จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สรุปวิทยานิพนธ์ เรื่อง สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ.2476 – 2506

เดิมบ้านไผ่นั้นเป็นหมู่บ้านขนานเล็ก ขึ้นกับตำบลบ้านเกิ้ง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น สภาพทางเศรษฐกิจก่อนปี พ.ศ. 2476 นั้นยังเป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองอยู่ เหมือนกับหมู่บ้านต่างๆในภาคอีสาน อาชีพหลักคือการทำนาโดยใช้น้ำฝนเป็นหลัก โดยจะปลูกข้าวเหนียวเป็นส่วนใหญ่ นาแต่ละแปลงจะมีขนานเล็กเนื่องจากต้องเก็บน้ำไว้ในและแปลงไม่ให้น้ำขาด เพราะยังไม่มีการทำเหมืองฝายอย่างเป็นระบบ  แต่ถ้าต้องการที่จะปล่อยน้ำจะให้วิธีตัดคันนา แรงงานที่ใช้เป็นแรงงานคนและแรงงานกระบือ เครื่องมือที่ใช้เป็นเครื่องมือที่ทำเอง เช่น คราด ไถ ซึ่งทำจากไม้ แต่ถ้าเป็นพวกเหล็กนั้น จะต้องแลกเปลี่ยนกับบ้านที่ทำการผลิตโดยตรง
นอกจากการทำนา แล้วชาวบ้านยังมีการปลูกพืชไร่ เช่น อ้อย ฝ้าย ปอ ข้าวโพด รวมทั้งพืชผักสวนครัว ผลไม้ มีการเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้แรงงานและไว้เป็นอาหาร  รวมทั้งยังมีการทำหัตถกรรมในครัวเรือนที่ทำกันอย่างกว้างขวาง คือ หัตถกรรมผ้าฝ้ายและผ้าไหมเป็นการผลิตเพื่อใช้ในครอบครัว โดยเฉพาะผ้าไว้ ส่วนไหมนั้นจะผลิตกันทุกครัวเรือน และเป็นการแลกเปลี่ยนมากกว่าการทอใช้เอง โดยจะเอาไว้แลกเปลี่ยนกับสินค้าที่ผลิตไม่ได้ การซื้อขายกับชุมชนห่างไกลมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนืองจากการคมนาคมที่ไม่สะดวกสบาย ดังนั้นการผลิตในชุมชนมักจะคำนึงถึงการเลี้ยงตัวเองเป็นหลัก
ปี พ.ศ. 2468 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาการสร้างทางรถไฟต่อจากจังหวัดนครราชสีมาจนถึงจังหวัดขอนแก่น โดยการสร้างทางรถไฟไปยังจังหวัดขอนแก่นนั้น ต้องผ่านบ้านไผ่ เมื่อทางรถไฟสร้างเสร็จในปีเดียวกันนั้น ได้มีชาวจีนอพยพมาจากจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่ใกล้เคียง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านไผ่โดยการโดยสารมากับรถไฟ ชาวจีนที่เข้ามาช่วงแรกนั้น ประกอบอาชีพ เพาะถั่วงอกขาย ขายน้ำเต้าหู้ เลี้ยงสุกรและรับจ้างทั่วไป เพื่อสบทบทุนที่จะทำการค้า
ในบริเวณทางทิศตะวันตกองอำเภอ เพราะสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการผลิตมาก เนื่องจากมีลำห้วยจิกไหลผ่าน และแก่งละว้า การเกษตรจึงได้ผลเป็นที่น่าพอใจของเกษตรกร เทคโนโลยีใช้เทคโนโลยีดั้งเดิมในการผลิต เมื่อเสร็จสิ้นจากการทำนาชาวบ้านจะเข้าป่าเพื่อเก็บของป่า เช่น ครั่ง หนังสัตว์ เขาสัตว์ น้ำผึ้ง โดยมีนายฮ้อยเป็นคนซื้อจากชาวบ้าน นอกจากนี้บ้านไผ่ยังมีการผลิตผ้าไหมเพื่อใช้ในครัวเรือน ส่วนเครื่องใช้ที่ผลิตไม่ได้ เช่น จอบ เสียม ก็จะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้าน และการปลูกพืชจำพวก ถั่ว ยาสูบ ปอ ป่านข้าวโพด ในสมัยนั้นจะเอาไว้แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองมาสามารถที่จะผลิตได้
