่งเป็นอาหารของชาวเมืองหลวงพระบางได้จากพวกชาวเขาที่ส่งส่วยเป็นภาษีประจำ
เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งโขง มีเนินเขาอยู่ตรงกลางสูงประมาณ 200 ฟุต
มีสถูปเจดีย์อยู่บนยอด ลำน้ำแม่คานไหลผ่านตัวเมืองออกไปบรรจบแม่น้ำโขง”
ตำนานเมืองหลวงพระบางตอนต้น
เล่าว่า เดิมเมืองหลวงพระบางนั้นเป็นเมืองผีเสื้อหรือยักษ์ มีพญายักษ์ตนหนึ่งชื่อ
นันทา เมียชื่อมหาเทวี ลูกลาวชื่อนางกางฮี (นางเมรี) เขาเจ้าผัวนางตายก่อนเมีย
จึงไปเป็นพระยาอินทปัตเกิดลูกชื่อ เจ้าพุทธเสน (พระรถ) มาเอานาง กางฮี เป็นเมีย
มีลูกชายผู้หนึ่งชื่อ ท้าวพิสี มีลูกหญิงผู้หนึ่งชื่อนางพิไสย ผู้เฒ่าชาวเมืองหลวงพระบางเล่าให้ฟังว่า
บิดาของนางกางฮีจำแลงกายไปท่องเที่ยว ไปพบหนุ่มน้อยเจ้าพุทธเสนเข้า
อยากให้ธิดาของตนลิ้มรสเนื้อมนุษย์ จึงลวงให้เจ้าพุทธเสนไปบ้านเมืองของตน
และเขียนหนังสือถึงนางกางฮีว่า “ ถ้าไปถึงกลางวันให้กินกลางวัน
ถ้าถึงกลางคืนจงกินกลางคืน” ปิดผนึกมอบให้เจ้าพุทธเสนเดินทางไปหาลูกลาวของตน
เจ้าพุทธเสนเอาจดหมายผูกติดเชือกแขวนคอแล้วเดินทางรอนแรมขึ้นเขาข้ามห้วยลำธาน อดๆ
อยากๆ ครั้นเดินทางมาถึงริมฝั่งโขง ณ ภูเขาลูกหนึ่งเรียกว่ ผาตัดแก้
(เวลานี้เรียกกับแก้ อยู่ใต้หลวงพระบาง) ก็นอนหลับไป
เทพารักษ์รักษาป่าถิ่นนั้นมาเห็นจดหมายผูกแขวนไว้ที่คอของเจ้าพุทธเสน
ก็สงสัยจึงลอบเปิดอ่านดู ทราบความแล้วเกิดสงสารจะตายเปล่าไม่เข้าที
จึงเขียนข้อความให้ใหม่ว่า “ ไปถึงกลางวันหรือกลางคืนให้เอาเฮ็ดผัว”
ครั้นเจ้าพุทธเสนตื่นขึ้นมาเดินทางเข้าต่อไปถึงสวนแถน
(เวลานี้อยู่ใต้เมือง) ณ สวนนี้มีมะม่วงมะนาวพูดได้ ชาวพื้นเมืองเรียก
มะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่ ได้พบปะกับนาง กางฮี มอบหนังสือให้
ได้เสียเป็นผัวเมียกัน ครอบราชสมบัติเมืองหลวงพระบาง จนสิ้นพระชนม์ กลายเป็นภูเขา
2 ลูก อยู่ฝั่งเชียงแมนซึ่งตรงกันข้ามกับหลวงพระบาง เรียกภูท้าว ภูนาง
ปัจจุบันนี้สุสานที่ฝังศพกษัตริย์ของเมืองลาวอยู่ใต้ภูท้าว เรียกป่าช้าหนองเงิน ภูนางนั้นเป็นรูปผู้หญิงนอน
มีศีรษะ คอ หน้าอก และมีสระอยู่ 3 สระ
ชาวพื้นเมืองนับถือกันมากไม่มีผู้ใดกล้าไปตัดฟันต้นไม้หรือขุดดินตามแม่น้ำโขงนับจากใต้เมืองห้วยทรายลงมายังเมืองหลวงพระบาง
และใต้หลวงพระบางลงไปสุดแดนของแขวงนี้ มีเกาะแก่งอันตรายร้ายแรงมากมาย แต่ละแก่งมีชื่อและประวัตินิยายอันน่ากลัว
เช่น ผาย่าเฒ่าใต้ปากทา มีก้อนหินอยู่ริมน้ำเป็นรูปหญิงแก่สีขาว เล่าว่า
แม่เฒ่าชาวข่ามุจะไปเมืองหลวงพระบาง ล่องเรืองมาเรือล่มจมน้ำตาย
กลายเป็นหินรูปหินย่าเฒ่าอยู่ตรงนั้นตราบจนบัดนี้
มรดกโลกหลวงพระบาง
ในระหว่างปี
พ.ศ. 2536-2537
องค์การยูเนสโกเข้ามาสำรวจหลวงพระบางตามข้อเสนอให้เมืองนี้ได้เป็นมรดกโลกด้วยชัยภูมิที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวของเมืองหลวงพระบาง
และด้วยการที่ฝรั่งเศสย้ายศูนย์กลางการบริหารปกครองไปอยู่ที่เวียงจันทน์
ยังผลให้ราชธานีเก่าแก่อย่างหลวงพระบางคงบรรยากาศแบบโบราณเอาไว้ได้จนกระทั่งทุกวันนี้
แม้ในยุคสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อ หลวงพระบางก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
แต่การคุกคาม ที่แท้จริงนั้นเริ่มขึ้นในทศวรรษ 1990
เมื่อลาวเริ่มเปิดประเทศต้อนรับโลกภายนอกและการพัฒนาความเจริญอีกครั้ง
โชดดีที่องค์การสหประชาชาติให้ความสนใจกับปัญหานี้และส่งคณะผู้แทนเข้ามาทำการสำรวจ
รายงานที่ได้รับทำให้ยูเนสโกประกาศยกย่องให้หลวงพระบางเป็น “
เมืองที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้อย่างดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์”
(The best preserved city in South-East Asia)
บริเวณเมืองเก่าหลวงพระบางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำคานบนพื้นที่
