การขยายตัวของชุมชนเมืองลุ่มน้ำชี ศึกษาเมืองร้อยเอ็ดและยโสธร
: ถนอม ตะนา1 นิภาพร กุลมาตย์ 2 และปกฬณ์ บุดดาเพ็ง3
:งบประมาณสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
บทคัดย่อ
การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนเมือง มีความสำคัญต่อการเข้าใจถึงพัฒนาการของเมืองที่ทำ
ให้เกิดเงื่อนไขในการขยายตัว ส่งผลต่อการเปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์ของเมืองในแต่ละมิติ
เวลา เมืองร้อยเอ็ดและเมืองยโสธรจึงเป็นกรณีของการศึกษานี้ โดยมีวิธีการสืบค้นข้อมูลด้วย
กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของชุมชน โดยผ่านการรื้อฟื้นความทรงจำของคนในชุมชน การเสวนา
กลุ่ม และจัดเวทีเสวนา ให้มีการแลกเปลี่ยนวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งการใช้เอกสาร
ผลการศึกษาพบว่า
1. พัฒนาการของเมืองแบ่งสมัยตามการขยายตัวเป็น 4 สมัยคือ 1) สมัยการตั้งบ้านแปงเมือง
กลุ่มไทยลาวเข้ามาตั้งบ้านแล้วยกบ้านเป็นเมือง อยู่กันเป็นคุ้มวัด ปัจจัยสี่ในการดำเนินชีวิตอยู่บน
ฐานทรัพยากรเครือข่ายของท้องถิ่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ควบคุมพฤติกรรมของชุมชนด้วยพิธีกรรม 2) สมัย
การปรับตัว เมืองปรับตัวตามส่วนกลางเข้ามาปฏิรูป รัฐเข้ามาแย่งฐานทรัพยากรของชุมชน 3) สมัย
การขายที่ขายนา ปี พ.ศ. 2480-2519 พ่อค้าชาวจีนและคนต่างถิ่นเข้ามาแทนที่ในคุ้มผลักดันให้ชาว
คุ้มออกสู่ที่นาและขายที่ขายนา 4) สมัยการพัฒนาปี พ.ศ. 2520-2543 เมืองพัฒนาทันสมัยด้วย
เทคโนโลยี ฐานทรัพยากรเดิมของชุมชนหมดไป
2. การขยายตัวของเมือง ในสมัยแรก ขยายตัวในที่บ้านและสวน สมัยปฏิรูป บ้านเรือน
ขยายตามถนน หน่วยงานรัฐที่เกิดใหม่ เกิดตลาดมีร้านค้าตามริมถนนโดยพ่อค้าชาวจีน โรงสีตามท่า
ข้าวริมน้ำชี สมัยขายที่ขายนา ชาวคุ้มออกสู่ที่นามากขึ้น เกิดคุ้มใหม่ที่มีคนต่างถิ่นมากแต่ไม่มีวัด
หน่วยงานรัฐในเมืองร้อยเอ็ดขยายออกสู่ที่นามาก เมืองยโสธรเริ่มออกสู่ฝั่งเมืองใหม่ มีคุ้มใหม่ตาม
หน่วยงานรัฐ โรงเรียน ย่านการค้า การค้า การอุตสาหกรรม การบริการใหม่ขยายตัวบนฐานระบบ
ทุนนิยม สมัยการพัฒนา หลังปี พ.ศ. 2520 ที่อยู่อาศัยแบบใหม่คือ บ้านจัดสรร หอพัก บ้านเช่า
1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม (หัวหน้าโครงการ)
2 หัวหน้างานวิเคราะห์นโยบายและแผน กองวิชาการและแผนงาน เทศบาลเมืองมหาสารคาม
(นักวิจัย)
3 อาจารย์โรงเรียนขัติยะวงษา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด (นักวิจัย)
2
ขยายเข้าใกล้หน่วยงาน สถานศึกษา การค้า อุตสาหกรรม การบริการ ขยายออกสู่เขตตำบลรอบนอก
เกิดอุตสาหกรรมใหม่ในลำน้ำชี
3. ปัจจัยที่มีต่อการขยายตัวของเมือง ทั้งสองเมืองมีปัจจัยคล้ายคลึงกัน คือ 1) การเพิ่มของ
ประชากรตามธรรมชาติ และคนต่างถิ่นเข้ามามากในสมัยขายที่ขายนา มาจากตำบลและอำเภอรอบ
นอก หลังปี พ.ศ.2520 มาจากต่างจังหวัด กลายมาเป็นคนส่วนมากของเมือง 2) นโยบายของรัฐเข้า
มาจัดระเบียบเมืองตั้งแต่สมัยการปฏิรูป มาถึงสมัยมีองค์กรเทศบาลร่วมกับจังหวัด และการพัฒนา
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-3 เน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฉบับที่ 4-7
เน้นกระจายความเจริญภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการให้เป็นฐานเศรษฐกิจด่านหน้าสู่
ตลาดอินโดจีน และ 3) การขยายตัวของย่านการค้า อุตสาหกรรม การบริการของนายทุนเชื้อสายจีน
4. ระบบความสัมพันธ์ของเมือง มีโครงสร้างความสัมพันธ์คือ 1) ครอบครัว เครือญาติ คุ้ม
สัมพันธ์ในเครือข่ายการผลิตที่เปลี่ยนไปตามการขยายตัว 2) องค์กรรัฐตั้งแต่ระบบอาญาสี่ ระบบ
มณฑล มาสู่องค์กรเทศบาล และองค์กรให้บริการเฉพาะกิจ เข้ามาสัมพันธ์กันตามบทบาทหน้าที่
3) องค์กรวัด มีกิจกรรมทางศาสนาประเพณีเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชน 4) สิ่งศักดิ์สิทธิ์
คู่บ้านคู่เมืองมาควบคุมพฤติกรรมตามความเชื่อ 5) ฐานทรัพยากรท้องถิ่นคือ พื้นที่ป่า แหล่งน้ำ ที่
นา เป็นปัจจัยการผลิตมาแต่อดีต ณ วันนี้ได้หมดไป เมืองต้องพึ่งพาตลาดซึ่งมีฐานการผลิตจาก
ภายนอก 6) เกิดเครือข่ายกลุ่มเป็น ชมรม สมาคม กลุ่มการเมือง กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มสังคมและ
วัฒนธรรมที่หลากหลาย มีความสัมพันธ์เฉพาะกลุ่ม 7) เครื่องมือที่เป็นพลังเข้มแข็งเชื่อมโยงผู้คน
คือ ประเพณีของเมือง ร้อยเอ็ดคือบุญผะเหวด ยโสธรคือบุญบั้งไฟ 8) กับตำบลรอบนอก ในอดีตใช้
ฐานทรัพยากรร่วมกัน ครั้นมาถึงสมัยการพัฒนา ฐานการผลิตของตำบลเป็นที่รองรับการขยายตัว
ของเมืองที่ล้นออกไป ตำบลถูกโยงเข้ามาดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเมือง ต้องปรับวิถีคิดและ
บริโภคตามแบบเมือง
สำนึกการรับรู้ของคนในชุมชนเมือง มีการตื่นตัว และมีพลังการเคลื่อนไหวที่กระจัด
กระจาย ยังขาดตัวเกี่ยวร้อยเข้ามาให้เกิดความเข้มแข็งที่นำไปสู่กิจกรรมหลักในการพัฒนา ดังนั้น
หากองค์กรและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง สร้างความเชื่อมโยงเกาะเกี่ยวพลังทั้งหลายที่มีอยู่มาเสริมสร้างความ
เข้มแข็งให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเมือง
ความสำคัญของการวิจัย
ภาคอีสานเป็นภาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่ 1 ใน 3 ของประเทศ มีลุ่มน้ำสาย
สำคัญ เช่น ลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มแม่น้ำชี และลุ่มแม่น้ำมูล ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความสำคัญต่อการเกิดและ
3
เจริญเติบโตของชุมชน โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำชีมีความยาวถึง 765 กิโลเมตร ไหลผ่านจังหวัดชัยภูมิ
ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ดกาฬสินธุ์ ยโสธร ไปบรรจบแม่น้ำมูลที่จังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะ
ลุ่มแม่น้ำชีแบ่งเป็น 3 ตอนคือ ลุ่มแม่น้ำชีตอนบนเป็นที่ราบสูงและภูเขา ในเขตจังหวัดชัยภูมิ
ขอนแก่น ลุ่มแม่น้ำชีตอนกลางเป็นที่ราบลุ่ม ในเขตจังหวัดมหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และลุ่ม
แม่น้ำชีตอนล่างเป็นที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดยโสธร อุบลราชธานี
ในอดีตบริเวณลุ่มแม่น้ำชีมีการตั้งชุมชนมานานเป็นนับพันปี นับจากชุมชนสมัยทวารวดีที่
มีลักษณะคูน้ำคันดินรอบชุมชนและมีโบราณวัตถุโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นหลักฐาน
จนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ 22-24 เป็นต้นมา การตั้งชุมชนในบริเวณลุ่มน้ำชีมีลักษณะต่าง ๆ iดังนี้
กลุ่มแรก ผู้นำตั้งเมืองล้วนเป็นขุนนางจากอาณาจักรล้านช้าง พาผู้คนอพยพมา
ตั้งเมือง เช่น กลุ่มพระวอ พระตา ผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี ท้าวแล ตั้งเมืองชัยภูมิ ท้าวโสมพะมิต
ตั้งเมืองกาฬสินธุ์เชื้อสายเจ้าเมืองเหล่านี้ได้ขยายตั้งเมืองใหม่ เช่น ยโสธร
กลุ่มที่สอง เมืองที่เกิดจากเจ้านายล้านช้างส่งพระญาติวงศ์หรือขุนนางรวบรวมผู้คน
มาตั้งเมืองให้อยู่ในอำนาจของตนเช่น ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ
กลุ่มที่สาม เมืองที่เกิดจากการขยายตัวของเมืองใหญ่แบ่งปันผู้คนให้ไปตั้งเมืองใหม่
ขึ้นมา เช่น เมืองมหาสารคาม สุวรรณภูมิ พยัคฆภูมิพิสัย จตุรพักตรพิมาน
กลุ่มที่สี่ เมืองที่เกิดจากการตั้งตนของขุนนาง รวมทั้งเกิดความขัดแย้งในกลุ่มขุนนาง
จึงขอยกบ้านเป็นเมือง เช่น ขอนแก่น โกสุมพิสัย เสลภูมิ เกษตรวิสัย ชนบท กมลาไสย ฯลฯ
กลุ่มที่ห้า นโยบายของส่วนกลางของรัฐบาลกรุงเทพฯโดยตรงที่ขยายอำนาจใน
ภาคอีสานโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์มาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
รัชกาลที่ 5 จึงเกิดการตั้งเมืองใหม่ขึ้นอีก เช่น พนมไพร
เมืองที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล ล้วนมาจากการยก
บ้านเป็นเมืองมีทำเลที่อุดมสมบูรณ์ที่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น อุบลฯ-แม่น้ำมูล ยโสธร-แม่น้ำชี กาฬสินธุ์-
น้ำก่ำ ลำปาว ขอนแก่น-บึงบอน บึงพระลับ น้ำชี มหาสารคาม-ห้วยกุดนางใย สุวรรณภูมิ-ลำน้ำ
เสียว ร้อยเอ็ด-ลำห้วยเหนือ บึงพลาญชัย ชุมชนที่เติบโตขึ้นหนาแน่นใกล้บ้านเจ้าเมือง และรอบ ๆ
แหล่งน้ำ ครั้นปี พ.ศ.2434 รัฐบาลกลางเข้ามาปฏิรูปจัดการปกครองรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล
ยโสธรถูกลดฐานะลงเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลฯ ส่วนร้อยเอ็ดได้ยกฐานะเป็นมณฑลร้อยเอ็ด
ในปี พ.ศ. 2455 เมืองร้อยเอ็ดขยายตัวตามนโยบายรัฐส่วนกลาง เพราะเป็นศูนย์การปกครองมณฑล
และศูนย์การค้า โดยมีพ่อค้าชาวจีนมาตั้งย่านการค้านำเครื่องอุปโภคบริโภคแบบใหม่จากกรุงเทพฯ
เข้าสู่เมืองมากกว่าเดิม ทำให้ผู้คนปรับวิถีการบริโภคที่พึ่งตลาด รับวัฒนธรรมใหม่จากกรุงเทพฯเพิ่ม
ขึ้นเรื่อย ๆ
4
ครั้นหลังจากปี พ.ศ. 2476 ส่วนกลางให้ท้องถิ่นดูแลพัฒนาท้องถิ่นตนเองภายใต้องค์กร
เทศบาล ร้อยเอ็ดเคยเป็นศูนย์มณฑลมาก่อนมีการขยายตัวมากกว่ายโสธรที่เป็นอำเภอ ครั้นรัฐบาล
มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา ได้เน้นพัฒนาโครงสร้าง
สาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา และการบริการ เมืองจึงขยายตัวทั้งที่อยู่อาศัย หน่วยงาน
ราชการ การค้าการบริการ การอุตสาหกรรม ต่อเนื่องมา จนหลังปี พ.ศ. 2520 เมืองขยายตัวเต็มพื้นที่
ออกสู่บริเวณตำบลรอบนอก นำความเจริญแบบเมืองสู่ตำบล ผู้คนในเมืองและตำบลจึงสัมพันธ์กัน
ในระบบการผลิตการบริโภคตามกระแสบริโภคนิยมสมัยใหม่
การขยายตัวเมืองมิได้เปลี่ยนแปลงเฉพาะทางด้านกายภาพเท่านั้น หากแต่มีผลต่อ
โครงสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนในเมืองกับวันวารที่ผ่านมา ดังนั้น การศึกษาการขยายตัวของ
เมืองจะทำให้เข้าใจพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งในเชิงเกื้อหนุนและ
ขัดแย้งของผู้คนในเมือง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่ทุกคนรับรู้ร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้าง
สำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกันของผู้คน เป็นพื้นฐานของการศึกษาเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความ
เข้มแข็งของชุมชนอีกโสดหนึ่งด้วย เช่น รื้อฟื้นความทรงจำทางสังคมของชุมชนที่จะส่งผลต่อการ
สร้างพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง และเสริมสร้างพลังของชุมชนที่ต้องการอนุรักษ์คุณค่าทางสังคมและ
สร้างบ้านแปงเมืองให้เกิดผลที่งดงามต่อเมืองในอนาคต
จากความสำคัญดังกล่าว จึงเลือกพื้นที่ศึกษา 2 เมือง คือ เมืองร้อยเอ็ด อยู่ไกลแม่น้ำชี มีการ
ขยายตัวมานานอย่างต่อเนื่องตามเส้นทางเดิมในอดีตที่เชื่อมกับอำเภอและจังหวัดใกล้เคียงรอบเมือง
ถึง 9 เส้นทางเหมือนใยแมงมุม สภาพชุมชนดั้งเดิมหลงเหลือน้อย และ เมืองยโสธร อยู่ริมแม่น้ำชี
ภายหลังยกฐานะเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา จึงมีการขยายตัวมากในด้านทิศเหนือถนน
แจ้งสนิทซึ่งเป็นถนนสายหลักเชื่อมจังหวัดร้อยเอ็ดกับจังหวัดอุบลราชธานี เป็นชุมชนเมืองใหม่ที่
แตกต่างจากชุมชนฝั่งเมืองเก่าซึ่งมีสภาพดั้งเดิมมากควรแก่การอนุรักษ์ไว้
เมืองร้อยเอ็ด มีการขยายตัวภายในคูเมืองชาวเมืองอยู่กันเป็นคุ้มรอบ ๆ วัด มีย่านการค้า
ของชาวจีนอยู่ตามแนวถนนผดุงพานิช ที่เทศบาลสร้างตลาดสดขึ้นในปี พ.ศ. 2499 และย่านตลาด
พ่อค้าชาวจีนสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2506-2507 คือตลาดหนองแคน ตลาดทุ่งเจริญ ส่วนชาวพื้นเมือง
จากรอบนอกเทศบาลเริ่มอพยพเข้ามาประกอบอาชีพมากขึ้น หลังปี พ.ศ. 2520 เมืองขยายตัวเร็ว
ออกทุกทิศทางรอบเมืองตามเส้นทางถนนเลี่ยงเมืองเชื่อมกับอำเภอต่าง ๆ และจังหวัดใกล้เคียง
หน่วยงาน สถานศึกษา สถานพยาบาลทั้งของเอกชนและรัฐ บริษัทห้างร้าน หมู่บ้านจัดสรร
ศูนย์บริการเกี่ยวกับยานยนต์ ล้วนขยายตัวออกสู่เขตตำบลรอบนอกที่เชื่อมกับเมือง
5
เมืองยโสธร ชุมชนเก่าดั้งเดิมเติบโตอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี ทางทิศใต้ของถนนแจ้งสนิทมาติดริมน้ำชี ทั้ง
8 คุ้ม ภายหลังได้รับยกฐานะเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมาจึงขยายตัวออกสู่ทางทิศเหนือ
ถนนแจ้งสนิทฝั่งเมืองใหม่ตามเส้นทางเชื่อมกับตำบลรอบนอกอย่างหนาแน่นและรวดเร็ว
เมืองร้อยเอ็ด และเมืองยโสธรต่างก็เป็นเมืองที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่เป็นพลังทาง
สังคมมาแต่อดีต จึงพบว่าเมื่อกระแสการเปลี่ยนแปลงใหม่มากระทบ จึงทำให้คนหันมาสำนึก
ร่วมกันเคลื่อนไหวทำกิจกรรมทั้งเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรม
ดั้งเดิม เช่น เมืองยโสธร มีกลุ่มเศรษฐกิจ ข้าราชการบำนาญ กลุ่มรักยโสธร กลุ่มมเหศักดิ์
หลักเเมือง กลุ่มชาวคุ้มและมูลนิธิรวมสามัคคียโสธรของชาวจีน แต่ละกลุ่มมีกิจกรรมของตน และ
ร่วมกันในงานของชุมชนด้านประเพณีที่ทำกันมานานคือ บุญบั้งไฟ เมืองร้อยเอ็ด มีการรวมตัวของ
กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มข้าราชการและประชาชน ที่ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อชุมชน เช่น กลุ่มรักร้อยเอ็ด
สาเกตนคร มีข้าราชการ นักธุรกิจ ข้าราชการบำนาญ เพื่อร่วมกันพัฒนาเมืองให้สวยงามน่าอยู่ โดย
ฟื้นฟูสภาพเมืองคูน้ำคันดิน แก้ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม และฟื้นฟูประเพณีบุญผะเหวด ให้เป็น
เอกลักษณ์ของเมือง ตลอดจนมีผู้สืบสานงานศิลปะการแสดงพื้นบ้านแบบดั้งเดิมของหมอลำให้คง
อยู่ไม่ให้เปลี่ยนไปตามกระแสสมัยใหม่
ดังนั้น การที่คนมารวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อตนเองหรือเพื่อส่วนรวมในระดับกลุ่ม
ก็ดี จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรได้รับการกระตุ้นสำนึกทางประวัติศาสตร์ ให้เขารู้จักชุมชนของตนเองว่า
ได้เปลี่ยนผ่านจากอดีตมายังปัจจุบันนั้น ได้เกิดอะไรกับชุมชนของตนเองบ้าง เพื่อนำไปสู่การสร้าง
ความทรงจำร่วมที่ให้เกิดสำนึกรัก หวงแหน ร่วมกันในการพัฒนาชุมชนของตนเองต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาพัฒนาการของเมือง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวของ เมือง ซึ่งจะ
ทำให้เข้าใจ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการขยายตัวและลักษณะการขยายตัว
2. เพื่อศึกษาความสลับซับซ้อนของ เมือง ที่มีระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซ้อนทับ
ระหว่างสังคมประเพณีและสังคมสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมที่มีระบบความสัมพันธ์โยงใย
กับชุมชนอื่น ๆที่อยู่นอก เมือง
3. เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาเมือง
คำถามการวิจัย
1. พัฒนาการและการขยายตัวของ เมือง เกิดขึ้นจากอะไร และเป็นไปในลักษณะใด
2. ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจภายในเมืองเป็นอย่างไร
6
3. ระบบความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนในเมืองกับอาณาบริเวณนอกเมืองเป็นอย่างไร
4. การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีผลต่อความตื่นตัวของคนในท้องถิ่นในการทำ
กิจกรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นร่วมกันเพียงไร อย่างไร
ขอบเขตการวิจัย
ขอบเขตพื้นที่ศึกษาคือ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด และเทศบาลเมืองยโสธร ขอบเขตมิติเวลาเริ่ม
จากการตั้งเมือง ถึงปี พ.ศ. 2545
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับการขยายตัวเมือง และระบบความสัมพันธ์ของคนในเมืองและ
นอกเมืองที่เกี่ยวข้อง
2. คนในชุมชนได้ถ่ายทอดความทรงจำเรื่องราวของชุมชนตนเองจากเวทีเสวนา เรียนรู้
และกระตุ้นสำนึกร่วมกันถึงการเปลี่ยนแปลงจากการขยายตัวของเมือง ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นความ
ทรงจำร่วมทางสังคมได้เปลี่ยนไป เพื่อการอนุรักษ์สืบทอด ฟื้นฟู และพัฒนา ตลอดจนนำไปสู่การ
สร้างพิพิธภัณฑ์เมือง
วิธีการวิจัย
1. การวิจัยใช้วิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์ โดยศึกษาจากเอกสาร หลักฐาน สถานที่ บุคคล ที่
เกี่ยวข้อง
2. การสัมภาษณ์ โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ เช่น ผู้รู้ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ
ผู้นำองค์กร กลุ่มต่าง ๆ และประชาชนที่เกี่ยวข้อง
3. จัดกลุ่มเสวนา กับผู้รู้ ผู้นำองค์กร กลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การสัมภาษณ์ข้อมูลเจาะลึก
4. การสังเกต โดยสังเกตสภาพชุมชนที่เป็นชุมชนเก่าและใหม่ที่ขยายตัว ซึ่งมีความ
เชื่อมโยงจากศูนย์กลางในเมืองออกสู่นอกเมืองประกอบการอธิบายจากการสัมภาษณ์ และสังเกต
กิจกรรมร่วมของชุมชน
5. จัดเวทีเสวนาเพื่อเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันของผู้คนในพื้นที่ และตรวจ
สอบข้อมูลและร่วมกันหาแนวทางในการพัฒนาชุมชนของตนเอง
7
การนำเสนอผลการวิจัย
การนำเสนอผลการวิจัยในสองพื้นที่ แบ่ง เป็น 4 สมัยตามมิติเวลาที่มีการปรับเปลี่ยน
ภายในเมือง ช่วงแรก คือสมัยตั้งบ้านแปงเมือง เริ่มตั้งแต่การยกบ้านเป็นเมือง ก่อนการปฏิรูปเป็น
มณฑล ช่วงที่สอง คือสมัยปรับตัว เริ่มการปฏิรูปเป็นมณฑล ที่เมืองต้องปรับตัวรับรูปแบบเมือง
ตามส่วนกลาง ก่อนมีเทศบาลเข้ามาพัฒนา ช่วงที่สาม คือสมัยการขายที่ขายนา เมืองมีองค์กร
เทศบาลมาพัฒนา และเมืองพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา ช่วง
สุดท้ายคือ สมัยการพัฒนาและฟื้นฟู จากปี พ.ศ. 2520 – 2545
สรุปผลการวิจัย
บริเวณที่ตั้งชุมชนเมืองร้อยเอ็ดและยโสธร มีร่องรอยการตั้งชุมชนโบราณแต่สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ปรากฎในตำนานอุรังคธาตุ กล่าวถึง เมืองร้อยเอ็ดคือ เมืองสาเกตนคร มีเมืองขึ้น
11 เมือง ประตู 11 ประตู มาถึงสมัยทวารวดีสิ่งก่อสร้างปรากฏหลงเหลือในเมืองร้อยเอ็ดคือ คู
น้ำ คันดิน เจดีย์อิฐที่วัดเหนือ ใบเสมาพบในหลายวัด สมัยวัฒนธรรมขอม ก็ปรากฏหลักฐาน
จารึกอักษรขอม ซากเทวาลัยในเมืองร้อยเอ็ด ส่วนเมืองยโสธร พบจารึกตาดทอง และเมือง
โบราณที่ดงเมืองเตย โบราณวัตถุและจารึกบ้านเมืองเตยได้กล่าวถึงเมืองชื่อ สังขะปุระ ซึ่งแสดง
ให้เห็นถึงการตั้งชุมชนร่วมสมัยกันมาแต่โบราณ
เมืองสมัยการตั้งบ้านแปงเมือง
ทั้งสองเมืองตั้งชุมชนทับรอยชุมชนเดิม ผู้มาตั้งเมืองล้วนเป็นขุนนางมาจากล้านช้าง
ร้อยเอ็ดขอยกบ้านกุ่มฮ้างเป็นเมืองร้อยเอ็ดในปี พ.ศ. 2318 ยโสธรขอยกบ้านสิงห์ท่าเป็นเมือง