จากการเข้ามาของรถไฟทำให้บ้านไผ่เป็นแหล่งรวมผู้คนที่จะเดินทาง และเป็นศูนย์รวมของสินค้านานาชนิด และส่งผลให้ประชากรในบ้านไผ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนได้แยกตัวออกจากอำเภอชนบท ตั้งเป็นกิ่งอำเภอบ้านไผ่ ในปี พ.ศ. 2476 เขตการปกครอง 3 ตำบล คือ ตำบลบ้านไผ่ ตำบลบ้านเป้า และตำบลแคนเหนือ ชาวจีนที่เข้ามาในกลุ่มแรก เป็นชาวจีนที่มาจากอำเภอชนบท ส่วนมากจะขายของเบ็ดเตล็ด และได้ขยายเป็นร้านขายส่งรายใหญ่ เช่น ร้านโอวเปงฮง  โค้วยู่ฮะ ยงซุนง้วน เป็นต้น เมื่อมีชาวจีนก็ต้องมีศาลเจ้า โดยชาวจีนกลุ่มนี้ได้ร่วมกันสร้างศาลเจ้า และสร้างวัดขึ้นคือ วัดจันทร์ประสิทธิ์
นอกจากนี้บ้านไผ่ยังเป็นทางแยกที่จะเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ เป็นต้น โยพ่อค้าจะนำสินค้าบรรทุกเกวียนมายังบ้านไผ่ก่อนที่จะขึ้นรถไฟไปขาย
ดังนั้นสภาพทางเศรษฐกิจที่เริ่มขยายจากการมีรถไฟนั้นทำให้ประชาชนเข้าไปผูกพันกับระบบการค้ามากขึ้น จึงส่งผลให้วิถีการผลิตเปลี่ยนไปจากเดิม คือ จากการผลิตเพื่อยังชีพเป็นการผลิตเพื่อการค้าโดยมีเงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ทำให้การผลิตเพื่อการค้าเริ่มขยายตัว โดยเฉพาะการค้าขายเกษตรผลทางการเกษตรและของป่า โดยการบุกเบิกพื้นที่ของชาวบ้านนั้นจะใช้วิธีการถางด้วยพร้าเป็นสำคัญ เพื่อที่จะจับจองทำการเพราะปลูก เช่น ปลูกข้าว ฝ้าย หม่อน เลี้ยงไหม พืชผักสวนครัว เป็นต้น เพื่อนำไปขายที่ตลาดบ้านไผ่ ซึ่งรถไฟเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่และพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการผลิตเพื่อการค้ามากวกว่าที่จะเป็นการผลิตเพื่อยังชีพ
เมื่อมีรถไฟและคนจำนวนมากในชุมชนบ้านไผ่นั้น ทำให้มีความต้องการที่จะบริโภคมากขึ้นตามไปด้วย การซื้อขายด้วยระบบเงินตราจึงเพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากการที่มีระบบการคมนาคมที่สะดวก การเดินทางในชุมชนใกล้เคียงสามารถเดินทางได้ด้วยทางเกวียน เพื่อเชื่อมเข้าสู่ทางรถไฟได้สะดวก  จึงเกิดการตื่นตัวทางด้านการเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เมื่อรวบรวมได้มากพอแล้วก็จะใช้เกวียนบรรทุกมาขึ้นรถไฟไปขายที่เมืองนครราชสีมา
การค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.             การค้าโดยพ่อค้าท้องถิ่น พ่อค้าท้องถิ่นเป็นผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญของระบบการค้าท้องถิ่น เรียกว่า นายฮ้อย นายฮ้อยจะทำหน้าที่ค้าผลผลิตทางการเกษตรและค้าของป่า ลักษณะของนายฮ้อยในชุมชนบ้านไผ่ มี 2 แบบคือ


1.1      การค้าภายในชุมชน โดยสินค้าที่จะนำไปแลกเปลี่ยนนั้นจะได้มาจาก ผลผลิตที่เหลือจากการบริโภค อาจเป็นการแลกเปลี่ยนบ้านกับบ้าน หรือบ้านกับเมือง เป็นต้น โดนจะแลกกับสิ่งที่จำเป็นในครัวเรือนตน
1.2      การค้าภายนอกชุมชน กลุ่มพ่อค้าท้องถิ่นที่ออกไปค้าขายกับเมืองอื่นคือ นายฮ้อย คือมีการใช้เวลาว่างจากการทำนา ไปขายสินค้า ชนิดของสินค้าจะเป็นพวก โค กระบือ ข้าว เป็นต้น
2.             การค้าโดยพ่อค้าชาวจีน ชาวจีนถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทในชุมชนบ้านไผ่ โดยเฉพาะชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดในการค้าขายและมีความมานะอุตสาหะในการทำธุรกิจด้วยการสะสมทุน  ชาวจีนที่เข้ามาในบ้านไผ่ช่วงแรก จะมาในลักษณะที่ไม่มีอะไรเลย จะมาหาเอาดาบหน้า โดยช่วงแรกจะเข้ามารับจ้างต่างๆ เมื่อมีเงินเป็นก้อนจึงจะเปิดร้านขายของเอง ชาวจีนที่เข้ามาในบ้านไผ่นั้น เป็นชาวจีนที่ขยันขันแข็ง อดทน เพื่อความอยู่รอด มุ่งที่จะประกอบอาชีพเพื่อสร้างฐานะของตนเองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง รวมทั้งมีความเฉลียวฉลาดในการทำธุรกิจต่างๆ และมีความสามัคคีกันในหมู่คณะเป็นอย่างดี สังเกตได้จาด การจัดตั้งสมาคมชาวจีน การให้กู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย การร่วมกันสร้างศาล เป็นต้น