2 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมวัดเชียงทอง หอพิพิธภัณฑ์ วัดใหม่สุวันนะพูมาราม
และพระธาตุพูสี ได้รับการ “ ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก”
ในการประชุมคณะกรรมกรมรดกโลกครั้งที่ 19 ณ กรุงเบอร์ลิน
ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 ด้วยเงินช่วยเหลือในการบูรณปฏิสังขรณ์และบำรุงรักษาโบราณสถานจากองค์การสหประชาชาติ
เป็นเครื่องประกันอนาคตของหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี เป้าหมายหลักของยูเนสโกคือ
การคงบรรยากาศแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของหลวงพระบาง
ตลอดจนอนุรักษ์สถาปัตยกรรมทั้งของลาวและฝรั่งเศส รวมถึงประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ
ไว้ ในปี ค.ศ. 1998 ยูเนสโกได้ว่าจ้างสถาปนิกฝรั่งเศสสองคนกับสถาปนิกลาวอีกห้าคน
ให้เข้ามาปฏิบัติภารกิจดังกล่าว
ปัจจุบันพวกเขาได้คัดสิ่งปลูกสร้างที่เป็นโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ออกมาได้มากถึง
700 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียนแบ่งแยกหมวดหมู่และทำเรื่องร้องขอการคุ้มครองจากทางการ
นอกจากนี้ ยังห้ามการปลูกตึกสูงหรือการพัฒนาความเจริญใดๆ
อันจะสร้างความเสียหายให้กับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของเมืองหลวงพระบางอีกด้วย
การพิจารณาให้สถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดเป็นมรดกโลกนั้น คณะกรรมการมรดกโลกมีเกณฑ์การพิจารณา
6 ข้อ โดยสถานที่นั้นต้องผ่านเกณฑ์อย่างน้อย 1 ข้อ แต่เมืองหลวงพระบางนั้น
ผ่านเกณฑ์พิจารณาถึง 3 ข้อได้แก่
เกณฑ์ข้อที่ 1 : คือ
หลวงพระบางถือเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านช้างมาแต่นับอดีต
จวบจนปัจจุบันเมืองนี้ยังนับเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของประเทศลาวอยู่
และเป็นแหล่งของศิลปะรวมทั้งสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างที่โดดเด่นชัดเจน
เกณฑ์ข้อที่ 2 : คือ
หลวงพระบางมีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียลซึ่งยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์อยู่
ถือเป็นแบบอย่างของเมืองซึ่งประกอบด้วยสถาปัตยกรรมยุคนี้ที่ชัดเจน
เกณฑ์ข้อที่ 3
: คือ ทำเลของหลวงพระบางแสดงถึงภูมิปัญญาในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
และสะท้อนวัฒนธรรมในการจัดสรรทรัพยากรซึ่งยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน
ความเป็นมรดกโลกของเมืองหลวงพระบางที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดคือ สถาปัตยกรรมของวัด
และอาคารบ้านเรือนแบบโคโลเนียล
ห้องการมรดกโลกหรือตัวแทนของคณะกรรมการมรดกโลกประจำเมืองหลวงพระบางได้จัดแสดงนิทรรศการ
“
เฮือนลาวแปดหลัง” หรือสถาปัตยกรรมอาคารแปดแบบ
ที่ทำให้หลวงพระบางได้รับเลือกเป็นมรดกโลกไว้ที่ เฮือนมรดกเชียงม่วน
กลางเมืองหลวงพระบาง
เมื่อหลวงพระบางเป็นเมืองท่องเที่ยงทางวัฒนธรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เข้าไปเยือนจะต้องปฏิบัติตามกฏที่มีการตั้งไว้เพื่อเป็นการอนุรักษฺและให้เกียรติแก่สถานที่
เพื่อให้สังคมหลวงพระบางเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ข้อควรปฏิบัติสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อไปเที่ยวหลวงพระบาง
โดยทั่วไปวัฒนธรรมลาวก็คล้ายคลึงกับไทย
ซึ่งทำให้ไม่ยากในการปรับตัวและเข้าใจ คนลาวชอบคนอ่อนน้อม มีมารยาทไม่ต่างจากไทย
ผู้น้อยเคารพผู้อาวุโสกว่า เจอหน้าก็ยกมือไหว้กัน ซึ่งลาวเรียกว่า “
นบ ” แม้ปัจจุบัน
ผู้ชายลาวจะนิยมใช้วัฒนธรรมตะวันตกด้วยการจับมือกัน แต่การไหว้ก่อนแล้วค่อยจับมือก็ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย
ขอให้รำลึกอยู่เสมอว่ามารยาทไทย
มารยาทลาวนั้น ไม่ต่างจากกันเท่าไร บางคนไปหลวงพระบางแล้ว
ทำตัวตามสบายเหมือนนักท่องเที่ยวฝรั่ง นั่นอาจทำให้เจ้าบ้านรู้สึกอึดอัดใจได้
เพราะคนลาวมักเชื่อเสมอว่าลาวกับไทยนั้นยึดถือมารยาทแบบเดียวกัน
พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ผิดมารยาทไปบ้าง
คนลาวอาจให้อภัยว่าเป้นเพราะไม่รู้ แต่หากเป็นคนไทยเขาจะรู้สึกว่าเป็นการไม่เคารพ
ไม่ให้เกียรติกัน
มารยาทในที่สาธารณะอย่างการจับมือถือแขนอาจไม่นักหนาแต่หากถึงขั้นโอบคอ
โอบไหล่ กอดจูบกันนั้น ฝรั่งไม่ถือ แต่คนลาวถือเช่นเดียวกับคนไทย
ขอให้ใช้ความเป็นไทยเวลาไปเที่ยวเมืองลาว
ไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นสากลตามแบบนักท่องเที่ยวตะวันตก
เวลาไปเที่ยวชมวัดวา
แม้มิได้ไปทำบุญ แต่ควรระลึกถึงว่ากำลังเข้าไปในเขตพัทธสีมา สตรีห้ามนุ่งสั้น
ไม่ว่ากระโปรงหรือกางเกง เพราะหากเป็นสตรีลาวยังต้องนุ่งซิ่นเท่านั้นจึงจะเข้าวัดได้
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอาจอนุโลมให้ใส่กางเกงขายาวแทนได้ เสื้อไม่ควรแขนกุด
ประเภทสายเดี่ยวเกาะอก ไม่ควรนำไปด้วยเป็นดีที่สุด
ส่วนสุภาพบุรุษ กางเกงต้องขายาว
เสื้อสุภาพ ประเภทเสื้อกล้ามตัวบาง อย่างนักท่องเที่ยวฝรั่งนิยม
ซึ่งชาวลาวเรียกว่า “ เสื้อห้อย ” นั้น
ไม่ควรสวมเข้าวัด
หากอยากไปทำบุญ
ไม่ว่าที่วัดหรือการตักบาตรตอนเช้า สตรีควรเตรียมซิ่นหรือผ้าถุงไปด้วย
แพรเบี่ยงสำหรับเป็นผ้ากราบผืนหนึ่ง หากไม่มีก็หาซื้อในหลวงพระบางได้
ส่วนผู้ชายไม่ยุ่งยากมากนัก มีเพียงกางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีอ่อนหน่อย
และผ้าพาดไหล่สักผืน ก็เป็นอันใช้ได้
มารยาทในการถ่ายภาพเป็นเรื่องสำคัญ
ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องคำนึงถึง
การถ่ายภาพอาคารบ้านเมืองหรือทิวทัศน์ไม่นับเป็นปัญหา แต่หากมีบุคคลเป็น “
เป้าหมาย ” นั้น ต้องคำนึงให้มากว่า กำลังเข้าไปรบกวน
วุ่นวายกับชีวิตประจำวันของเขาหรือเปล่า การถ่ายภาพบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือพระสงฆ์สามเณร ควรขออนุญาตบุคคลนั้นก่อน
การถ่ายภาพงานพิธีกรรมต่างๆ
ต้องสอบถามเจ้าของงานหรือผู้อาวุโสในที่นั้นว่าสามารถถ่ายรูปได้ไหม
ยิ่งเป็นพิธีกรรมที่จริงจังแล้วทางที่ดีไม่ควรใช้ไฟแฟลช
เพราะจะรบกวนพิธีและสมาธิของผู้ร่วมพิธีได้
จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สู่แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในหลวงพระบาง
วัดเชียงทอง
วัดเชียงทอง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง
ใกล้บริเวณที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง มีถนนเล็กๆชื่อถนนโพธิสารราช
ริมน้ำโขงคั่นอยู่ วัดเชียงทองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2102
?2103 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
ในบรรดาวัดวาอารามทั้งหมดต้องยกให้วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงามที่สุด
และได้รับการมาเยี่ยมเยือนจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด "นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว"
วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ไม่นานนัก
และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชาติศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชาติศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของประเทศลาว
พระอุโบสถ
ภาษาลาวเรียกว่า สิม
เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนักหลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง
ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง
ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง
จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น
เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่
ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่
มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ
ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงาม
ที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ
ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ
พระประธาน
หรือชาวลาวเรียกว่าพระองค์หลวง ภายในพระอุโบสถเป็นสีทองงดงามอร่ามตาด้านข้างพระองค์หลวงมีพระบางจำลอง
และผนังด้านหลังของพระอุโบสถเป็นภาพที่เกิดจากการใช้กระจกสีตัด
ติดต่อกันเป็นรูปต้นทองขนาดใหญ่ ซึ่งเคยมีในเมืองหลวงพระบางลักษณะคล้ายต้นโพธิ์
ด้านข้างต้นทองเป็นรูปสัตว์ในวรรคดียามใดที่แสงแดดสดส่องสะท้อนดูงดงาม
วิหารน้อย ด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารสองหลังนี้
จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี
ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้น บ้าน
บนพื้นสีชมพู ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์
พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจักแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474
และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507
ส่วนวิหารอีกหลังที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถคือ วิหารพระม่าน
ผนังวิหารด้านนอกมีลักษณะคล้ายกับวิหารองค์แรก ภายในวิหารนี้ประดิษฐาน พระม่าน
ในช่วงวันขึ้นปีใหม่จะมีการอันเชิญมาให้ประชาชนสรงน้ำและกราบไหว้เป็นประจำทุกปี
ผนังด้านหลังวิหารทาด้วยสีชมพูประดับด้วยกระจกสีแสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คน
สร้างขึ้นใน พ.ศ.2493 เพื่อเฉลิมฉลองที่โลกก้าวสู่ยุคกึ่งพระพุทธกาล
ด้านหลังของวิหารพระม่านจะเป็นพระธาตุศรีสว่างวงศ์
ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
เป็นโขงเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง
ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งหอกลองมีลวดลายลงรักปิดทองสวยงาม
โรงเมี้ยนโกศ
หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง
ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกได้เพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้
กลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศสามองค์ตรงกลางเป็นองค์ใหญ่ของเจ้าสว่างศรีวัฒนา
ด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา
โรงเก็บราชรถนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และใช้ช่างชาวหลวงพระบางชื่อ เพียตัน
นับว่าเป็นช่างฝีมือดีประจำพระองค์ มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก จุดเด่นของโรงเมี้ยนโกศยังอยู่ที่ประตูด้านนอกคือเป็นภาพแกะสลักวรรณคดี
เรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่น
ตอนพิเภกกำลังบอกความลับที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม
ถัดลงมาเป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ
ถัดลงมาเป็นตอนที่พระรามพระลักษณ์ต่อสู้กับทศกัณฑ์
ด้านล่างสุดเป็นตอนที่นางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับพระราม
เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นการลงรักปิดทอง ต่อมาได้มีการบูรณะใหม่โดยทาสีทอง
ภายในวัดยังมีเขตสังฆาวาสและยังมีพระจำพรรษาอยู่เช่นวัดทั่วไป
วัดวิชุนราช
ตั้งอยู่ถนนวิชุนราช
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้
วัดวิชุนในเรื่องมีความแปลกที่พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม
และเจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง
ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญและความโดดเด่นของวัด วิชุน
สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน
พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ สร้างโดยพระเจ้าวิชุนราชในปีพ.ศ. 2057
และตั้งชื่อวัดตามพระนามของพระองค์เอง ในสมัยฮ่อบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง
วัดวิชุนถูกพวกฮ่อเผาทำลาย
จนรัชสมัยพระเจ้าสักกะรินจึงได้บูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.2457 โดยมี
อองรี มาร์แซล นายช่างฝรั่งเศสผู้เคยบูรณะนครวัดเป็นแม่งาน
เนื่องจากที่นี่เคยเป็นหอพิพิธภัณฑ์มาก่อนที่จะย้ายหอพิพิธภัณฑ์ไปที่
พระราชวังเดิม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระอุโบสถ
หรือที่ชาวลาวเรียกว่าสิม เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง
ตัวอุโบสถมีรูปทรงอาคารไทลื้อสิบสองปันนา
ซึ่งมีจุดเด่นคือส่วนคอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไป
ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่(หรือช่อฟ้าแบบไทย) ตรงกลางหลังคามีช่อฟ้า
เป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้น หน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยลูกมะหวด บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทอง
มีรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม และพระอินทร์ ศิลปะแบบเชียงขวาง
ระเบียงด้านหน้าที่หันอออกสูพระธาตุหมากโมมีชายคาใหญ่ยื่นลงมาคลุม
ทำให้สิมแบบนี้ไม่มีหน้าบัน ด้านข้างสิมมีทางเดินเชื่อมระหว่างวัดวิชุนกับวัดอาฮาม
ตรงรอยต่อของเขตพัทธสีมาเป็นซุ้มประตูโขง
อันเป็นลักษณะของวัดแบบล้านนาและล้านช้างในอดีต ซุ้มประตูโขงที่วัดวิชุนนี
เก่าแก่ที่สุดในบรรดาประตูโขงทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่ในหลวงพระบาง
นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่และโบราณวัตถุ
ที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ภายในหลวงพระบางอีกด้วย
พระประธานหรือ
พระองค์หลวงในพระอุโบสถมีขนาดใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง
ด้านหลังพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง
เช่นพระพุทธรูปสำริด พวกไม้จำหลักลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรักปิดทองสูงเท่าคนจริงจำนวนมาก
พระธาตุหมากโม
(หมากโม หมายถึง แตงโม) เป็นเจดีย์ปทุมหรือพระธาตุดอกบัว แต่ชาวลาวทั่วไปเรียกว่า
พระธาตุหมากโม เนื่องจากเห็นว่ามีรูปทรงคล้ายแตงโมผ่าครึ่งหรือทรงโอคว่ำ
คล้ายสถูปฟองน้ำที่สาญจี ประเทศอินเดีย ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย
บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดย์ทิศทรงดอกบัวตูมทั้งสี่มุม
พระนางพันตีนเชียง
มเหสีของพระเจ้าวิชุนราช ซึ่งเป็นชาวพวนเมืองเชียงขวาง
โปรดให้สร้างพระธาตุหมากโมขึ้นในปี พ.ศ.2057
ในอดีตพระธาตุหมากโมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ
แต่ต่อมาได้มีการย้ายไปประดิษฐานที่หอพระบาง
ซึ่งพระธาตุหมากโมเึคยถูกปฏิสังขรณ์มาแล้ว 2 ครั้ง ในปีพ.ศ.2402
รัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก)
ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457
ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์มีการปฎิสังขรอีกครั้ง
ซึ่งการบูรณะครั้งนี้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด
พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน
โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้วซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต
โบราณวัตถุเหล่านี้ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