ยโสธร ในปี พ.ศ. 2357 บริเวณที่ตั้งเมืองมีความเหมาะสมคือ มีแหล่งน้ำ กล่าวคือ เมืองยโสธร
ติดลำน้ำชีมีกุดใกล้น้ำชี และลำน้ำทวน เมืองร้อยเอ็ดเป็นเมืองไกลน้ำชี แต่มีแหล่งน้ำคือ ลำห้วย
เหนือ บึง หนอง และสระกระจายทุกคุ้ม ลักษณะตั้งบ้านเรือนอยู่บนที่เนินสูง แล้วค่อยลาดต่ำลง
ไปยังบริเวณแหล่งน้ำเพาะปลูก
บ้านเรือน อยู่กันเป็นคุ้ม ๆ ขยายตัวหนาแน่นรอบ ๆ วัดมีวัดประจำคุ้ม แบ่งคุ้มโดย ยึด
เอาวัดเป็นเกณฑ์แบ่ง บ้านเรือนอยู่ใกล้วัดใดก็คือคุ้มวัดนั้น และแบ่งตามสถานที่ ร้อยเอ็ดมีสระ
กระจายอยู่ตามคุ้มจึงเรียกชื่อคุ้มตามชื่อสระ เช่น คุ้มสระทอง สระบัว เป็นต้น แต่ละคุ้มอยู่ทางทิศ
เหนือบึงพลาญชัย บริเวณเนินสูงไปทางลำห้วยเหนือ ทางทิศใต้เป็นที่นาสลับป่าที่เป็นแหล่งอาหาร
8
ธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีคูน้ำคันดินเป็นเนินกำแพงรอบเมือง เมืองยโสธร ชุมชนอยู่ทางทิศเหนือ
แม่น้ำชี บนที่เนินสูงมาทางทิศเหนือขนานไปกับลำน้ำชี มีพื้นที่บุ่งใหญ่ติดน้ำชี เป็นที่เพาะปลูก มี
ที่นาสลับกับป่าอยู่รอบ ๆ ทางฝั่งทิศเหนือ บ้านเรือนมีบริเวณกว้าง มีที่สวนปลูกไม้ผลพืชผัก
เรือนมีใต้ถุนสูง หลังคามุงหญ้า อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ บ้านจึงเป็นเรือนโข่งและเรือนแฝดไม่มี
รั้วกั้น มีทางเดินหรือทางเกวียนสัญจรไปมาหาสู่กัน
ระบบความสัมพันธ์ของเมือง ในสมัยนี้ความสัมพันธ์มีลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ
ความสัมพันธ์กับองค์กรปกครอง นับแต่ยกบ้านเป็นเมือง โดยขุนนางที่มาจากล้านช้าง
ได้นำเอาระบบอาญาสี่มาปกครอง เจ้าเมืองมีอำนาจสูงสุด รองลงมาคือ อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร
และกรมการเมืองอื่น ๆ ในองค์การปกครองเมืองอยู่ในระบบเครือญาติและอุปถัมภ์ สร้างเครือข่าย
เมืองให้กับลูกหลานและญาติด้วยการแบ่งผู้คนให้ไปขอตั้งเมืองใหม่ ได้รับการแต่งตั้งและ
บรรดาศักดิ์จากส่วนกลาง ภาระที่เมืองให้ส่วนกลางคือ การถือน้ำพิพัฒน์สัตยาแสดงความ
จงรักภักดี และส่งส่วย ตลอดจนการเกณฑ์แรงงานให้ในวาระจำเป็นที่ส่วนกลางต้องการ
ศูนย์กลางของเมืองคือ โฮงเจ้าเมือง (บ้าน) โฮงเจ้าเมืองย้ายไปอยู่คุ้มใดคุ้มนั้นก็เป็นศูนย์กลาง
ครอบครัวและเครือญาติ ในกลุ่มไทยลาวอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีความผูกพัน
ทางเครือญาติแน่นแฟ้น นับญาติทั้งสายตระกูล การแต่งงาน การผูกเสี่ยว ที่มีความซับซ้อนที่ญาติ
แต่ละฝ่ายถูกดึงเข้ามานับญาติกันด้วย ความเป็นญาติเหนียวแน่นเข้มข้นขึ้น เมื่องานประเพณีและ
งานมงคลต่าง ๆ เป็นตัวเชื่อมโยงญาติเข้ามาสัมพันธ์กัน ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างคุ้ม
นอกเหนือจากการเป็นเครือญาติแล้วก็คือ การมีความเป็นชาวคุ้มเดียวกัน เป็นเพื่อนบ้าน หรือบ้าน
ใกล้เรือนเคียง
ความสัมพันธ์กับกลุ่มชาวจีน เป็นชาวจีนรุ่นอพยพที่เข้ามาสู่ภาคอีสานก่อนสมัยมณฑล
ยังมีไม่มาก ส่วนมากเป็นจีนแต้จิ๋ว เช่น ที่เมืองร้อยเอ็ดรุ่นแรกมาตั้งร้านค้าที่ถนนผดุงพาณิช
เมืองยโสธรที่หน้าวัดสิงห์ท่า แถวหลักเมือง ค้าขายสินค้าเบ็ดเตล็ดและของป่า สัมพันธ์กับชาวคุ้ม
ในลักษณะพ่อค้าและลูกค้า การแต่งงาน และอิงชนชั้นผู้ปกครองเพื่อให้การค้าและอยู่ในชุมชนได้
มั่นคง
ความสัมพันธ์ในระบบการผลิต เป็นการผลิตแบบเลี้ยงตัวเอง เหมือนกันทุกแห่งของ
ชุมชนไทยลาวภาคอีสานคือ ผลิตปัจจัยการดำรงชีวิต โดยพึ่งพาทรัพยากรท้องถิ่นที่มีความอุดม
สมบูรณ์ ทั้งพื้นที่นา แหล่งน้ำ ป่าไม้ และกล่าวคือ
บ้านเรือน เนื่องจากอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ จึงมีวัฒนธรรมการปลูกเรือนขนาดใหญ่เป็น
เรือนแฝด เรือนโข่งเป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง หลังคามุงหญ้า มีเฉพาะตึกดินของชาวจีนไม่มีใต้ถุน มี
ไม้อุดมสมบูรณ์ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ที่ใช้ร่วมกัน
9
เครื่องนุ่งห่ม แทบทุกครัวเรือนทอผ้าใช้สอยในครัวเรือนไม่ต้องซื้อ หากมีส่วนเกินก็นำ
ไปแลกสิ่งของอื่นที่ทำเองไม่ได้ ดังนั้นชาวเมืองในอดีตจึงชำนาญในการทอผ้าฝ้าย ผ้าไหม ซึ่งเป็น
ภูมิปัญญาชาวบ้าน ครั้นชาวจีนเข้ามาจึงเริ่มนำผ้าเจ๊กสำเร็จรูปเข้ามาใช้ในวงจำกัดเฉพาะผู้มีเงินก่อน
เครื่องใช้ สานด้วยไม้ไผ่พวกกระด้ง ครุ ตะกร้า กระติบข้าว ทำได้เอง ซึ่งเป็นงานของ
ผู้ชาย เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยวัสดุท้องถิ่นมีเฉพาะบางชุมชน ที่เกิดช่างชำนาญเฉพาะอย่าง ก็
ใช้วิธีนำสิ่งของอื่นไปแลกเปลี่ยนกันระหว่างเมืองต่าง ๆ เช่น หม้อ ไห โอ่ง มาจากมหาสารคาม
โคราช ธวัชบุรี ร้อยเอ็ด เครื่องเหล็กเป็นเครื่องมือทำนา เช่น มีด เคียว คราด จอบ เสียม เฉพาะ
ในเมืองมีไม่เพียงพอ ส่วนมากมาจากเขตอำเภอในจังหวัดร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี พาหนะ
เดินทางที่สำคัญใช้ในหมู่ข้าราชการ ผู้มีเงินคือ ม้า ส่วนใช้ในการบรรทุกคือเกวียน มีชื่อเสียงมา
จากอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด และบ้านนาสะไมย์ จังหวัดยโสธร
อาหาร ข้าวเหนียวและปลาน้ำจืดเป็นอาหารหลักของอีสานที่หาได้จากแหล่งน้ำ ปลาที่
รสชาติอร่อยผู้คนนิยมคือ ปลาน้ำชี เมืองยโสธรติดลำน้ำชี ปลาตามฤดูกาลจึงอุดมสมบูรณ์ ส่วน
เมืองร้อยเอ็ดห่างลำน้ำชีแต่ก็ได้บริโภคจากการไปแลกในเขตอำเภอธวัชบุรีและเสลภูมิ ปลาจาก
แหล่งน้ำอื่น ๆ เช่น ห้วย หนอง ก็อุดมสมบูรณ์ พืชผักสวนครัว ไม้ผล ปลูกเองตามสวนไร่นา
และอาหารธรรมชาติตามฤดูกาลจากป่าที่อยู่รอบเมือง
การรักษาโรค รักษาด้วยสมุนไพรเป็นยาพื้นบ้านเรียก ยาซุม มีทั้ง ต้ม ฝน ทา ยา
ลูกกลอน หมอยาสมุนไพรพื้นบ้านมีทั้งพระสงฆ์ หมอชาวบ้าน และรักษาด้วยความเชื่อ เช่น
คาถาอาคม รดน้ำมนต์ หมอธรรม รำผีฟ้า
พื้นที่นา การทำนาเป็นอาชีพหลักของชาวคุ้มมาแต่อดีต พื้นที่นาเมืองร้อยเอ็ดอยู่รอบ
เมืองสลับพื้นที่ป่า เมืองยโสธรที่นาอยู่รอบเมือง ทางฝั่งทิศเหนือมีมาก และอยู่ตรงข้ามน้ำชี ที่นา
อยู่ใกล้น้ำชีมีปัญหาน้ำท่วมมาก ชาวคุ้มที่มีปัญหาน้ำท่วมนาจึงมีอาชีพหลักคือ หาปลาน้ำชี นำไป
แลกข้าวจากตำบลรอบนอก ที่นาได้มาจากการจับจองถากถางที่ป่าเป็นนามากน้อยตามปริมาณ
แรงงานหรือสมาชิกในครอบครัว ถ้าสมาชิกน้อยประมาณครัวละ 10-20 ไร่ ถ้ามีสมาชิกมากครัว
ละประมาณ 50 ไร่ หรือมากกว่านั้น กลุ่มมีที่นามากคือ เจ้าเมืองและกรมการเมือง เนื่องจาก
สามารถใช้แรงงานจากชาวคุ้มซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของตนได้ รวมทั้งมีข้าทาสบริวารรับใช้
จำนวนมากด้วย ในระยะนี้ที่ดินยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ คุณค่าของที่ดินเป็นเพียงปัจจัยการผลิตพอ
เลี้ยงตัวเองที่สามารถจับจองถากถางได้ง่ายตามกำลังแรงงานที่มีในครอบครัว
พื้นที่ป่า เป็นแหล่งอาหารตามฤดูกาล เช่น เห็ด หน่อไม้ ไข่มดแดง ผักป่า สัตว์ป่า
และแหล่งใช้สอยจากป่า เช่น ไม้ ฟืน น้ำมันยาง (ทำไต้) ครั่ง มีอยู่รอบเมือง ร้อยเอ็ดมีป่าหนอง
10
แสง ดงอีหูด ดงอีเย็น เหล่าบักเล ยโสธรมี บักดอนลาย ป่าดงเค็งข้ามฝั่งชีเขตพนมไพร ป่าบุ่ง
ใหญ่ ดงบักอี่ บ๋าอีเจิม ไม้ใช้สอยปลูกสร้างมาจากป่าในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มุกดาหาร กาฬสินธุ์
แหล่งน้ำ มี 2 ลักษณะ คือ
1. แหล่งน้ำใช้สอยเพาะปลูก ร้อยเอ็ดมีลำห้วยเหนือทางทิศเหนือเมือง โค้งมา
ทางทิศตะวันตก และสระกระจายตามคุ้มต่าง ๆ ตลอดจนหนองขนาดใหญ่ใกล้พื้นที่นา ส่วน
เส้นทางการค้าข้าว เมืองร้อยเอ็ดได้พึ่งพิงลำน้ำชีที่อยู่ในเขตอำเภอรอบนอกคือ อำเภอจังหาร ธวัช
บุรี เสลภูมิ เป็นท่าข้าว ขนส่งโดยเรือกะแซงในหน้าน้ำ เมืองยโสธรอยู่ติดลำน้ำชีที่หล่อเลี้ยง
ชาวเมือง ทั้งเป็นแหล่งอาหารปลา เส้นทางค้าข้าว หาดทรายหน้าแล้งจัดงานประเพณีสงกรานต์
หน้าน้ำจัดงานประเพณีแข่งเรือ ริมน้ำชีเป็นบุ่งใหญ่เป็นที่เพาะปลูกของชาวคุ้ม มีกุดขนาดใหญ่ใกล้
น้ำชี วิถีชาวเมืองยโสธรจึงพึ่งพิงลำน้ำชีมาก และมีลำน้ำทวน ทางทิศตะวันออกเมืองเป็นแหล่งใช้
สอย
2. แหล่งน้ำดื่ม ทั้งสองเมืองอาศัยน้ำดื่มจากบ่อที่ขุดขึ้นใช้ร่วมกันในชุมชนเรียก
ส่างแซง บ่อหนึ่งใช้ร่วมกันหลายคุ้ม มีทั้งบ่อในที่นาและบ่อในวัด ชุมชนมีสำนึกจากความลำบาก
ในการใช้จึงช่วยกันขุด รักษา และซ่อมแซม กิจกรรมตักน้ำจึงเป็นพื้นที่แห่งการช่วยเหลือ สร้าง
สายสัมพันธ์ของคนในชุมชน
ตลาด ชาวจีนเป็นคนกลางให้เกิดย่านแลกเปลี่ยนของเมือง การซื้อขายโดยชาวจีนนำเข้า
มายังไม่แพร่หลาย ส่วนมากยังเป็นการแลกเปลี่ยน ตลาดแห่งแรกเมืองร้อยเอ็ดคือ บริเวณถนน
ผดุงพานิช เมืองยโสธรคือ บริเวณหลักเมือง สินค้าที่สำคัญของท้องถิ่นคือ ข้าว รองจากข้าวคือ
ของป่าจากดงขนาดใหญ่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มุกดาหาร เช่น เร่ว ครั่ง หนังสัตว์ นอ
แรด เขากวาง สัตว์ป่ามีชีวิต หวาย ชัน น้ำผึ้ง น้ำมันยาง สมุนไพร เป็นสินค้าที่ชาวจีนนำไปขาย
กรุงเทพฯ แล้วนำสินค้าเบ็ดเตล็ดจากกรุงเทพฯ กลับมาสู่หัวเมือง
องค์กรวัด วัดเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของชุมชน เป็นศูนย์รวมของ
จิตใจ กิจกรรมทางศาสนา ประเพณี การศึกษา สถานรักษาคนป่วย ทางวัดก็พึ่งชุมชนด้านกำลัง
กาย และทรัพย์ ซึ่งมาจากฐานความเชื่อเรืองบุญ เช่น การบริจาคเงินทำบุญ ผ้าป่า กฐิน การ