สินค้าทางการเกษตรเป็นความต้องการของระบบตลาดตั้งแต่ พ.ศ. 2476 – 2500 เกษตรกรในอำเภอบ้านไผ่จึงขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก เมื่อได้ผลผลิตแล้ว จะนำไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางในตลาดอำเภอบ้านไผ่
                การปลูกข้าวก็ยังใช้วิธีการเพาะปลูกเช่นเดิมแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการเพิ่มผลผลิต โดยมีการพัฒนาพันธ์ข้าว การใช้ปุ๋ย การใช้สารเคมีฆ่าแมลง แต่ชาวนายังไม่ได้ให้ความสนใจในวิธีการใหม่ๆเท่าที่ควร จึงทำให้ผลผลิตไม่ได้เต็มที่ ถึงแม้จะมีการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกก็ตาม นอกจากนี้บ้านไผ่ยังประสบปัญหาฝนแล้งในบางปี ทำให้ชาวนาหันออกไปรับจ้าง ขายแรงงาน ตามท้องถิ่นต่างๆ ส่วนการเลี้ยง โค กระบือ ก็ยังเป็นสัตว์ที่ชาวนาเลี้ยงไว้ใช้งานและการขยายพันธุ์ เนื่องจากชุมชนบ้านไผ่นั้น เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลทำนาแล้ว นายฮ้อยจะมาซื้อโค กระบือ ทำให้โค กระบือขาดแคลน ชุมชนบ้านไผ่จึงต้องเลี้ยงไว้เพื่อใช้งานในปีต่อไป นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงหมูเพื่อการค้า โดยมีตลาดที่รองรับคือ พ่อค้าชาวจีนในชุมชนบ้านไผ่
ในช่วงนี้การค้าเครื่องอุปโภค จะมีปริมาณสินค้าที่รับจากตลาดนครราชสีมาหรือตลาดกรุงเทพ เข้ามาลงที่สถานีรถไฟบ้านไผ่ เพิ่มขึ้นทุกปี ถือได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่การค้าทางด้านการเกษตรรุ่งเรือง เนื่องจากการที่บ้านไผ่นั้นได้
เมื่อการค้าของบ้านไผ่เริ่มเจริญขึ้นตามลำดับ โดยประชาชนได้เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านไผ่ เพื่อที่จะทำการเกษตรและประกอบอาชีต่างๆ ทำให้ประชากรของบ้านไผ่มีมากขึ้น จึงได้ตั้งเป็นอำเภอบ้านไผ่ โดยขยายไปทั้งสองข้างทางรถไฟบ้านไผ่ และเกิดการขยายตัวบริเวณบริเวณหน้าสถานีรถไฟ เรียกว่า ตลาดใน
เมื่อชุมชนบ้านไผ่ได้ยกฐานะเป็นสุขาภิบาลบ้านไผ่ ธุรกิจของชุมชนบ้านไผ่ได้ขยายตัวจำนวนมาก เช่น โรงสีไฟ โรงเลื่อย โรงแรม ร้านค้าและตลาดชุมชน รวมถึงสถาบันทางการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารเกษตรและธนาคารออมสิน เป็นต้นเพื่อให้บริการชุมชนบ้านไผ่และชุมชนใกล้เคียง
การขยายตัวทางการค้าทำให้การคมนาคมมีการพัฒนาเส้นทางทั้งในชุมชน รวมทั้งมีการพัฒนาเส้นทางเส้นทางเกวียนจากชุมชนใกล้เคียงชุมชนอื่น เป็นถนนเชื่อมถึงสถานีรถไฟอำเภอบ้านไผ่ เพื่อความสะดวกสบายในการขนส่งสินค้า
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสชาวจีนให้มีบทบาททางการค้ามากขึ้น ซึ่งส่วนมากจะอยู่บริเวณถนนราชนิกูล ซึ่งพ่อค้าเหล่านี้ส่วนมากจะขาย เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าแพร น้ำมันกาด รองเท้า สีย้อมผ้า สบู่ เข็ม ด้าย เครื่องเหล็ก และสินค้าบริโภคโดยจะขายทั้งปลีกและส่ง
ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจอีสาน ทำให้เกิดการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2 คือถนมิตรภาพซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ใช้เดินทางมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้การติดต่อกับบ้านไผ่สะดวกขึ้น อาจจะไม่ต้องนอนพักที่บ้านไผ่ก็ได้ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมและการบริการต่างๆเริ่มซบเซาลง
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของบ้านไผ่ คือ
1.             การคมนาคม การขนส่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดการขยายตัวทางการผลิตการแผ่กระจายของสินค้า มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชุมชน การคมนาคมที่สะดวกยังช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางมายังบ้านไผ่ ซึ่งเหตุผลในการสร้างทางรถไฟนั้น มีความจำเป็นคือ ทางด้านเศรษฐกิจ จังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงซึ่งมีอาณาเขตที่ติดกับลาว สินค้าที่ส่งไปขายที่กรุงเทพนั้นส่วนมากเป็นของป่า ดังนั้นเมืองหนองคายจึงเป็นเมือศูนย์กลางทางการค้าแถบชายแดน เพื่อเป็นการให้สินค้า เข้ามายังกรุงเทพมากขึ้นและไม่มีการรั่วไหลของสินค้า รัฐจึงต้องสร้างทางรถไฟเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า
2.             ด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากการเรียกพลในเวลาสงครามต้องใช้เวลาในการเดินทางมาก ไม่ทันเวลา จึงสร้างทางรถไฟขึ้นเพื่อเป็นจุดที่จะช่วยทางด้านการป้องกันประเทศด้วย
เส้นทางรถไฟนับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของบ้านไผ่คือ
การขยายตัวของเส้นทางคมนาคมในชุมชนบ้านไผ่ ซึ่งเส้นทางคมนาคมในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางเดิน คือ เป็นทางเดินแคบๆที่เชื่อมระหว่าหมู่บ้านกับหมู่บ้าน เดินได้เฉพาะคน  เมื่อมีการสร้างทางรถไฟนั้นได้มีการขยายเส้นทางออกเพื่อให้สะดวกขึ้นในการติดต่อระหว่างหมู่บ้าน และจะเชื่อมสู้เส้นทางรถไฟ เพื่อใช้ค้าขายแลกเปลี่ยนและการขนถ่ายสินค้าสู่เส้นทางรถไฟ เส้นทางคมนาคมชุมชนบ้านไผที่สำคัญและพัฒนาเป็นทางเกวียนเชื่อมสู่เส้นทางรถไฟ โดยใช้เป็นเส้นทางหลักที่ใช้ในการขนถ่ายสินค้าและการสร้างทางรถไฟทำให้เกิดการพัฒนาถนนเชื่อมสู่ทางรถไฟให้ดีขึ้นตามลำดับด้วย
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
การขยายตัวของชุมชนบ้านไผ่มีชาวจีนเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเชื่อมระหว่างตลาดภายในและตลาดภายนอก นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวของการเกษตรในพื้นที่ใกล้เคียงชุมชนบ้านไผ่ เพราะมีความสะดวกในการขนส่งสินค้า ซึ่งจากการมีทางรถไฟนั้นทำให้มีการเพิ่มพื้นที่การเพราะปลูกอย่างรวดเร็ว แต่การผลิตยังเป็นการผลิตแบบดั้งเดิมบางส่วน คือ มีการผลิตแบบเดิม แต่มีนำสารเคมีและปุ๋ยเคมีเข้ามาใช้ จากการแนะนำของส่วนราชการ