และได้เก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางจวบจนปัจจุบัน
วัดแสนสุขาราม
ตั้งอยู่ที่ถนนเชียงทอง
ภายในตัวเมือง ใกล้กับวัดสงบลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ วัดแสนสุขาราม
สร้างขึ้นในพ.ศ. 2261 ตามประวัติกล่าวว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000
กีบ ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนเริ่มสร้าง
เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังที่นครหลวงพระบางแยกออกจากนคร เวียงจันทน์ได้
11 ปี โดยวัดแสนได้รับการบูรณะ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475
ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ. 2500 ส่วนการประดับลวดลายปิดทองนั้นบูรณะเมื่อคริสศตวรรษที่
20 โดยช่างชาวหลวงพระบาง จุดเด่นของวัดแสนสุขารามคือ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่
ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง มีพระหัตถ์ที่งดงามผ่องแผ้ว
และหอรอยพระพุทธบาทจำลองด้านข้างหอพระยืน ส่วนพระอุโบสถลงรักปิดทองอย่างสวยงาม
จัดเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางตอนกลาง สังเกตได้จากเสาทรงแปดเหลี่ยม
และยอดเสารูปกลีบบัว ส่วนผนังภายในพระอุโบสถตกแต่งด้วยการเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง
โดยตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระประธานหรือพระองค์หลวง
สร้างให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามและน่าสนใจไม่น้อยเลยปิดท้ายด้วย รูปปั้น เทวดา
ครับที่ศิลปะแนว หลวงพระบาง
วัดใหม่สุวรรณภูมาราม
หรือที่ชาวหลวงพระบางเรียกกันสั้นๆว่า
"วัดใหม่" เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน
ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาวและยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง
พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบางในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ.
2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานในหอพระบางภายในพระราชวังจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
เมื่อมาเยือนวัดแห่งนี้สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากวัดอื่นๆ
คือตัวอุโบสถ(สิม) ลักษณะจะเป็นอาคารทรงโรง หลังคามีขนาดใหญ่
มีชายคาปกคลุมทั้งสี่ด้านสองระดับต่อเนื่องกัน ด้านข้างมีฐานยื่นออกมารับกับชายคาที่ทอดยาวลงเกือบดินพื้นดิน
บนยอดหลังคาเป็นหน้าจั่วขนาดใหญ่โดยมีหลังคาเล็กๆ ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง
ตรงกลางของหลังคาเล็กประดับช่อฟ้า ด้านหลังมีหอขวางสร้างขึ้นติดกัน
เชื่อว่ามาต่อเติมในภายหลัง ที่ระเบียงด้านหน้ามีอาคารคล้ายศาลาขวางครอบอยู่
มีหลังคาติดกับหลังคาอุโบสถ ที่เสาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม
ผนังด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองดูเหลืองอร่ามงามตายาวตลอดผนัง
เล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก โดยฝีมือช่างหลวงประจำรัชกาลเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
ด้านล่างเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ มีรูปช้างน้ำอยู่ด้านล่างขวาของภาพ
ส่วนบานประตูแกะสลักเป็นรูปเทวดาศิลปะแบบเชียงขวาง
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปนับหมื่นนับแสนองค์บนผนังสีแดง
คล้ายกับที่เคยพบเห็นในวัดบางแห่งของจังหวัดเชียงใหม่
ตรงกลางเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีพระพักตร์ที่งดงาม จัดเป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลวงพระบางแบบหนึ่ง
ตรงข้ามด้านหน้าพระอุโบสถมีอาคารก่ออิฐถือปูนหลังเล็กๆ 2 หลังขนาดต่างกัน