ทำบุญวาระต่าง ๆ จึงมีตระกูลลูกหลานเจ้าเมือง คหบดี พ่อค้า ที่อุปถัมภ์วัดต่อเนื่องมาถึงรุ่น
ลูกหลานทั้งสองเมือง
ประเพณี เป็นกิจกรรมสำคัญที่วัดกับชุมชนร่วมกันปฏิบัติในฮีต 12 เป็นกิจกรรม
เชื่อมโยงคนในชุมชนเข้ามาสัมพันธ์ร่วมมือกันอย่างเหนี่ยวแน่นตลอดมา เช่น บุญผะเหวด บั้งไฟ
สงกรานต์ บุญคุ้ม เข้าพรรษา ออกพรรษา บุญข้าวสารท บุญกฐิน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง เช่น ร้อยเอ็ดมีศาลหลักเมือง เจ้าพ่อมเหศักดิ์ เจ้าพ่อหอด่าน
11
เจ้าแม่สองนาง หลวงพ่อสังกัจจายน์ เมืองยโสธรมี ศาลหลักเมือง ต่างจากร้อยเอ็ดคือ กลุ่มเชื้อ
สายจีนไม่มีศาลเจ้า แต่เคารพศาลหลักเมืองแทน และมีศาลเจ้าปู่ เจ้าพ่อหอชุม เจ้าแม่สองนาง สิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้ควบคุมพฤติกรรมผู้คนด้วยพิธีกรรม เช่น การกราบไหว้ขอความคุ้มครองและ
บนบาน เมื่อมีงานประเพณีสำคัญของชุมชน เช่น บุญบั้งไฟ ประเพณีสงกรานต์ ได้มีพิธีกรรมใน
การสักการะและอัญเชิญร่วมงานด้วย
ดังนั้น ชุมชนเมืองดั้งเดิมยังไม่หนาแน่น มีโฮงเจ้าเมืองเป็นศูนย์อำนาจการปกครอง บ้าน
และวัดต่างพึ่งพาคู่กันมา ความสัมพันธ์ในการผลิตเป็นแบบพึ่งพา มี นา ป่า น้ำ เป็นฐานทรัพยากร
การผลิตที่อุดมสมบูรณ์ใช้ร่วมกับชุมชนข้างเคียง
เมืองขยายตัวสมัยการปรับตัว (พ.ศ. 2450-2479)
สมัยนี้รูปแบบเมืองดั้งเดิมต้องปรับเปลี่ยนตามแรงกระแทกที่รุนแรงของอำนาจส่วนกลาง
เนื่องจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ปฏิรูปหัวเมืองเป็น
มณฑลเทศาภิบาล จัดระเบียบโครงสร้างเมืองในรูปแบบใหม่ ดังนั้น การขยายตัวของเมืองจึง
เป็นไปตามกระแสของส่วนกลาง กล่าวคือ
การขยายตัวของเมืองร้อยเอ็ด ที่อยู่อาศัยขยายตัวภายในคุ้มวัดทางเหนือของเมืองไปจรด
ทางใต้ลำห้วยเหนืออ้อมไปทางตะวันตกบึงพลาญชัย ที่สำคัญคือ ส่วนกลางมาตั้งค่ายทหารของ
มณฑล ในปี พ.ศ.2455 ทางเหนือลำห้วยเหนือ มีการจัดสรรที่ให้ทหารจึงเกิดคุ้มหน้าค่ายทหาร
และเมื่อสร้างศาลมณฑลร้อยเอ็ดก็เกิดคุ้มศาลและคุ้มข้าหลวง หลังศาลามณฑลใต้ถนนราชการ
ดำเนิน ประมาณปี พ.ศ. 2465-2468 ชาวคุ้มวัดราษฎร์ศิริ และคุ้มอื่น ๆ ขายที่ให้ชาวจีนแล้วย้าย
ไปอยู่ที่นา เกิดคุ้มบ้านน้อยในเมือง และคุ้มวัดป่าเรไร และเกิดย่านตลาดของชาวจีน มีตึกดิน
บริเวณถนนผดุงพานิช ถนนสุริยเดชบำรุง ถนนเทวาภิบาล และเกิดย่านหน่วยงานของมณฑลตาม
แนวถนนเทวาภิบาล และถนนตัดใหม่เชื่อมกับคุ้มเดิม เช่น ศาลามณฑล ศาลมณฑล ที่ว่าการ
อำเภอ สถานีตำรวจ โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย โรงเรียนสตรีศึกษา
การขยายตัวเมืองยโสธร ที่อยู่อาศัยภายในคุ้มบ้านเก่าขยายหนาแน่นขึ้นมากตามถนนที่
ตัดใหม่ทางทิศตะวันตกของเมืองขนานไปกับลำน้ำชีสู่คุ้มบ้านใหม่ บ้านทุ่ง และทางทิศใต้ในคุ้ม
บ้านท่า ตามถนนวารีราชเดช ถนนนครปทุม ถนนอุทัยรามฤทธิ์ ถนนดำรงวิมลคุณ ถนนศรีสุนทร
เกิดหน่วยงานราชการในฐานะเป็นอำเภอ มีที่ว่าการอำเภอเป็นศูนย์กลางบริการของรัฐ และเริ่ม
หนาแน่นย่านตลาดหลักเมือง หน้าวัดสิงห์ท่าเป็นตึกดินของพ่อค้าชาวจีน
ปัจจัยที่มีต่อการขยายตัว ทั้งสองเมืองมีปัจจัยคล้ายคลึงกันคือ
1. นโยบายส่วนกลางปฏิรูปหัวเมืองเป็นมณฑล เป็นปัจจัยสำคัญ คือในปี พ.ศ. 2455
จึงจัดระเบียบเมืองใหม่ด้วยการตั้งหน่วยงานราชการในการปกครองหัวเมืองและการให้บริการ
12
ดังนั้น เมืองร้อยเอ็ดมีสถานภาพเป็นมณฑล จึงมีหน่วยงานระดับมณฑลซึ่งเป็นตัวแทนของ
ส่วนกลางจำนวนมาก เกิดย่านหน่วยงานในที่ว่างเปล่าทางทิศใต้ของเมือง รวมทั้งสถานศึกษาที่
เกิดขึ้นใหม่ในการผลิตคนเข้าสู่ระบบราชการใหม่ตามอุดมการณ์ของรัฐ ส่วนยโสธรเป็นเพียง
ระดับอำเภอ
ศูนย์บริการของรัฐจึงอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่ก็เริ่มจัดระเบียบเมืองด้วยการตัดถนนในการ
สัญจรไปมาให้สะดวกมีระเบียบเช่นเดียวกัน
2. ในเมืองร้อยเอ็ดเริ่มขายที่บ้านซึ่งเริ่มคับแคบเพราะมีลูกหลานเพิ่มขึ้น จึงขยับออกสู่
ที่นาซึ่งกว้างขวางกว่า ในยโสธรลูกหลานก็ขับขยายออกสู่ที่สวนที่นาของพ่อแม่ ในคุ้มบ้านใหม่
บ้านทุ่ง
การปรับตัวของเมือง ในระบบมณฑลเทศาภิบาล การพัฒนาเมืองเป็นไปตามจินตนาการ
ของส่วนกลาง จึงเกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นในเมือง เช่น
1. ร้อยเอ็ดถูกยกฐานะเป็นมณฑล เกิดหน่วยงานราชการของมณฑลร้อยเอ็ด คือ
อาคารศาลามณฑล (ศาลากลาง) เป็นอาคารรูปแบบของกรุงเทพฯ ที่มีขนาดใหญ่มากกว่าชั้นเดียว
สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ศาลมณฑล ค่ายทหาร จัดระเบียบให้เป็นย่านหน่วยงานเฉพาะ เกิด
โรงเรียนจัดการเรียนการสอนตามแบบกรุงเทพฯ คือ โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย โรงเรียนสตรี
ศึกษาร้อยเอ็ด มีการตัดถนนภายในเมืองโดยเน้นความเป็นระเบียบ สะดวกในการสัญจร ถนนสาย
หลักในร้อยเอ็ด คือ ถนนเทวาภิบาล ความเข้มข้นของการเข้ามาปรับเปลี่ยนจากส่วนกลางใน
ร้อยเอ็ดมีมากกว่า ยโสธรซึ่งถูกลดสถานภาพจากเมือง(จังหวัด) เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัด
อุบลราชธานี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2437 หน่วยงานราชการในระดับอำเภอก็มีน้อย
2. การปรับตัวและการขยายตัวของผู้คน ที่ถูกดึงเข้าสู่ระบบใหม่ เช่น ในเมือง
ร้อยเอ็ด ข้าราชการของหน่วยงานรัฐ สถานศึกษา และค่ายทหาร ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่เข้ามา
ข้าราชการผู้ปกครองระดับสูงสุดล้วนถูกกำหนดและส่งมาจากส่วนกลาง เช่น สมุหเทศาภิบาล
ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงสรรพากร ปลัดมณฑล แพทย์มณฑล ธรรมการ
มณฑล นายทหาร ได้เข้ามาเป็นเจ้านายกลุ่มใหม่ของชาวเมือง ในขณะที่เจ้าเมืองกรมการเมืองเดิม
ถูกลดอำนาจลงเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ต้องปรับตัวอบรมเรียนรู้ระบบงานราชการแบบใหม่ใน
โรงเรียนฝึกราชการ ส่วนยโสธรเจ้าเมืองเดิมก็ถูกลดอำนาจลง มีนายอำเภอเป็นผู้บังคับบัญชาคน
ใหม่เช่นเดียวกัน
3. การปรับตัวเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบใหม่คือการเรียนภาษาไทย ที่รัฐมุ่งสร้างคน
เข้าสู่ระบบราชการแบบใหม่ โดยผ่านกระบวนการจัดการศึกษาในโรงเรียนหัวเมืองมีระดับสูงสุด
คือ ระดับมัธยมศึกษาในเมืองร้อยเอ็ด ตั้งโรงเรียนประจำมณฑลคือ ร้อยเอ็ดวิทยาลัย ของนักเรียน
13
ชาย สตรีศึกษาของนักเรียนหญิง ข้าราชการผู้มีฐานะจึงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนและส่งไปเรียน
ที่กรุงเทพฯ ได้เกิดระบบอุปถัมภ์ระหว่างข้าราชการส่วนกลางกับข้าราชการหัวเมืองฝากฝัง
ลูกหลานไปเรียนกรุงเทพฯ เพื่อปูทางเข้าสู่ระบบราชการ
การที่ส่วนกลางส่งเสริมในการจัดตั้งโรงเรียนรัฐระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดก่อน
ทำให้อำเภอยโสธร ต้องส่งบุตรหลานไปเรียนต่อโรงเรียนประจำจังหวัดที่อุบลราชธานีภายหลังที่
รัฐประกาศใช้ พ.ร.บ. ประถมศึกษาปี พ.ศ. 2464 บังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียนเมื่อถึงเกณฑ์
ยโสธรจึงตั้งโรงเรียนประจำอำเภอเมืองยโสธรในปี พ.ศ. 2465 ที่วัดศรีธรรมาราม (วัดสว่างโศก)
สอนระดับประถมศึกษา ในปี พ.ศ. 2472 กรมการอำเภอจึงตั้งโรงเรียนประชาบาลตำบลในเมือง
(สุขวิทยากร) เป็นอาคารเรียน 2 ชั้น 16 ห้องเรียน
4. การรับวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ในระบบราชการส่วนกลางนำเข้ามาสู่หัวเมือง เช่น
การแต่งกายของข้าราชการ อาหารประเภทแกงกะทิ ประเภทผัด ขนมไทย พ่อค้าชาวจีนก็ได้นำ
เสื้อผ้าสำเร็จรูปจากส่วนกลางเข้ามา พร้อม ๆ กับอาหารประเภทใหม่ เช่น ก๋วยเตี๋ยว รวมทั้งการ
บริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคแบบใหม่ จากการขยายตัวด้านการค้า ทำให้พ่อค้าชาวจีนเป็นคนกลาง
นำสินค้าใหม่ ๆ จากส่วนกลางเข้าสู่หัวเมือง กลุ่มผู้ได้บริโภคก่อนคือ กลุ่มข้าราชการผู้มีฐานะดี
และพ่อค้าที่มีฐานะดี
5. การสร้างร้านค้าบ้านเรือนติดถนน รัฐเข้ามาตัดถนนพร้อม ๆ กับการส่งเสริมให้
เกิดร้านค้าบ้านเรือนริมถนนตัดใหม่ให้บ้านเมืองเจริญ ผู้คนก็เริ่มเห็นความสะดวกในการมี
บ้านเรือนใกล้ถนนไปมาสะดวก การสร้างร้านค้ารุ่นใหม่เริ่มเป็นอาคาร 2 ชั้น ตามนโยบายของ
รัฐ มุงด้วยสังกะสี บ้านก็มุงด้วยสังกะสี ในกลุ่มข้าราชการผู้มีเงิน มีรั้วเตี้ย ๆ ป้องกันสัตว์เลี้ยง
ในขณะที่คนจีนมีรั้วเพื่อป้องกันขโมยสินค้า
6. การรับวัฒนธรรมการรักษาพยาบาลแผนใหม่ แม้ยังไม่มีโรงพยาบาลเกิดขึ้น ใน
ร้อยเอ็ดก็เริ่มรู้จักและยอมรับการรักษาพยาบาลจากหมอทหารในค่ายทหารมณฑลร้อยเอ็ดออกมา
รักษาผู้ป่วยชาวคุ้ม และร้านขายยาแผนโบราณก็เริ่มปรับตัวในการให้บริการยาแผนใหม่ที่รักษา
โรคขั้นพื้นฐาน
เมืองขยายตัวสมัยขายที่ขายนา (พ.ศ. 2480-2519)
การขยายตัวของที่อยู่อาศัยระยะนี้ คือ เกิดคุ้มใหม่ในบริเวณที่นา ซึ่งเจ้าของจัดสรร
ขายและแบ่งขาย ผู้เข้ามาสู่คุ้มใหม่ในเมืองร้อยเอ็ด ส่วนมากมาจากอำเภอรอบนอก ส่วนยโสธร
ส่วนมากขยายตัวมาจากคุ้มเดิมฝั่งเมืองเก่า กล่าวคือ
14
เมืองร้อยเอ็ด บ้านเรือนอาศัยขยายตัวออกสู่ที่นา ส่วนมากเป็นผู้คนจากต่างอำเภอเข้า
มาซื้อที่จากชาวคุ้ม เช่น ระหว่างปี พ.ศ. 2480-2500 ชาวอำเภอสุวรรณภูมิ ตำบลรอบเมือง เข้าสู่ที่
นา เกิดคุ้มหนองมะเขือ และคุ้มหัวขัว บริเวณที่นาติดโรงพยาบาล ชาวคุ้มขายที่นาให้กับ