ผลผลิตที่ได้มากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการที่มีการขยายการเพาะปลูก โดยจะได้ข้าวประมาณ 30 ถังต่อไร่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับฝนในแต่ละปีว่าฝนตกมากน้อยเพียงใด โดยชาวบ้านจะเก็บไว้กินบางส่วนและที่เหลือก็จะเอาไปขายในตลาดชุมชนบ้านไผ่ นอกจากข้าวแล้วยังมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้าอีกด้วย ซึ่งเมื่อสัตว์โตพอที่จะขายได้ก็จะนำไปขายให้พ่อค้าคนกลางในตลาดชุมชน ส่วนมากสัตว์ที่เลี้ยงจะเป็น หมู
ปัญหาในการผลิตข้าว
- ปัญหาจากธรรมชาติ เนื่องจากพื้นที่เป็นพื้นที่ที่ไม่อุ้มน้ำ จึงทำให้ขาดแคลนพื้นที่ในการเพาะปลูก การกักเก็บน้ำไม่ได้ผล ถึงแม้ปริมาณน้ำฝนจะมากก็ตาม
- ปัญหาของราคาสินค้าที่ไม่คงที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตลาด
การขยายตัวของโรงสี
                โรงสีที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำนั้นชาวจีนได้นำเข้ามาในบ้านไผ่ โดยใช้แรงดันไอน้ำระหว่า 120 – 140 ปอนด์ใช้ฉุดเครื่องสีข้าว คือ เป็นโรงสีที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงในการต้มน้ำให้เดือดเพื่อให้ไอน้ำไปฉุดเครื่องยนต์ทำงาน นอกจากนี้ยังเป็นที่รับซื้อข้าวของอำเภอบ้านไผ่แห่งแรอีกด้วย โดยจะซื้อย่อยและจำนวนมากด้วย ชาวบ้านที่เข้ามาขายขาวเปลือกนั้นส่วนมากจะเป็นคนที่อยู่แถบบ้านไผ่ เช่น มหาสารคาม ชนบท เป็นต้น หลังจากนั้นก็มีโรงสีโดยเจ้าของเป็นคนจีนอีกหลายแห่ง
การขยายตัวของโรงเลื่อย
                เกิดขึ้นพร้อมกันกับการสร้างทางรถไฟเสร็จ โดยพบเพียงแห่งเดียวในบ้านไผ่ คือ โรงเลื่อยง่วนเฮงหลี โดยจะทำการแปรรูปไมตามเขตอำเภอบ้านไผ่ คือ ต้นไม้ต้นใดที่ทางร้านต้องการก็จะให้คนงานไปเลื่อยไว้เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปตีตราชำระค่าภาคหลวง โดยเจ้าหน้าที่จะกำหนดภาษีว่าถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อไม้ ไม้ที่เลื่อยและผ่านขั้นตอนของราชการแล้วก็จะนำไปขายเพื่อให้ประชาชนสร้างบ้านเรือนต่อไป
การขยายตัวของโรงน้ำแข็ง
                มีครั้งแรกในบ้านไผ่ เมื่อปีพ.ศ.2480 คือโรงน้ำแข็งอนามัย โดยใช้เครื่องจักรกลชนิดเติมน้ำมันเครื่องเก่า น้ำที่ใช้จะเป็นน้ำฝนและน้ำห้วยจิก เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีน้ำประปาที่บ้านไผ่ โดยจะทำการผลิตออกมาในรูปน้ำแข็งซอง หรือ น้ำแข็งถุง
การขยายตัวของโรงฟอกหนัง
                เป็นโรงที่รับซื้อหนังสัตว์จากชาวบ้านแล้วนำมาหมักผ่านกระบวนการหมัด และขจัดกลิ่นเพื่อเตรียมที่จะขนส่งทางรถไฟไปทำเครื่องใช้ต่อไป โดยเริ่มกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา
การขยายตัวทางด้านการบริการ
                โรงฝิ่น เริ่มเข้ามาพร้อมกับคนจีน โดยนำมาบริการโดยทำเป็นร้านอย่างถาวร โดยจะให้บริการทั้งชาวไทยและชาวจีน ผู้มีรายได้มากๆจะขึ้นไปสูบข้างบน(อาคารที่เปิดเป็นสองชั้น)
การขยายตัวของโรงภาพยนตร์
                เริ่มมีมาตั้งแต่พ.ศ. 2476 ด้วยเช่นกัน โรงภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นโรงงานแรกคือ โรงภาพยนตร์
โควยู่ฮะตั้งอยู่ติดกับโรงฝิ่น ภาพยนตร์ที่ฉายเป็นระบบ 16 ม.ม.ซึ่งนำเข้าจากประเทศอเมริกา
                โรงภาพยนตร์อินทรกำแหง เกิดขึ้นหลังโรงภาพยนตร์โควยู่ฮะ
การขยายตัวของโรงแรม
                เมื่อมีผู้คนที่มาจากต่างที่ ต้องมีที่พักไว้ให้บริการ เพื่อที่จะนอนรอรถไฟ หรือพักผ่อนโดยมี 3 แห่งคือ โรงแรมจิงฮวด และโรงแรมเซงฮวด โรงแรมประเสริฐสุข
                ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา ซึ่งตรงกับรัฐบาลของจอมพล ป พิบูลสงคราม ซึ่งได้ทำสัญญาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยส่งผงให้เกิดการพัฒนาการชลประทานและการคมนาคมในภาคอีสานมากขึ้น โดยรัฐบาลได้ใช้เงินงบประมาณจำนวน 53 ล้านบาท เพื่อจ้างประชาชนในภาคอีสาน ให้ขุดดินพูนเป็นถนน ส่วนเส้นทางหลักที่เชื่อมระกว่างภาคกลางและภาคอีสานก็ได้มีการสร้างถนนตอนระหว่างจังหวัดนครราชสีมาถึงอำเภอบ้านไผ่ ระยะทาง 180 กิโลเมตร โดยได้ขยายผิวจราจรให้กว้างข้างละ 7 เมตร และขยายความกว้างของถนนจาก 8 เมตร ให้เป็น 11 เมตร พรเอมทั้งขยายและสร้างสะพานใหม่
และสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการพัฒนาภาคอีสานอย่างจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม โดยมีแผนพัฒนาอีสานซึ่งเน้นไปทางด้านการคมนาคมเป็นสำคัญ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาฯจำนวน 3,379.5 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณในเขตบูรณะทางหลวงสายหลัก 6 สาย  ซึ่งการบูรณะถนนในครั้งนี้มีผลต่อเศรษฐกิจของอำเภอบ้านไผ่โดยตรง  ได้แก่ทางหลวงสายอำเภอบ้านไผ่ ถึงจังหวัดหนองคาย มีการเวณคืนที่ดินเพื่อขยายถนนด้วย
นโยบายทางด้านการเกษตร
กรมเกษตรได้นำพันธุ์ข้าวที่ได้ศึกษาและพัฒนาสายพันธุ์แล้ว ไปจำหน่ายเพื่อให้เกษตรกรให้ได้มีข้าวพันธุ์ดีปลูก และราคาผลผลิตจะสูงกว่าข้าวพันธุ์พื้นเมือง นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชไร่ เนื่องจากราคาข้าวได้ลดลงมาตั้งแต่ไป พ.ศ. 2497 รัฐบาลจึงหันมาสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชไร่  โดยให้ปลูกพืชที่มีความเหมาะสมต่อสภาพพื้นที่
นโยบายทางด้านการเลี้ยงสัตว์
การเลี้ยงสัตว์เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่ง เนื่องจากเป็นอาหารและเป็นทรัพย์สินของชาวบ้านเกือบทุกครัวเรือน โดยในสมัยที่จอมพล ป เป็นนายกนั้นได้มีการส่งเสริมการเลี้ยง ไก่ กระต่าย นก เป็ด แพะ สุกร และห่านเป็นต้น โดยรัฐบาลได้ส่งเสริมที่เป็นไปตามแนวนโยบายของคณะกรรมการพิจารณาจัดระบอบอาชีพของราษฏรในภาคอีสานและยังช่วยในเรื่องการขยายพันธุ์สัตว์ด้วย
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
มีการขยายตัวทางด้านการค้า คือ การค้าภายในชุมชนบ้านไผ่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้บ้านไผ่เป็นตลาดสินค้าและเป็นที่กระการสินค้าอุปโภค บริโภค ไปยังชุมชนต่างๆ โดยผู้ที่ขายส่วนมากเป็นชาวจีนซึ่งเป็นผู้เชื่อมระหว่างตลาดภายในและภายนอกชุมชน รวมถึงนโยบายของรัฐทำให้ชุมชนบ้านไผ่มีการค้าขายที่คึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะร้านขายเครื่องอุปโภคบริโภค โดยในปี พ.ศ.2500 นั้นได้มีร้านค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นประมาณ 20 แห่ง และขนาดกลางอีกประมาณ 40 – 60 แห่ง ร้านค้าปลีกอีกประมาณ 40 – 50 แห่ง โดยร้านค้าทั่วไปยังเป็นตึกชั้นเดียวหลังคามุ่งด้วยสังกะสี
เกษตรกรที่นำผลผลิตทางการเกษตรมาขายในชุมชนบ้านไผ่ ขากลับก็จะซื้อเครื่องอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นต้องใช้ในครัวเรือนกลับไป และบางรายก็ซื้อสินค้ากลับไปขายที่หมู่บ้านของตนด้วย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ มีการขยายตัวของการค้าในอำเภอบ้านไผ่