ชาวลาวเรียกว่า "อูบมุง" ขนาบข้างพระธาตุทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม
อูบมุงหลังใหญ๋หันหน้ามาทางพระอุโบสถ
ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดค่อนข้างใหญ่ประดิษฐานอยู่ ส่วนอูบมุงหลังเล็กหันหน้าออกถนน
บริเวณภายในวัดใหม่มีการจัดวางผังอาคารกลุ่มพุทธวาสและสังฆาวาสแยกออกเป็นสัดส่วน
มีแนวต้นไม้เล็กๆคั่นอยู่
ในช่วงปีใหม่ลาว
(เดือนเมษายนของทุกปี) ทางการได้มีการอัญเชิญ "พระบาง"
ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง มาไว้ที่ลานด้านหน้าของวัดใหม่แห่งนี้
เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำอีกด้วย
วัดพระบาท (ใต้)
อยู่ริมแม่น้ำโขงด้านทิศใต้ของตัวเมืองหลวงพระบาง
ห่างจากวัดธาตุหลวงประมาณ 200 เมตร (ทางไปน้ำตกตาดกวางซี) สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าสามแสนไท
ตัววัดในอดีตตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นในด้านทิศใต้คู่กับวัดพระบาทเหนือ
จากหลักฐานร่องรอยที่พบเห็นเชื่อว่าสร้างในรัชสมัยพระเจ้าสามแสนไท
เนื่องจากการบูรณะวัดในปีพ.ศ. 2503 สภาพวัดได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเกือบทั้งหมด
ส่วนใหญ่เป็นศิลปะจีน-เวียดนามซึ่งในสมัยนั้นมีเจ้าอาวาสเป็นชาวเวียดนาม
ที่เกิดและอาศัยอยู่ในหลวงพระบาง (เวียด-เกียว)
และชาวบ้านที่ถวายปัจจัยร่วมบูรณะส่วนใหญ่มีเชื้อชาติเดียวกัน
จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดเวียด”
(มากจากคำว่าเวียดนามนั่นเอง)
จุดเด่นที่น่าสนใจของวัดนี้อยู่ที่พระพุทธรูปและสถาปัตยกรรมภายในจะเป็นสไตล์แบบจีนผสมเวียดนาม
มีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง
จากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและเมืองฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
นับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของหลวงพระบาง
วัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร (วัดทาดน้อย)
วัดพระมหาธาตุสร้างในปีพ.ศ.
2091 (สมัยพระเจ้าไซยเชษฐาธิราช) ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญ
เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2453 โดยเจ้ามหาอุปราชบุญคง ภายในสิม (อุโบสถ) แบบล้านช้างมี
"ราวเทียน" รูปนาค 24 ตัว ฝีมือการแกะวิจิตรงดงาม หน้าสิมมีเจดีย์ธาตุองค์ใหญ่
บรรจุอัฐิของเจ้าเพชรราชรัตนวงศา อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศลาว
และถือเป็นรัฐบุรุษของประเทศลาวยุคใหม่ เฉพาะพระอุโบสถขนาดใหญ่
มีการตกแต่งเพิ่มเติมรูปสลักบนบานประตูและหน้าต่าง
แสดงเรื่องเล่าชาดกพระสุธนมโนราห์ดูสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นฝีมือสกุลช่างพ่อเฒ่าเพียตัน
ด้านหลังมีพระธาตุเจดีย์ยอดทรงระฆังประดับเศวตฉัตร 17 ช่อ นั้นหมายถึง
วัดนี้สร้างโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าชีวิต
วัดโพนไซซะนะสงคราม
สร้างในปี
พ.ศ. 2334 โดยพระเจ้าอนุรุทธราช
ตามประวัติกล่าวว่าเป็นประเพณีที่พระมหากษัตริย์แห่งนครหลวงพระบางและเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายต้องมาทำพิธีนมัสการพระองค์หลวง
(พระประธาน) เพื่อขอพรก่อนจะออกไปรบทัพจับศึก เชื่อกันว่าองค์พระประธานของวัดนี้
มีอำนาจช่วยบันดาลให้ชนะศึกสงคราม พระอุโบสถมีลักษณะศิลปะแบบหลวงพระบางทั่วไป
ภายในแบ่งเป็น 3 ห้องยาว 4 ห้องขวาง ภายหลังห้องขวางพังลง 2
ห้องและเริ่มบูรณะในปีพ.ศ. 2513 โดยขยายกว้างออกข้างละ 1 เมตร
จากนั้นจึงบูรณะใหม่หมดทั้งหลัง
วัดศรีบุญเฮือง
ตามประวัติศาสตร์ชาวบ้านได้เล่าสืบต่อกันมาว่าพระอุโบสถของวัดศรีบุญเรืองสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ.