ข้าราชการต่างอำเภอเข้ามาเกิดเป็นคุ้มโรงพยาบาล คุ้มประปา คุ้มเรือนจำ คุ้มทุ่งนาหลวง และคุ้ม
กิโลศูนย์ หลังปี พ.ศ. 2500 มา เกิดคุ้มใหม่จากเจ้าของที่นาจัดสรรที่นาขายชาวต่างอำเภอ เช่น
อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอเมืองสรวง อำเภอพนมไพร อำเภอธวัชบุรี อำเภอเสลภูมิ อำเภออาจ
สามารถ และต่างจังหวัดเข้ามาซื้อที่ตั้งบ้านเรือนเกิดคุ้มใหม่ คือ คุ้มศรีอุดม ส่วนคุ้มที่ขยาย
หนาแน่นเพิ่มขึ้นตามหน่วยงานและย่านการค้า คือ คุ้มตลาดหนองแคน คุ้มโรงเรียนอำนวย คุ้ม
โรงเรียนเมือง คุ้มโรงพยาบาล คุ้มโรงน้ำแข็ง คุ้มต่าง ๆ ดังกล่าวขยายออกทุกทิศรอบเมือง
ร้อยเอ็ด
เมืองยโสธร เริ่มขยายตัวออกสู่ที่นาฝั่งเมืองใหม่ทางทิศเหนือถนนแจ้งสนิทแต่ยังไม่
มาก ส่วนมากขยายตัวในคุ้มเดิม หลังปี พ.ศ. 2484 ชาวคุ้มเริ่มออกสู่ที่นา หลังปี พ.ศ. 2500 มา
ผู้คนจากคุ้มเมืองฝั่งเก่าและผู้คนจากตำบลรอบนอกเข้ามาฝั่งเมืองใหม่เกิดคุ้มใหม่ เช่น คุ้มโนน
ตาล 1 โนนตาล 2 คุ้มสามัคคี เรือนจำ คุ้ม บขส.-ตลาดใหม่ คุ้มวัดทุ่ง คุ้มหลังศาล
การขยายตัวของหน่วยงานราชการ ในเมืองร้อยเอ็ดขยายตัวของหน่วยงานระดับ
จังหวัดมีมาก ในขณะที่ยโสธรหน่วยงานระดับจังหวัดพึ่งเริ่มมีหลังปี พ.ศ. 2515 เมื่อได้รับยก
ฐานะเป็นจังหวัด หน่วยงานของรัฐที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งให้บ้านเรือนอาศัยขยายตัวตาม เกิดเป็น
คุ้มเรียกชื่อตามหน่วยงานเช่นกัน สถาบันการศึกษาในระยะนี้เกิดสถาบันการศึกษาระดับ
อาชีวศึกษาตามนโยบายของรัฐ คือ โรงเรียนช่างไม้ และการช่างสตรี ในเมืองร้อยเอ็ดมีก่อน ส่วน
ระดับประถมศึกษาในวัดโอนมาสังกัดเทศบาลโรงเรียนจึงได้ย้ายออกจากวัด โรงเรียนเอกชนก็
ขยายตัวทั้งสองเมือง จากการตื่นตัวของพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกเรียนหนังสือเพื่อเข้าสู่ระบบราชการ
เพราะเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมั่นคง
การขยายตัวของย่านการค้า เมืองร้อยเอ็ดมีย่านการค้าเพิ่มขึ้น 3 แห่ง โดยนายทุน
พ่อค้าเชื้อสายจีนมอบที่ดินและสร้างตลาดแล้วมอบให้เทศบาล คือ ตลาดหายโศรก ตลาดทุ่งเจริญ
และตลาดหนองแคน ในเมืองยโสธรเกิดย่านตลาดใหม่ 2 แห่ง คือ ตลาดที่ 2 โดยเชื้อสายเจ้า
เมืองสร้างแล้วมอบให้เทศบาล กับตลาดที่ 3 ซึ่งเทศบาลสร้างขึ้น จึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงการขยายตัว
ด้านการค้าขาย และสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการ
การขยายตัวสถาบันการเงิน ระหว่างปี พ.ศ. 2501-2519 เมืองร้อยเอ็ด มีธนาคารเปิด
บริการ 5 ธนาคาร คือ กรุงไทย กสิกรไทย กรุงเทพฯ นครหลวงไทย และกรุงศรีอยุธยา เมือง
ยโสธรมี 4 ธนาคารคือ ธนาคารทหารไทย กรุงศรีอยุธยา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
15
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการขยายตัวทุนนิยม ดัชนีชี้วัดจากสถิติเงินฝากและ
การให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนั้นก็มีธุรกิจการเงินในระบบและนอกระบบจากการจำนอง
ขายฝาก กู้นอกระบบที่ทำให้เจ้าของธุรกิจร่ำรวยขึ้นมาพบในเมืองร้อยเอ็ดมากกว่ายโสธร
การขยายตัวด้านอุตสาหกรรม ในเมืองร้อยเอ็ดพบโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ขยายออก
สู่เขตตำบลรอบนอก เพราะการจัดระเบียบของรัฐให้โรงงานออกห่างจากชุมชน เช่น โรงงานฟอก
ปอ โรงสีข้าวกาญจน์ โรงสีสุนทรเกษม โรงสีข้าวรัตนผล โรงสีข้าวร้อยเอ็ดชัยมงคล โรงงาน
ไอศครีม โรงน้ำแข็งจำนงรัตน์และบุญกว้าง โรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว ในขณะที่ยโสธร โรงสีควงเฮง
โรงสีกิจทวี และโรงเลื่อย ยังอยู่ในเขตเทศบาลเมืองริมน้ำชี เจ้าของธุรกิจล้วนเป็นเชื้อสายจีน
ดังนั้น การขยายตัวย่านการค้า โรงงานอุตสาหกรรมทำให้ชาวคุ้มและผู้คนที่อยู่ตำบล
รอบนอกปรับเปลี่ยนอาชีพจากการทำนามาค้าขายในตลาด ซึ่งล้วนเป็นผู้หญิง ขายพืชผัก ปลา
อาหารสดจากท้องถิ่น ส่วนผู้ชายเข้าสู่การใช้แรงงานในโรงสี โรงงาน การก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป
ปัจจัยที่มีต่อการขยายตัว มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ
1. การขายที่ขายนาของชาวคุ้มให้พ่อค้านายทุน และข้าราชการที่มาจากต่างอำเภอ
ต่างจังหวัด และตำบลรอบนอกเข้ามารับราชการ มาค้าขาย และให้ลูกหลานเข้ามาเรียนหนังสือ
ในเมืองร้อยเอ็ดเฉพาะใจกลางเมืองเป็นของพ่อค้านายทุนตั้งร้านค้า ในที่นารอบ ๆ คุ้มก็กลายเป็นที่
อยู่อาศัย ส่วนเมืองยโสธรส่วนมากเป็นชาวคุ้มฝั่งเมืองเก่า ซึ่งเป็นทั้งพ่อค้าในตลาดเมืองเก่า
ข้าราชการ และลูกหลานในคุ้มขยับขยายมาฝั่งเมืองใหม่ ซื้อที่นาและที่จัดสรรในระบบเงินผ่อน
โดยนายกเทศมนตรีเป็นนายทุนจัดสรรที่นารายใหญ่ ส่วนชาวต่างอำเภอ ต่างจังหวัดมีส่วนน้อยพึ่ง
เข้ามามากภายหลังเมืองยกฐานะเป็นจังหวัด
2. การขยายตลาดซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ ในเมืองร้อยเอ็ดขยายตลาดเพิ่ม 3 แห่ง
คือ ตลาดหายโศรก ในคุ้มเดิม และบุกเบิกย่านใหม่คือ ตลาดทุ่งเจริญ และตลาดหนองแคน นายทุน
เชื้อสายจีนได้ลงทุนสร้างอาคารพาณิชย์ และจัดสรรที่ดินรอบตลาดขาย เมืองยโสธรขยายเพิ่ม 2
แห่ง ย่านตลาดที่บุกเบิกใหม่จึงเกิดเป็นชุมชนใหม่ค่อย ๆ หนาแน่นรอบตลาด พร้อม ๆ กับแม่ค้า
ท้องถิ่นขยายตัว
3. ปัจจัยสนับสนุนคือ การพัฒนาของรัฐตามแผนพัฒนาฉบับที่ 1 เป็นต้นมา มีจุดเน้น
สำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การไฟฟ้า การคมนาคม การรักษาพยาบาล การ
ชลประทาน จึงเกิดหน่วยงานให้บริการด้านดังกล่าว และการส่งเสริมเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตร
เพื่อการค้า เช่น ข้าว ปอ มันสำปะหลัง ฝ้าย ยาสูบ ทำให้การลงทุนด้านการเกษตรขยายตัวเชื่อม
ชนบทที่เป็นแหล่งผลิตกับเมืองมากขึ้น ตลอดจนการเปิดบริการของธนาคารพาณิชย์ ในเมือง
16
ร้อยเอ็ดมี 5 ธนาคาร เมืองยโสธรมี 4 ธนาคาร เป็นแหล่งเงินกู้ให้เอกชนได้ลงทุนธุรกิจด้าน
การค้า อุตสาหกรรม และการบริการ
การเปลี่ยนแปลงภายในเมือง การขยายตัวของเมืองในระยะนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในด้าน
ต่าง ๆ กล่าวคือ
องค์กรปกครอง มีองค์ท้องถิ่นคือ เทศบาล ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
จัดตั้งองค์กรเทศบาลเมือง ส่วนยโสธรเป็นอำเภอจัดตั้งเป็นเทศบาลตำบลในเมือง เป็นองค์กร
ท้องถิ่นทำหน้าที่บริหารปกครองตนเอง การบริหารงานของเทศบาลเปิดโอกาสให้ผู้มีฐานะอำนาจ
ทางเศรษฐกิจเชื้อสายจีนเข้ามาสร้างฐานอำนาจทางการเมืองท้องถิ่นเช่น ตระกูลจุรีมาศ ส่วนเมือง
ยโสธรในระยะเป็นเทศบาลตำบล คือ ตระกูลนิจพานิชย์ ภายหลังเป็นเทศบาลเมืองมีตระกูลพันธ์
สายเชื้อ
บ้านเรือน เรือนเริ่มมีบ้านเดี่ยวไม้ 2 ชั้น และอาคารร้านค้ารุ่นใหม่มุงสังกะสี เป็น
อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ตามแบบวัฒนธรรมภาคกลาง มีรั้วกั้นอาณาเขต คติของชาวคุ้มเพียงป้องกัน
สัตว์เลี้ยงทำลายพืชผัก แต่ร้านพ่อค้าชาวจีนเป็นการป้องกันความปลอดภัยจากขโมย เพราะมีสินค้า
เป็นจำนวนมาก
เครื่องแต่งกาย การปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตามแบบรัฐนิยมสมัยรัฐบาล จอมพล ป.
พิบูลสงคราม กำหนดเครื่องแต่งกายตามโอกาส เครื่องแต่งกายทำงาน เช่น ผู้หญิงสวมกระโปรง
สวมหมวกใส่รองเท้ารัดส้นหุ้มส้น ปรากฏในหมู่ข้าราชการ พ่อค้าชาวตลาดที่มีฐานะ เสื้อผ้า
สำเร็จรูปจากส่วนกลางเข้ามา มีรูปแบบลวดลายสวยงาม ทำให้ผู้คนหันมานิยม การทอผ้าใช้เองจึง
ลดลงเรื่อย ๆ
อาหาร หลังปี พ.ศ. 2500 มา ผู้คนนิยมซื้ออาหารสำเร็จรูป ร้านอาหารตามสั่ง และ
สำเร็จรูปขยายตัวตามหน่วยงาน สถาบันการศึกษา เครื่องดื่มใหม่เข้าสู่ความนิยมของผู้คน เช่น
น้ำแข็ง ไอศกรีม ส่วนพืชผักที่เคยปลูกเอง เริ่มหันมาซื้อที่ตลาด
การรักษาพยาบาล มีโรงพยาบาลของรัฐเกิดขึ้น การรักษาด้วยแพทย์แผนใหม่เริ่มขึ้น
ค่อย ๆ แพร่หลายในเมืองร้อยเอ็ด เมืองยโสธรมีเพียงสุขศาลาหากต้องการรักษาในโรงพยาบาล
ต้องไปที่อุบลราชธานี และมาที่เมืองร้อยเอ็ดบ้างเพราะระยะทางใกล้กว่าไปเมืองอุบลฯ
อาชีพ กลุ่มข้าราชการ คหบดี พ่อค้า ผู้มีเงิน นิยมส่งบุตรหลานเรียน สำเร็จแล้วได้
เข้าสู่ระบบราชการในถิ่นตนเองและต่างถิ่น ในระบบราชการทำให้ผู้คนได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่เมือง
17
ต่าง ๆ ตามตำแหน่งและสายงาน ส่วนผู้ทำนาขายที่นาแล้วเปลี่ยนอาชีพใหม่ ซึ่งเมืองเป็นแหล่ง
งานให้เลือก เช่น ค้าขายในตลาดสด สำหรับผู้หญิงเป็นแม่ค้ารายย่อยที่มีความสำคัญต่อการซื้อหา
อาหารสดของท้องถิ่น และพืชผักส่วนประกอบในการทำอาหาร
ส่วนผู้ชายเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไป และทำงานหนักในโรงสี โรงงาน การก่อสร้างที่กำลังขยายตัว
การเปลี่ยนแปลงนี้มิได้มีแต่คนในเมือง แต่ได้ดึงเอาผู้คนในชนบทเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในอาชีพ
ใหม่ดังกล่าวด้วย นอกจากนั้นยังมีอาชีพด้านบริการและอิสระเพิ่มขึ้น เช่น ตัดเย็บเสื้อผ้า ขายอาหาร
เสริมสวย
ในขณะเดียวกัน กลุ่มเชื้อสายจีนที่มีพื้นฐานมั่นคงมาแต่รุ่นพ่อ ได้ขยายฐานธุรกิจ
ให้รุ่นลูกสืบทอด และเข้าสู่ระบบราชการและการเมือง เป็นชนชั้นกลางในสังคมเมืองที่ร่ำรวยกว่า
ชนชั้นกลางข้าราชการคนท้องถิ่น พบในเมืองร้อยเอ็ดตระกูลใหญ่ ๆ หลายตระกูล เช่นตระกูลอิฐ