การค้าผลผลิตทางการเกษตร เนื่องจากมีการเปิดโรงสีขึ้นในชุมชนบ้านไผ่ โดยพ่อค้าชาวจีนซึ่งได้เปิดรับซื้อข้าว แต่ต่อมากลุ่มชาวจีนพวกนี้ก็ได้หันมารับซื้อพืชเศรษฐกิจหลายชนิดมากขึ้น เช่น ปอ ป่าน ฝ้าย อ้อย มันสำปะหลัง เป็นต้น และจากการที่มีตลาดรองรับสินค้าทางการเกษตร ทำให้เกษตรการที่อยู่ใกล้เคียงได้มีการขยายพื้นที่ในการเพาะปลูกให้เพิ่มมากขึ้นด้วย แต่การปลูกข้าวในบางปีนั้นไม่ได้ผล อันเนื่องมาจากฝนแล้ง เกษตรกรจึงต้องหันมาปลูกพืชไร่แทน เพราะมีความทนต่อสภาพแวดล้อมและธรรมชาติได้ดีกว่า เช่น การหันมาปลูกปอ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงมาจากการผลิตข้าวเป็นจำนวนมาก จึงต้องการที่จะมีภาชะนะบรรจุข้าว จึงมีการใช้ปอมาสานเป็นกระสอบเพื่อใช้บรรจุข้าว ปอที่ใช้ปลูกมี 2 ชนิดคือ ปอแก้วและปอกระเจา
ส่วนการเลี้ยงสัตว์นั้นเป็นการเลี้ยงแบบดั้งเดิม ส่วนการนำไปขายนั้นจะเปลี่ยนจากการต้อนไปขายเป็นการขนใส่รถไฟไปขายแทน
เมื่อมีนโยบายการสร้างถนนมีมากขึ้น ชุมชนบ้านไผ่ก็ได้มีบริการรับส่งผู้โดยสารเกิดขึ้น เพื่อขนส่งผู้คนไปยังท้องที่ต่างๆ ส่วนการเดินทางของผู้คนภายในและชุมชนใกล้เคียงโดยใช้เส้นทางรถไฟ ที่สถานีบ้านไผ่ มีส่วนที่ทำให้การค้าภายในชุมชนบ้านไผ่คึกคักขึ้น เนื่องจากการเดินทางของผู้คน สินค้า และจากใช้จ่ายของผู้คน ซึ่งก่อให้เกิดอาชีพต่างๆ ในชุมชนบ้านไผ่เป็นจำนวนมาก
ชุมชนบ้านไผ่เป็นศูนย์กลางในการเดินของภาคอีสาน และเป็นชุมชนของผู้คนที่ใช้เส้นทางรถไฟ ชุมชนบ้านไผ่ ในปี พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา บ้านไผ่ยังคงเป็นศูนย์กลางทางการค้าอยู่ และเป็นที่เดินทางของคนในชุมชนและคนรอบนอก เช่น จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร เป็นต้น โดยมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณผู้โดยสาร
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าในช่วงนี้การค้ามีการขยายตัวและเป็นการค้าที่ใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า  ดังนั้นการชำระ การโอน การจ่ายเงินจึงมีความจำเป็นสำหรับพ่อค้าในตลาดบ้านไผ่  ซึ่งก่อนที่จะมีธนาคารที่บ้านไผ่นั้นชาวจีนจะทำการค้าซึ่งยึดหลักที่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน และทางรถไฟเองก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเดินทางของผู้คนให้ง่ายขึ้น ประกอบกับชุมชนบ้านไผ่เป็นชุมทางสำหรับการเดินทางไปในที่ต่างๆของภาคอีสานตอนล่าง จึงทำให้ปริมาณของผู้โดยสารที่สถานีรถไฟบ้านไผ่มีจำนวนมาก เช่น ในปี พ.ศ. 2476 มีจำนวน 9,277คน พ.ศ. 2480 มีจำพนวน28,324 คน เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผู้คนเดินทางมาอำเภอบ้านไผ่เพิ่มขึ้นทุกปี