2301 ในรัชสมัยพระเจ้าโชติกะกุมาร
มีขนาดเล็กเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางในพุทธศตวรรษที่ 24
ปัจจุบันยังไม่ได้รับการบูรณะนอกจากหน้าต่างที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
ภายในมีลวดลายปิดทองหลายรูปแบบสีสันงดงาม ตรงกลางหลังคาประดับช่อฟ้า 15 ช่อ
ความโดดเด่นของวัดนี้จะอยู่ที่ตัวสิม (อุโบสถ) รูปทรงหลังคาแอ่นขนาดใหญ่
ซึ่งเป็นศิลปะสไตล์เชียงขวาง ที่มีสีหน้าลายนกยูง ลวดลายดอกรวงผึ้งอันอ่อนช้อย
แขนนางแบบเดียวกับวัดคีรี และซุ้มป่องเยี่ยม (หน้าต่าง) แกะสลักเป็นรูปพญานาค
วัดสุวรรณคีรี (วัดคีรี)
ตามตำนานกล่าวว่า
ชาวไทพวนจากเชียงขวางเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กองทัพชาวพวนที่สู้รบกับทัพของพม่า
ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเจ้าชายชาวพวนชื่อเจ้าคำศรัทธาได้อภิเษกสมรสกับนางแว่นแก้วราชธิดาของพระเจ้าอินทโสมแห่งนครหลวงพระบางในปีพ.ศ.
2316 หลังจากนั้นในครั้งที่พม่ายกกองทัพมาตีเมืองหลวงพระบางครั้งที่ 2
เจ้าคำศรัทธาได้ส่งกองทัพของพระองค์มาช่วยรบ
วัดคีรีเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามวัดหนึ่ง มีศิลปะแบบเชียงขวาง
พระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ปัจจุบันยังรักษาโครงสร้างและลวดลายประดับประดาที่มีอยู่เดิมไว้ บนหลังคาไม่มีช่อฟ้า
ด้านหลังของพระอุโบสถมีพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
วัดมโนรมย์
สร้างโดยพระเจ้าสามแสนไท
พระราชโอรสของเจ้าฟ้างุ่มในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19
หลังจากนั้นไม่นานโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ขึ้นและถูกทำลายเสียหายในช่วงที่มีจีนฮ่อออกปล้นสะดมในปีพ.ศ.
2330
ตัววัดซึ่งอยู่นอกเขตกำแพงเมืองได้รับความเสียหายหลายแห่งมีการบูรณะภายหลังโดยสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
มีโครงสร้างคล้ายกับที่วัดโพนชัยรวมทั้งหอพระและพระพุทธรูปสำริดได้โบกปูนปิดทองใหม่
ด้านหลังพระอุโบสถมีร่องรอยของแท่นพระพุทธรูป มีศาลาหลังเล็กครอบไว้
ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ตั้งของ วัดเชียงกลาง ซึ่งคณะสังฆฑูตจากกัมพูชาเป็นผู้สร้างไว้
ตั้งแต่ครั้งเดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาบนแผ่นดินล้านช้างในสมัย เจ้าฟ้างุ่ม
ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบางและเคยเป็นที่ประดิษฐาน
พระบางในระหว่างปีพ.ศ. 2045-2056
วัดสังคโลก
(บางตำราเขียนว่าสวรรคโลก) สร้างในปีพ.ศ. 2070
ในสมัยพระเจ้าโพธิสาร
เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านความเชื่อของชาวหลวงพระบาง
เนื่องจากก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้าง
วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งของวิหารบูชาผีฟ้า ผีแถน อันเป็นความเชื่อดั้งเดิม
หลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว
วัดสังคโลกก็กลายเป็นวัดสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์เป็นพิเศษจากพระเจ้าโพธิสาร
จากนั้นความเชื่อเดิมก็ได้ลดน้อยถอยลงไป ในปีพ.ศ. 2426 อุโบสถถูกลมพายุพัดเสียหาย
และได้บูรณะให้กลับคืนมาเป็นสภาพแบบเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น