รัตน์ ในเมืองยโสธรมีไม่มาก เช่น ตระกูลยุพฤทธิ์
พื้นที่ป่า ทั้งสองเมืองคล้ายคลึงกัน เมื่อบ้านเรือน หน่วยงานรัฐ โรงงาน ย่านการค้า
เข้ามาแทนที่ ป่าก็เริ่มลดลงและหมดไป อาหารป่าก็หมดไปผู้คนพึ่งพาตลาดมากขึ้น
แหล่งน้ำ ในเมืองร้อยเอ็ดมีการถมหนองน้ำ สระที่กระจายอยู่ตามคุ้มจึงหมดไป
ประโยชน์การใช้สอยลดลง ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา มีน้ำประปาเข้ามาแทนที่ น้ำชีเคยเป็นท่าข้าว
สำคัญก็หมดไปเมื่อรถยนต์เข้ามาขนส่งแทนที่ เมืองยโสธรอยู่ริมแม่น้ำชีให้ประโยชน์ต่อธุรกิจดูด
ทราย หาดทรายที่เคยเป็นสถานที่ร่วมกันทำกิจกรรมของชุมชนค่อย ๆ หมดไป
พื้นที่นา หลังมี พ.ร.บ. ที่ดินปี พ.ศ. 2497 ทำให้ผู้คนได้เอกสารสิทธิในที่ดิน ที่ดิน
เริ่มเป็นสินค้า ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ที่นายทุน ในเมืองร้อยเอ็ดนายทุนซื้อที่นาจัดสรรขาย จึงเปลี่ยน
สภาพการใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม ธุรกิจการบริการ ซึ่งมีปัจจัยในการขายหลาย
ประการคือ
1. ขายที่บ้านติดถนนให้พ่อค้า แล้วตนขยับเข้าอยู่ด้านหลัง
2. บ้านเรือนคับแคบจึงขายแล้วย้ายออกสู่ที่นาซึ่งมีพื้นที่มาก ครั้นต้องการเพื่อน
จึงแบ่งขายที่นาบางส่วน
3. ขายให้พ่อค้าได้ราคาดีแล้วไปซื้อในเขตนอกเมืองที่ราคาถูกกว่า
4. รุ่นพ่อแม่อายุมาก รุ่นลูกรับราชการและมีทางเลือกประกอบอาชีพอื่นจึงขายเพื่อ
นำเงินมาใช้สอยและเป็นทุนให้ลูกเรียนและทำทุนในอาชีพอื่น
5. ที่นารอบเมืองของลูกหลานเจ้าเมือง มีลูกหลานบางส่วนขายให้พ่อค้าเพื่อเลี้ยง
ตนเอง และไปอยู่ที่อื่น มีการขายกันหลายทอดในที่สุดก็เปลี่ยนมือไปอยู่กับนายทุนเชื้อสายจีน
18
ในเมืองยโสธร มีปัจจัยการขายไม่ต่างจากเมืองร้อยเอ็ด บริเวณที่ฝั่งเมืองเก่าจำนวน
มากให้เป็นมรดกลูกถูกขายจนหมดเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ที่สวนบางส่วนชาวคุ้มแบ่งขายให้เพื่อน
บ้าน และแบ่งขายให้พ่อค้าชาวจีนตั้งร้านค้า(ตึกดิน) ในรุ่นแรก ๆ แถวตลาดหลักเมือง ส่วนที่นา
จำนวนมากฝั่งเมืองใหม่ หลังปี พ.ศ. 2520 เจ้าของที่เดิมขายให้นายทุน และมีเจ้าของที่นารายใหญ่
ได้แบ่งที่นาบางส่วนจัดสรรขาย
ดังนั้น ฐานทรัพยากรในการผลิตดั้งเดิมในเมืองร้อยเอ็ดได้หมดไป ในเมืองยโสธรลดลง
ภายหลังปี พ.ศ. 2520 จึงหมดไปเช่นกัน
ประเพณี ในเมืองร้อยเอ็ดได้เลิกประเพณีบุญบั้งไฟประจำปีของจังหวัด จากสาเหตุ
บ้านเรือนขยายเข้าใกล้เขตจุดบั้งไฟ ทำให้บั้งไฟตกถูกบ้านเรือนเสียหายในปี พ.ศ. 2506 คงเหลือ
เพียงพิธีจุดบั้งไฟเล็ก ๆ ถวายพระธาตุวัดเหนือพอเป็นพิธี
ด้านสันทนาการ หลังปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา มีภาคบันเทิงที่ผู้คนในแต่ละเมืองได้รับ
ข่าวสารความรู้ ความบันเทิงแบบใหม่จากสื่อเช่นเดียวกัน กล่าวคือ
1. วิทยุ โทรทัศน์ เป็นสื่อที่เปลี่ยนค่านิยม ความคิดในการบริโภคที่ได้รับข่าวสาร
ข้อมูลจากการโฆษณาสินค้าใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ กลุ่มผู้มีโอกาสบริโภคก่อนคือ ข้าราชการ
พ่อค้า ผู้มีเงิน ดึงดูดใจกลุ่มผู้ไม่มีเงินเข้าสู่ระบบผ่อนส่งในราคาแพง
2. ภาพยนตร์ (ภาษาอีสานเรียกหนัง) ในระยะแรกเป็นภาพยนตร์ขาวดำ ฉายใน
โรงภาพยนตร์และหนังเร่ หรือหนังล้อมผ้า ออกฉายทั้งในเมือง หมู่บ้านในชนบท
3. หมอลำ เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้าน เป็นเอกลักษณ์ของสังคมอีสานมาแต่อดีต
เริ่มต้นจากหมอลำกลอนมีเพียงคนเดียว พัฒนาเป็นหมอลำโต้ตอบกันระหว่างชาย-หญิง เป็นหมอ
ลำชิงชู้ หมอลำพื้น ปรับมาเป็นหมอลำเรื่องต่อกลอน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์เข้ามา
เป็นที่นิยมของผู้คน หมอลำจึงพัฒนาเป็นหมอลำเพลิน หมอลำหมู่ได้นำดนตรีสากลเข้ามาบรรเลง
ร่วมกับดนตรีพื้นบ้าน คณะหนึ่งมีสมาชิก 30-40 คน ค่าจ้างแสดงคืนละ 70,000-80,000 บาท
หมอลำกลอน ก็ปรับดนตรีการแสดงเป็นหมอลำซิ่ง พัฒนาท่าเต้นให้เร้าใจ มีการปรับเปลี่ยน
รูปแบบการแสดงตามกระแสความนิยมของผู้ฟังเรื่อยมา เพื่อดึงดูดใจผู้ชม
เมืองขยายตัวสมัยพัฒนาและฟื้นฟู (พ.ศ. 2520-2545)
ทุกเมืองในระยะนี้ ขยายตัวตามกลไกการพัฒนาของรัฐ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4-9 เป็นการพัฒนาภายใต้กระแสของทุนนิยมที่เฟื่องฟู และเทคโนโลยี
สมัยใหม่ เมืองเติบโตทางวัตถุพร้อม ๆ กับการหันกลับมาหาเอกลักษณ์ อนุรักษ์ ฟื้นฟูรากเหง้า
สังคมและคุณค่าดั้งเดิม กล่าวคือ
19
การขยายตัวของเมือง หนาแน่นเต็มพื้นที่ในชุมชนเดิมจึงต้องขยายออกสู่เขตตำบลรอบ
นอก ทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน อาคารพาณิชย์ บ้านจัดสรร การขยายตัวของที่อยู่อาศัย
มี 4 ลักษณะคือ
1. ภายในคุ้มเดิมบ้านเรือนหนาแน่นเต็มพื้น ที่ เมืองร้อยเอ็ดขยายออกทุกทิศรอบเมือง
ส่วนยโสธรขยายออกฝั่งเมืองใหม่ทางทิศเหนือมากกว่าเมืองเก่า
2. เกิดบ้านเช่า หอพัก ใกล้สถานศึกษาในเขตเทศบาล และออกสู่เขตตำบลรอบนอก
โดยพ่อค้าเชื้อสายจีน ข้าราชการ ผู้มีฐานะดี มีที่ดินปลูกบ้านให้เช่า ใกล้หน่วยงาน สถานศึกษา
ส่วนมากข้าราชการและนักเรียนมาเช่าซึ่งมีมากในร้อยเอ็ด ส่วนยโสธรมีน้อยมาก
3. เกิดหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งส่วนมากอยู่ในเขตตำบลรอบนอกที่เชื่อมกับเมือง ในเมือง
ร้อยเอ็ดพบมากทั้งเป็นบ้านเดี่ยวพื้นที่น้อยติดกัน และเป็นทาวน์เฮาส์ ส่วนในเมืองยโสธรมีบ้าน
จัดสรรไม่มาก ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่กว้าง
4. เกิดชุมชนแออัดในเมืองร้อยเอ็ดมี 8 ชุมชน ส่วนมากอยู่ในเขตกำแพงเมือง เขต
โบราณสถานที่รอการย้ายออกเพื่อฟื้นฟูสภาพกำแพงเมือง ส่วนในเมืองยโสธรมีคุ้มบ้านท่า เช่าที่
ในราคาถูก และบริเวณคุ้มโนนตาล
การขยายตัวด้านการค้าการบริการ มีโรงแรมเกิดใหม่หลายโรง และโรงพยาบาลเอกชน
ขนาดใหญ่ที่เมืองร้อยเอ็ด คือ โรงพยาบาลหลักเมือง จุรีเวช และกรุงเทพธนบุรี ส่วนที่เมือง
ยโสธรมีโรงพยาบาลนายแพทย์หาญ ธุรกิจที่ขยายตัวมากที่สุดคือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่ง
ตอบสนองต่อการขยายตัวหน่วยงาน อาคารพาณิชย์ องค์กรเอกชน สถาบันการศึกษา และที่อยู่
อาศัย หมู่บ้านจัดสรร การค้าขยายตัวธุรกิจใหม่ทางเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัทพ์มือถือ
จานดาวเทียม เครื่องไฟฟ้า หลากหลายชนิด ล้วนมีผลต่อการบริโภคของผู้คนในเมืองและชนบท
กับภาวะบริโภคนิยมเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้
การขยายตัวด้านอุตสาหกรรม ประเภทยานพาหนะรถยนต์และเกี่ยวข้องกับรถยนต์มีมาก
ที่สุด เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงการบริโภคของผู้คนในปัจจัยที่ห้าคือ ยานพาหนะ แม้ราคาแพงผู้คนก็
นิยมบริโภคในระบบเงินผ่อน โดยเฉพาะที่เมืองยโสธรเป็นศูนย์ใหญ่ของรถยนต์มือสอง ผู้คนจาก
จังหวัดต่าง ๆ นิยมมาซื้อหาที่นี่ รองลงมาคือผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปที่ต้องใช้พื้นที่มากได้
ขยายออกสู่เขตตำบลรอบนอก เมืองร้อยเอ็ดขยายสู่เขตำบลเหนือเมือง ตำบลรอบเมือง ยโสธรขยาย
สู่ตำบลตาดทอง และตำบลสำราญ ส่วนอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะและใช้พื้นที่มากได้ขยาย
ออกสู่ตำบลรอบนอกเช่นกัน ได้แก่โรงสีข้าวซึ่งได้ปรับเปลี่ยนรุ่นใหม่มีการป้องกันฝุ่นละออง
กระจายสู่บริเวณใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีอู่ซ่อมบริการเครื่องยนต์ ฉางข้าวเปลือกและผลิตผล
20
ทางเกษตร โดยเจ้าของธุรกิจส่วนมากเป็นนายทุนเชื้อสายจีน ดังนั้น ในระยะนี้พื้นที่ตำบลรอบนอก
จึงเป็นที่รองรับการขยายตัวที่ล้นออกมาจากตัวเมือง
ปัจจัยที่มีต่อการขยายตัว ในสองเมืองมีปัจจัยดังนี้
1. ระบบทุนนิยมเฟื่องฟู โดยการลงทุนของนายทุนเชื้อสายจีน ตอบสนองต่อ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4-7 ที่รัฐมุ่งกระจายความเจริญทั้งภาคเกษตร
อุตสาหกรรม การบริการ ให้เป็นฐานเศรษฐกิจด่านหน้าสู่ตลาดอินโดจีน จากตัวชี้วัดเงินฝากและ
สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ พุ่งสูงขึ้นทุกปีจากปี พ.ศ. 2520-2540 ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ลงทุนธุรกิจ
ขนาดใหญ่ ทำให้การค้า การอุตสาหกรรม และการบริการขยายตัวมากทุกด้าน
2. นายทุนส่วนมากเป็นเชื้อสายจีนได้ลงทุนจัดสรรที่ดินขาย และสร้างบ้านจัดสรรขาย
ตอบสนองต่อกลุ่มข้าราชการและพ่อค้ามากกว่าอาชีพอื่น โดยเฉพาะหมู่บ้านจัดสรรซึ่งมีจำนวน
มากในเมืองร้อยเอ็ดได้ดึงประชากรต่างถิ่นจำนวนมากเข้ามากลายเป็นชาวในเมืองนี้อย่างถาวร
การเปลี่ยนแปลงในเมือง สมัยแห่งการพัฒนาทำให้เมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้คือ
1. การตั้งชุมชนย่อย เนื่องจากเมืองขยายตัวแต่ละชุมชนมีพื้นที่กว้าง ประชากรมาก
การดูแลรับผิดชอบของคณะกรรมการชุมชนไม่ทั่วถึง เทศบาสจึงแบ่งเป็นชุมชนย่อยเพิ่มขึ้น เริ่ม
จากปี พ.ศ. 2530 มาทั้งร้อยเอ็ดและยโสธร แบ่งชุมชนโดยคงชุมชนเดิมที่มีวัดไว้ แล้วแบ่งซอย
ออกไปตามหน่วยงาน และสถานที่ดังเช่น เมืองร้อยเอ็ดมี 16 ชุมชน คือ ชุมชนวัด 8 ชุมชน
ได้แก่ ชุมชนวัดกลาง วัดคุ้ม วัดเหนือ วัดบูรพาภิราม วัดบึง วัดราษฎรอุทิศ วัดเวฬุวัน วัดป่า
เรไร ชุมชนตามหน่วยงานและสถานที่ เช่น ชุมชนราชการ หนองแคน โรงพยาบาล ศรีอุดม