จากการขยายตัวทางด้านการค้าและการเป็นศูนย์กลางการโทรคมนาคมโดยทางรถไฟ ทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชน และถนนสายต่างๆในชุมชนบ้านไผ่ เช่น ถนนอำมาตย์ ถนนเจนจบทิศ ถนนแจ้งสนิท ถนนสมาสบำรุง เป็นต้น การค้าในช่วงหลังนั้นพืชเศรษฐกิจจะเน้นไปทางพืชไร่มากว่า เพราะการปลูกพืชไร่นั้น มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนน้อย รวมทั้งเป็นผลมาจากการสร้างนโยบายการพัฒนาเส้นทางรถยนต์และส่งเสริมการเพาะปลูกของรัฐบาลเพื่อสนองความต้องการของตลาดภายนอก และชุมชนบ้านไผ่ยังมีการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะปอ โดยมี บริษัทปอไทยเรืองจำกัด เป็นผู้รับซื้อ จะเห็นได้ว่าบ้านไผ่จะเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อปอจากราษฏรในชุมชนใกล้เคียง ซึ่งการผลิตและการค้าปอของชาวบ้านนั้นมักจะประสบปัญหา เช่น การรุกรานพื้นที่ป่าสงวน จากการขยายพื้นที่ทางการเกษตร การทำลายแห่งน้ำ ดินมีคุณภาพต่ำ หรือปัญหาราคาปอมีราคาตกต่ำ แต่ถึงแม้ปัญหาเหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร แต่การดำเนินชีวิตของราษฏรต้องเกี่ยวพันธ์กับเงินตรา ดังนั้นการผลิตปอ จึงต้องดำเนินการต่อไปเพื่อสนองความต้องการของครอบครัวและความต้องการของตลาด
การปลูกข้าวยังใช้วิธีการเพาะปลูกเช่นเดิมแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตโดยมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวการใช้ปุ๋ย การใช้ย่าฆ่าแมลง แต่ชาวนายังไม่ได้สนใจวิธีการทำนาแบบใหม่ๆ เท่าที่ควร ทั้งที่มีการเพิ่มผลผลิตจากการขยายพื้นที่ทางการเพาะปลูกก็ตาม นอกจากนี้ยังประสบปัญหาความแห้งแล้ง ทำให้ชาวนาต้องออกไปรับจ้างขายแรงงานตามท้องที่ต่างๆ สำหรับการเลี้ยงโค กระบือ ใช้วิธีการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ และจากการไม่บริโภคกระบือมากนัก ทำให้นายฮ้อยต้อนลงไปขายภาคกลางแทน
ซึ่งปัจจัยต่างๆที่ทำให้ชุมชนบ้านไผ่ขยายตัวโดยเฉพาะตลาดสถานีบ้านไผ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมและเป็นศูนย์กลางทางการค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน ได้ยกเป็นฐานะเป็นสุขาภิบาลเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน เมื่อ ปี พ.ศ. 2498 เป็นต้นมาและในปี พ.ศ.2524 ได้กลายเป็นเทศบาลตำบล
การขยายตัวของชุมชนบ้านไผ่ได้ชะลอตัวลงเนื่องจากการสร้างทางหลวงหมายเลข 2  ตั้งจังหวัดนครราชสีมา ถึง บ้านไผ่ ในปี พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา บทบาทของทางรถไฟที่เคยใช้ในการขนส่งสินค้าก็ลดลงเพราะมีรถยนต์เพิ่มมากขึ้น รถจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ใช้ในการคมนาคมขนส่งของราษฏร และการสร้างทางหลวงหมายเลข 2 ไม่ได้ตัดผ่านเมืองบ้านไผโดยตรงทำให้คนไม่ต้องนอนพักที่บ้านไผ่ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการสร้างถนนหมายเลข 2 เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงการขนส่งจากการใช้รถไฟมาเป็นรถยนต์ และทำให้บ้านไผ่ไม่มีผู้คนมากดังในสมัยก่อน นอกจากนี้การขยายตัวของเมืองบ้านไผ่ก็ได้ชลอตัวลง อย่างมากในช่วงนี้*

                                                                                                                               
*นิรุบล อึ้งอารุณยะวี . สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. 2476 – 2506 .
       มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2543 .


                                                                                          



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น