หนองหญ้าม้า ท่านคร โรงเรียนเมือง พิพิธภัณฑ์ ส่วนเมืองยโสธร แบ่งเป็น 16 ชุมชนเช่นกัน
เป็นชุมชนที่มีวัดประจำคุ้มเดิม คือ ชุมชนบ้านกลาง บ้านทุ่งเก่า บ้านใต้ บ้านท่าศรีธรรม วัด
มหาธาตุ วัดสิงห์ วัดทุ่ง 1 วัดทุ่ง 2 และชุมชนฝั่งเมืองใหม่ไม่มีวัดคือ บ้านใหม่โรงฆ่าสัตว์
สามัคคี-เรือนจำ โนนตาล 1 โนนตาล 2 ทุ่งสว่าง-โนนสมบูรณ์ โรงเรียนเทศบาล 3 หลังศาล-สี่
แยกกุดชุม หลังปั้มตราดาว ทำให้ผู้คนที่ถูกแบ่งไปเป็นชุมชนใหม่ห่างเหินกับชุมชนเก่า ส่วน
ชุมชนใหม่ที่เป็นหมู่บ้านจัดสรรผู้คนส่วนมากมาจากหลากหลายถิ่น มีความสัมพันธ์กันห่างเหิน
2. บ้านเรือน หลังปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา บ้านเรือนเปลี่ยนรูปแบบเป็นบ้าน 2 ชั้น
ชั้นบนเป็นไม้ชั้นล่างเป็นปูน คอนกรีต สภาพนี้ในคุ้มมีมาก หลังปี พ.ศ. 2530 มาผู้คนนิยมสร้าง
บ้านรูปทรงแบบตะวันตก หลังคาซับซ้อน เป็นคอนกรีตหมด หลังคามุงกระเบื้องมีรูปแบบ
หลากหลาย หลากสีสันปะปนกันไร้ระเบียบ คุ้มตลาดเป็นอาคารพาณิชย์อยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็น
21
บ้าน หมู่บ้านจัดสรรในเมืองร้อยเอ็ดสภาพบ้านพื้นที่น้อยติดกันเป็นพรืดมีมาก รวมทั้งทาวน์เฮ้าส์
ที่กลุ่มผู้มีฐานะปานกลาง ข้าราชการเป็นลูกค้าในระบบเงินผ่อน ในเมืองยโสธรบ้านจัดสรรมีพื้นที่
กว้างพอได้ปลูกพืชผักไม้ผลที่เป็นอาหาร ผู้มีฐานะร่ำรวยนิยมสร้างบ้านใหญ่โตหรูหรา ฟุ่มเฟือย
ด้วยเครื่องตกแต่งภายใน ชนิดรั้ว และประตูบ้านราคาแพง บ้านภายในคุ้มปรับสภาพเป็นร้านค้า
ย่อยชั้นล่าง หรือต่อเพิงจากตัวบ้าน
3. เครื่องแต่งกาย เป็นสมัยของการบริโภคนิยม ตามแฟชั่นใหม่ ๆ มีให้เลือกใช้ตาม
โอกาสต่าง ๆ กัน เช่น ชุดราตรี ทำงาน ชุดสากล ชุดอาบน้ำ ชุดกีฬา ร้านค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป
และร้านตัดเย็บเสื้อผ้าขยายตัวเข้าถึงผู้บริโภคทั้งในเมืองและชนบท
4. อาหาร มีร้านอาหารตามสั่งและอาหารสำเร็จรูปขยายตัวใกล้หน่วยงาน สถานศึกษา
หอพัก ย่านการค้า ภายในคุ้มมีเพิงอาหาร และรถเข็น หลังปี พ.ศ. 2530 มา อาหารสำเร็จรูป
หลากหลายชนิดอำนวยความสะดวกและความต้องการของผู้บริโภคซื้อหากลับไปบ้านช่วงเย็น คือ
ตลาดโต้รุ่ง และมีสวนอาหาร ซึ่งมีดนตรี นักร้อง คาราโอเกะ ให้บริการอาหารจานเด็ดรสชาติ
ใหม่ ๆ ตอบสนองกลุ่มผู้มีเงิน และเป็นที่เลี้ยงรับรองในโอกาสพิเศษของกลุ่มข้าราชการ นัก
ธุรกิจ ผู้มีเงิน แต่กลุ่มวัยรุ่นก็แสวงหาโอกาสเข้ามาบริโภคเช่นกัน จึงเป็นค่านิยมที่อยู่บนความ
สะดวกสบายแบบใหม่ที่ฟุ่มเฟือยมากขึ้น
5. องค์กรวัด ได้กลับมารับใช้ชุมชนในด้านการศึกษา เช่น ในอดีตหลังจากที่ระบบ
โรงเรียนรัฐได้แยกตัวออกจากวัดมานาน วัดจัดการศึกษาได้เฉพาะภิกษุสงฆ์และสามเณร ที่เน้น
การเรียนทางศาสนา ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยได้ขยายสาขาและหลักสูตรทางการ
ศึกษาวิชาชีพครูในระดับปริญญาตรี ให้กับบุคคลทั่วไป (คฤหัสถ์) ที่วิทยาเขตร้อยเอ็ดตั้งแต่
ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาขยายสาขาไปที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดยโสธร ดังนั้น กลุ่มครูที่
ต้องการเลื่อนวิทยฐานะ จึงเข้าสู่ระบบการศึกษาขององค์กรวัด เพราะอยู่ใกล้ประหยัดค่าใช้จ่ายใน
การเดินทางไปเรียนมหาวิทยาลัยในจังหวัดอื่น
6. ด้านสันทนาการ ศิลปะการแสดงดั้งเดิม คือ หมอลำ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดง
ตอบสนองกับสมัยของการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ กับภาคบันเทิงอื่น ๆ คือ หมอลำผสมดนตรีเพลง
ลูกทุ่ง ที่มีหางเครื่องแสดงก่อนแสดงหมอลำ เครื่องแต่งกายก็พัฒนาให้วิจิตรสวยงาม ตระการตา
ทั้ง ๆ ที่อัตราค่าจ้างแสดงต่อคืนแพงมาก เช่น คณะนกน้อยอุไรพร ประมาณ 120,000 บาท ต่อ
คืน แต่ผู้คนก็ยังนิยมอย่างแพร่หลาย จึงมีการอนุรักษ์สืบสานในเมืองร้อยเอ็ดโดยนางรัญจวน ดวง
ไข่ศร ได้ตั้งโรงเรียนขึ้นสอนการลำ มีวัยเด็ก และวัยรุ่นให้ความสนใจผลิตลูกศิษย์ออกมารับใช้
สังคมได้พอสมควร ส่วนภาคบันเทิงใหม่ของผู้คนทุกเพศทุกวัยเข้าถึงคือภาคบันเทิงจากโทรทัศน์ที่
มีภาพยนตร์และลครทุกช่อง
22
7. เมืองสมัยแห่งการพัฒนาของรัฐ มีความเจริญตามจินตนาการใหม่ ๆ ของรัฐ เช่น
ให้มีสถานที่ท่องเที่ยว สวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มีสวนสุขภาพเพื่อการออกกำลังกาย
ให้โอกาสใหม่กับคนเมืองได้มีความสัมพันธ์กันในด้านสันทนาการแบบใหม่ ดังนั้นทั้งเมืองร้อยเอ็ด
และยโสธรจึงพัฒนาตามนโยบายรัฐ รวมทั้งการแสวงหาเอกลักษณ์ของเมืองร้อยเอ็ดคือ บึงพลาญ
ชัยได้พัฒนาให้ภูมิทัศน์สวยงาม และฟื้นฟูคนดีที่สร้างบ้านเมือง และสร้างคุณงามความดี จึงมีการ
สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเชิดชูคุณงามความดี เช่น มีอนุสรณ์สถานพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์
(ทอง จันทรางศุ) ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด (พ.ศ. 2469-2471) ผู้ริเริ่มขุดลอกบึงพลาญชัยและ
ประดิษฐานหลักเมืองที่กลางบึงพลาญชัย สร้างที่หน้าวัดบึงพลาญชัย อนุสาวรีย์พระขัติยะวงษา
(ทนต์) ผู้สร้างเมืองร้อยเอ็ด เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ตั้งอยู่วงเวียนห้าแยกสายน้ำผึ้งสร้างปี พ.ศ.
2541 เมืองยโสธรมีโครงการจะสร้างเช่นกัน ได้สร้างสวนสาธารณะพญาแถนเป็นที่จัดกิจกรรม
ของเมือง ที่พักผ่อนออกกำลังกาย พัฒนาริมแม่น้ำชีให้เป็นสถานพักผ่อน ออกกำลังกาย ฟื้นฟูสภาพ
ให้ใช้ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมประเพณีแข่งเรือประจำปี ทดแทนหาดทรายที่หายไป และพัฒนา
หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองยโสธรเป็นสวนสาธารณะให้ผู้คนได้มาพักผ่อนและออกกำลังกาย
ความสัมพันธ์ของเมืองผ่านกิจกรรมกลุ่ม เกิดความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นจาก
ความสัมพันธ์แบบเดิมที่เคยมีมาก่อนแล้วคือ การรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมของบุคคลในรูปของ
กลุ่ม สมาคม ชมรม มูลนิธิ ที่เกิดขึ้นในสองเมือง มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นการรวมตัวกันใน
2 ลักษณะ คือ รวมตัวโดยรัฐผลักดันหรือตั้งขึ้นเฉพาะด้าน เช่น สภาวัฒนธรรมจังหวัด ยุวพุทธิก
สมาคมจังหวัด ชมรมลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายเดียวกันมีทั้งกลุ่มทางการเมือง
กลุ่มทางด้านเศรษฐกิจ และกลุ่มทางด้านสังคม เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเฉพาะกิจที่หลากหลาย
ขอยกตัวอย่างเพียงบางกลุ่มกล่าวคือ
กลุ่มทางด้านการเมือง ตั้งแต่ระดับประเทศลงมาสู่ส่วนท้องถิ่น มีการรวมกันสังกัดพรรค
การเมือง กลุ่มการเมือง ที่มีการเชื่อมโยงอำนาจการสนับสนุนในทุกระดับเข้าด้วยกัน ในระดับ
ท้องถิ่น เมืองร้อยเอ็ดพบว่า ในระยะแรกยังไม่รวมกลุ่มชัดเจน การแข่งขันกันมี ชาวคุ้ม
ข้าราชการ คหบดี พ่อค้า ตัวแทนคุ้ม ครั้นหลังปี พ.ศ. 2517 มามีการรวมกลุ่มชัดเจน มีนักธุรกิจ
เข้ามาแข่งขันมาก การแข่งขันกันมีการซื้อเสียงด้วยกันทุกกลุ่ม และมีหัวคะแนนภายในคุ้มชัดเจน
ผลการเลือกตั้ง กลุ่มพิทักษ์ท้องถิ่นภายใต้การนำของตระกูลจุรีมาศ ที่รวมพลังของเครือญาติ มิตร
สนิทเครือข่ายทางธุรกิจ เข้มแข็งขึ้นมา คู่ต่อสู้ชนะ 2 สมัย คือ กลุ่มพลาญชัยและกลุ่มพลังใหม่
จากปี พ.ศ. 2533 มา คู่ต่อสู้ไม่สามารถเอาชนะได้ กลุ่มพิทักษ์ท้องถิ่นจึงผูกขาดมาจนปัจจุบัน
ทั้งนี้เนื่องจากมีการเชื่อมโยงกับพลังอำนาจทางการเมืองในระดับประเทศ ซึ่งอยู่ในระบบเครือญาติ
23
ของตระกูลจุรีมาศ ที่มีบทบาทในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มีศักยภาพในการผลักดัน
งบประมาณมาพัฒนาปรับปรุงภายในเขตเทศบาลเมืองเป็นผลงานที่เห็นชัดเจนมากกว่าทุกสมัย
กลุ่มการเมืองยโสธร หลังจากการได้ยกฐานะเป็นจังหวัดแล้ว การรวมตัวกันของกลุ่ม
การเมืองตั้งแต่สมัยการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา เป็นการต่อสู้กันของกลุ่มผู้นำนักธุรกิจชาว
คุ้มพื้นเมือง กับกลุ่มผู้นำธุรกิจเชื้อสายจีน ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2517 กลุ่มพัฒนาท้องถิ่นที่มี
แกนนำเชื้อสายจีนได้ชัยชนะ ครั้นการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2528 กลุ่มหนุ่มยโสธรที่มีแกนนำชาวคุ้มซึ่ง
เป็นทั้งนักธุรกิจและข้าราชการบำนาญ ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ปี พ.ศ. 2533 กลุ่มคณะพัฒนา
ยโสธรของผู้นำเชื้อสายจีนได้ชัยชนะ หลังปี พ.ศ. 2538 มา กลุ่มนักธุรกิจชาวคุ้มได้ชัยชนะคือ กลุ่ม
พลังสร้างสรรค์ยโสธร โดยนายวีระวัฒน์ ภักตรนิกร เป็นผู้นำได้สร้างผลงานเป็นที่ยอมรับมากกว่า
กลุ่มอื่น ๆ ที่ผ่านมา
กลุ่มทางด้านเศรษฐกิจ เป็นการรวมกลุ่มกันเฉพาะอาชีพเดียวกันมารวมกันเพื่อปกป้อง
ผลประโยชน์และรวมพลังในการต่อรองกับรัฐและเอกชนที่มีกิจกรรมเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องโดย
มีหอการค้าจังหวัดเป็นองค์กรกลางและศูนย์รวมของนักธุรกิจตามนโยบายการก่อตั้งของรัฐเพื่อ
ระดมร่วมกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จังหวัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหา
เศรษฐกิจเรียกว่า กรอ. จึงให้แต่ละจังหวัดจัดตั้ง กรอ. จังหวัด และหอการค้าจังหวัดตาม พ.ร.บ.
หอการค้า พ.ศ. 2509 ขึ้นในทุกจังหวัด ดังนั้นในร้อยเอ็ดตั้งหอการค้าในปี พ.ศ. 2525 ยโสธรตั้ง
ในปี พ.ศ. 2528 ส่วนกลุ่มเศรษฐกิจอื่นมีการรวมตัวกันเป็นชมรมอาชีพ เช่น ชมรมโรงสีข้าว
ชมรมยา ชมรมหนังเร่และเพื่อนทุกอาชีพ ชมรมผู้ค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ส่วนเมืองยโสธรมี
ชมรมโรงสีข้าว ชมรมยา ชมรมผู้ค้ารถยนต์มือสอง สมาคมสตรีนักธุรกิจ ลักษณะของชมรมมี
ประธานและกรรมการที่ถูกเลือกขึ้นมาบริหารดูแลกิจกรรมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ซึ่ง
แต่ละชมรมมีกิจกรรมดูเหมือนมีความเข้มแข็งเอื้อประโยชน์ให้แต่เฉพาะกลุ่มของตนเองเท่านั้น มี
สมาชิกบางส่วนที่มีธุรกิจหลายอย่างได้เป็นสมาชิกของกลุ่มอาชีพหลายกลุ่ม ระหว่างกลุ่มมีระบบ
เครือญาติและการเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจร่วมกันจึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า
ความสัมพันธ์แบบกลุ่ม แต่ทุกอาชีพก็ได้ขับเคลื่อนมาสัมพันธ์กันในกิจกรรมสาธารณกุศล และ
กิจกรรมส่วนรวมของบ้านเมืองตามโอกาสอันควร
กลุ่มทางด้านสังคมและวัฒนธรรม เป็นความสัมพันธ์ในการรวมตัวกันเป็นทางการและ
ไม่เป็นทางการในรูปของมูลนิธิ สมาคม และชมรม เพื่อช่วยเหลือสังคม ในแต่ละกลุ่มก็ช่วยเหลือ
เฉพาะกิจตามวัตถุประสงค์ของกลุ่ม ดังเช่น
24
เมืองร้อยเอ็ด มี ชมรมสื่อสร้างสรรจังหวัดร้อยเอ็ดและสมคมนักวิทยุสมัครเล่นจังหวัด
ร้อยเอ็ด สภาวัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ชมรมรักร้อยเอ็ดสาเกตนคร ยุวพุทธิกสมาคมร้อยเอ็ด
กลุ่มเหล่านี้ ล้วนได้ทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่อส่วนรวมตลอดมา
เมืองยโสธร มีการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลและองค์กรรัฐเข้ามาดำเนินการไม่ได้ต่าง
ไปจากเมืองร้อยเอ็ด เช่น สภาวัฒนธรรมจังหวัด ยุวพุทธิกสมาคม ชมรมลูกเสือชาวบ้าน ชมรม
ผู้สูงอายุ ชมรมข้าราชการนอกประจำการ เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันของบุคคลที่ยังมีประโยชน์ต่อ
สังคมได้มามีพื้นที่ของกลุ่มทำประโยชน์ต่อส่วนรวมตลอดมา
แม้ว่าการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลในทั้งสองเมืองต่างกันเพียงชื่อและกิจกรรมเฉพาะ
กลุ่มก็ตาม แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้เป็นพลังสังคมส่วนหนึ่งที่
ทำให้เมืองมีการตื่นตัวขับเคลื่อนอยู่ในระดับหนึ่งที่สามารถหาแกนนำมาเกาะเกี่ยวให้ขับเคลื่อนใน
ระดับกว้างได้ เพราะในแต่ละเมืองยังมีทรัพยากรบุคคลที่เป็นผู้เคลื่อนไหวเป็นแกนนำของกิจกรรม
ต่าง ๆ ได้ดี เช่น เมืองร้อยเอ็ด มีผู้นำองค์กรเทศบาลโดยตำแหน่งมีศักยภาพ ชมรมรักร้อยเอ็ดสาเก
ตนคร นายวีระ วุฒิจำนงค์ และข้าราชการเกษียณอายุราชการ นักธุรกิจ ซึ่งมีความพร้อมทาง
ครอบครัว อาชีพ และบทบาทในสังคมเมืองร้อยเอ็ดเฉพาะตัวอยู่แล้ว ส่วนเมืองยโสธร มีผู้นำ
องค์กรเทศบาลโดยตำแหน่งมีศักยภาพ นายสมจิตต์ ไชยราช นายบำเพ็ญ ณ อุบล ซึ่งเป็นแกน
นำขับเคลื่อนกิจกรรมในเมืองหลาย ๆ อย่างร่วมกับกลุ่มข้าราชการบำนาญ และนักธุรกิจอาวุโส ชาว
คุ้ม ที่ทำประโยชน์ต่อชุมชนร่วมกันมา เป็นกลุ่มพลังเก่าที่มีความสามารถขับเคลื่อนกิจกรรมได้
ความสัมพันธ์ของเมืองผ่านประเพณี ทั้งสองเมืองมีประเพณีซึ่งเป็นเอกลักษ์ประจำเมือง
คือ ร้อยเอ็ด ผ่านประเพณีบุญผะเหวด ยโสธร ผ่านประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเห็นความสัมพันธ์ที่
คล้ายคลึงและแตกต่างกัน กล่าวคือ
ความคล้ายคลึงกัน มี 3 ประการกล่าวคือ
1. จังหวัดทั้งสองต่างก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือเป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟูประเพณีสำคัญ
ในอดีตมิให้สูญหายจึงให้ความสำคัญในการยกประเพณีขึ้นมาเป็นเอกลักษ์ของจังหวัด
อีกทั้งเน้นในการจัดงานให้ยิ่งใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมาให้มากที่สุด ตลอดจนเป็นการรักษา
ชื่อเสียงของจังหวัดให้อยู่คู่กับประเพณีนี้ จึงมีการพัฒนารูปแบบการนำเสนอต่อผู้ชมในแต่ละปีที่มี
กิจกรรมบางอย่างเพิ่มเข้ามาหลากหลาย ระยะการจัดงานพิธีกรรมในวันเดียวไม่สิ้นสุดต้องใช้เวลา
2-3 วันเช่นเดียวกัน
2. เป็นประเพณีที่เห็นความสัมพันธ์ของเมืองจากการระดมทรัพยากรครั้งใหญ่ในรอบ
ปีในลักษณะขององค์กรรัฐ องค์กรเอกชน และชาวคุ้ม เกี่ยวร้อยเข้ามาสัมพันธ์กันในบทบาท
หน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพิธีกรรมของประเพณีตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดพิธีกรรม โดยทุกกลุ่มได้มีส่วน
25
ร่วมไม่มากก็น้อย เห็นถึงการรวมพลังของผู้คนเข้ามาขับเคลื่อนทั้งเป็นเจ้าภาพและผู้เข้าร่วม
พิธีกรรมของประเพณี
3. เป็นประเพณีที่มีการกระจายทรัพยากรครั้งใหญ่ในรอบปี นั่นคือ การใช้งบประมาณ
ในการจัดงานมากพอสมควรดังเช่น งานบุญผะเหวดมีการจัดแห่ขบวน 13 กัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
การจัดกิจกรรมมีการประกวดให้รางวัล การสมโภชน์ภาคกลางคืนใช้งบประมาณหลายแสนถึงล้าน
บาทต่อปี งานบุญบั้งไฟ มีการแห่ขบวนบั้งไฟของคณะคุ้ม และอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดก็ล้วนทำให้
ยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นกัน การแข่งขันเวทีกองเชียร์ การฉลองงานภาคกลางคืน ล้วนใช้งบประมาณปี
ละหลายแสนสนับสนุนขบวนแห่เช่นกัน ขั้นตอนของแต่ละพิธีกรรมที่มุ่งให้ยิ่งใหญ่สมบูรณ์และ
นำไปสู่ชัยชนะในการประกวดประชันกันก็ล้วนแต่ใช้งบประมาณมากโดยไม่ได้ถาวรวัตถุ แต่สิ่งที่ได้
ในสองประเพณีตามสำนึกของชาวเมืองคือ ชื่อเสียงของจังหวัด คุณค่าทางจิตใจที่ประเมินค่าไม่ได้
ความแตกต่างกัน จากเงื่อนไขของความหมายตามความเชื่อที่สะท้อนออกมาทาง
พิธีกรรม 3 ประการ กล่าวคือ
1. งานบุญบั้งไฟ มิใช่การทำบุญแต่เป็นงานบูชาแถนเพื่อขอฝนให้ความอุดม
สมบูรณ์ต่อการเพาะปลูกประชาชนจึงเสียสละ แต่งานบุญผะเหวดเป็นการระดมทรัพยากรจาก
ศรัทธาของผู้คนได้ร่วมสะสมบุญในรูปแบบของกัณฑ์หลอน ระดมได้เพิ่มขึ้นทุกปีจากหลายแสน
บาทเป็นล้านกว่าบาทในแต่ละปี ที่เจ้าภาพได้ตั้งเป็นกองทุนบุญผะเหวด นำส่วนนี้มาใช้จ่าย
ในปีต่อไป
2. รูปแบบการกระจายหรือการให้ทานอาหาร บุญบั้งไฟพบในวันเซิ้งขอเหล้าหรือ
อาหารตามประเพณีเดิมได้กลายมาเป็นการเซิ้งที่ให้เงินหรือเรียกกันว่าเซิ้งขอเงิน เพื่อไปซื้อเหล้า
อาหาร ดื่มกันให้สนุกสนานนั้น ในปัจจุบันตามร้านค้าตลาด มีการปิดร้านกันเพราะเกรงสิ่งของ
สินค้าเสียหายจากการเซิ้งที่หยิบฉวยเกินขอบเขต และการดื่มเหล้านำไปสู่การทะเลาะวิวาทกัน
ในขณะที่งานบุญผะเหวด ไม่ดื่มของมึนเมา อาหารหลักคือ ข้าวปุ้น ที่ให้รับประทานในวันแห่
ขบวนสำหรับผู้มาร่วมงาน
3. การนำเสนอในขบวนแห่ บุญผะเหวด นำเสนอแต่ละกัณฑ์ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของ
พระเวสสันดร เป็นวิถีของชนชั้นผู้ปกครองชั้นสูง ส่วนบุญบั้งไฟนำเสนอเรื่องราววิถีของ
ชาวบ้านเน้นการเพาะปลูกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการแห่บั้งไฟที่มีสัญลักษณ์เพศเข้ามาเกี่ยวข้อง
วันสุดท้ายของงานคือ บุญบั้งไฟ การจุดบั้งไฟเป็นพิธีที่เสี่ยงต่อความเสียหาย ทั้งทรัพย์สินและ
ชีวิตดังเคยมีมาในอดีตแม้ปัจจุบันมีการป้องกัน เช่น ให้ชาวบ้านอยู่ใกล้ที่จุดบั้งไฟออกจากบ้าน
จนกว่าจุดเสร็จ ผู้มาร่วมงานส่วนมากเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และวัยหนุ่มสาวที่มีความสนุกสนาน
26
กับการเชียร์บั้งไฟของคุ้มหรืออำเภอของตน ตามเงื่อนไขของความเชื่อในการจุดบั้งไฟถวายแถน
แล้วยังเป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ถ้าขอได้ความอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นบุคคลก็เป็นสุข แต่ตรงข้ามหากปี
ใดขอมิได้ก็นำมาซึ่งความทุกข์กับการเพาะปลูก ส่วนบุญผะเหวดพิธีกรรมในวันสุดท้ายคือ การฟัง
เทศน์ผะเหวดมีความเชื่อว่าฟังเทศน์ผะเหวดจบทั้ง 13 กัณฑ์ ในวันเดียวจะได้อานิสงส์ผลบุญซึ่ง
เป็นนามธรรม แต่ผู้คนก็มีความปีติสุขกับผลบุญที่เชื่อว่าตนเองได้รับแล้ว
ดังนั้นผู้มาร่วมในพิธีกรรมช่วงนี้ส่วนมากจึงเป็นผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่น
ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับตำบลรอบนอก เนื่องจากเมืองกับตำบลรอบนอกมีพื้นที่
เชื่อมต่อกัน มีความเป็นท้องถิ่นเดียวกันมาแต่อดีต ที่ผู้คนมีการเคลื่อนย้าย สัมพันธ์กันในวิถีที่
พึ่งพากันมาเป็นเวลานาน เพียงแต่อำนาจรัฐเข้ามาแบ่งเขตพื้นที่ในการพัฒนาที่เน้นให้เมืองเป็น
ศูนย์กลางด้านต่าง ๆ จึงทำให้สภาพเมืองต่างไปจากเขตตำบล ดังนั้นในเมืองร้อยเอ็ดและยโสธร
ความสัมพันธ์กับตำบลรอบนอกจึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ
1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำ
2. การแลกเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ ข้าว ปลาอาหาร ครั้นมีตลาดในเมืองมีพ่อค้า
คนกลางชาวจีน และแม่ค้าท้องถิ่นที่มีทั้งคนเมืองและในตำบล เข้ามาเป็นคนกลางในการระดม
ผลผลิตทั้งปวงมาสู่ผู้บริโภค
3. การเคลื่อนย้ายของชาวเมืองออกสู่ตำบล และผู้คนจากตำบลเข้าสู่เมือง มี 3
ลักษณะคือ การแต่งงาน การขยับขยายจากเมืองที่หนาแน่นคับแคบออกสู่ที่นาในเขตตำบลและ
ชาวตำบลเข้าสู่แหล่งงานในเมือง
4. การปรับวิถีคิดและบริโภคตามแบบเมือง เนื่องมาจากการพัฒนาโครงสร้าง
พื้นฐานในเมืองเจริญก่อนแล้วขยายสู่ตำบล เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา ให้ผู้คนสะดวกสบาย หลัง
ปี พ.ศ. 2500 มา ในตำบลรอบนอกพ่อแม่นิยมส่งลูกเรียนหนังสือเพื่อเข้าสู่ระบบราชการ การ
บริโภคสิ่งใหม่ ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องไฟฟ้า ตามแบบเมือง จึงแสวงหาเงินจากการขายที่
ขายนา อาชีพก็ปรับเปลี่ยนจากการทำนา หลังปี พ.ศ. 2520 หันมาค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ รับจ้าง
เป็นกรรมกร ปั่นสามล้อ งานก่อสร้าง ดังนั้น เมืองจึงพึ่งแรงงานจากหมู่บ้าน แต่หมู่บ้านพึ่งเมือง
มากทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ผู้เข้ามาทำงานในเมืองก็พึ่งอาหารสำเร็จรูปจากเมืองกลับบ้านตอนเย็น
การขายที่นาในเขตตำบลหลังปี พ.ศ. 2520 จากนโยบายของรัฐพัฒนาเศรษฐกิจ
แบบทุนนิยม พ่อค้านายทุนเชื้อสายจีน ลงทุนทางธุรกิจอุตสาหรรม และการเก็งกำไรในที่ดิน จึง
ซื้อที่ดินในเขตตำบลกันมาก ราคาที่ดินสูงมากในช่วงปี พ.ศ. 2530-2540 เพราะธุรกิจ
27
อุตสาหกรรมขยายตัวสู่เขตตำบล เช่น โรงสีข้าว หมู่บ้านจัดสรร ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป
ศูนย์บริการด้านยานยนต์ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันทั้งสองเมือง โดยขยายตัวตามเส้นทางเชื่อมเมือง
กับตำบลรอบนอกเมืองร้อยเอ็ด ขยายออกทุกทิศทางรอบเมือง ส่วนยโสธรขยายมากในเส้นทาง
สายหลักที่ตำบลตาดทอง ตำบลเขื่องคำ ตำบลสำราญ และตำบลน้ำคำใหญ่ ส่วนทางทิศใต้เมือง
ติดลำน้ำชี ขยายเฉพาะธุรกิจดูดทราย และสวนอาหาร นอกจากนั้นหน่วยงานของจังหวัดร้อยเอ็ด
แยกตัวเป็นสำนักงานเอกเทศ และสถาบันการศึกษาย้ายออกจากเมืองสู่ตำบลรอบนอกซึ่งมีพื้นที่
กว้างขวางเหมาะกับการเติบโต ส่วนเมืองยโสธร เป็นหน่วยงานใหม่ของจังหวัดรวมทั้ง
สถาบันการศึกษาระดับจังหวัด พึ่งเกิดขึ้นภายหลังได้ยกฐานะเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2515 พื้นที่ใน
เขตตำบลที่เชื่อมกับเมืองจึงได้รองรับการเติบโตของเมือง สถาบันการศึกษาที่ขยายออกสู่ตำบล
ก่อให้เกิดหอพัก บ้านเช่า ร้านค้า การบริการใหม่ ๆ ตามมาซึ่งมีผลต่อการปรับเปลี่ยนอาชีพใน
หมู่บ้าน ความพลุกพล่านเกิดขึ้น ความสงบหมดไปพบในเขตตำบลรอบเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด
ในยโสธรเขตตำบลสำราญ พึ่งก่อตัวของหอพักเล็ก ๆ
สำนึกการรับรู้เมืองในวันนี้และต้องการพัฒนาเมืองในวันข้างหน้า
ผลการเรียนรู้จากเวทีเสวนาเรียนรู้ และกลุ่มเสวนาของวัยนักเรียน กลุ่มวัยทำงาน และ
กลุ่มผู้อาวุโส พบว่าชาวเมืองร้อยเอ็ด และยโสธรมีการรับรู้และภูมิใจต่อเมืองไม่ต่างกันที่เมืองใน
วันนี้ได้พัฒนาเจริญสวยงามมีสิ่งใหม่ ๆ ที่ให้ประโยชน์แก่ส่วนรวม และยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข
กล่าวคือ
1. เมืองมีสิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่สักการะของผู้คนร่วมกันคล้ายกันทั้งสอง
เมือง คือมีศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เจ้าพ่อมเหศักดิ์หรือศาลาเจ้าปู่ เจ้าแม่สองนาง และเจ้าพ่อ
หอชุม มีพระใหญ่หรือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในวัดสำคัญ
2. มีสถานที่สวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง เป็นที่จัดกิจกรรมของเมืองคือ เมือง
ร้อยเอ็ดมีบึงพลาญชัย ซึ่งมีเกาะกลางบึง พื้นที่เชื่อมกับสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ และสวน
สุขภาพภายในบึงให้ผู้คนมาสัมพันธ์กันด้านการพักผ่อน ออกกำลังกาย จัดกิจกรรมของเมือง มี
ทัศนียภาพสวยงาม เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมือง และมีพิพิธภัณฑ์เมืองเป็นแหล่งเรียนรู้ เมือง
ยโสธรมีสวนพญาแถน บริเวณมีน้ำล้อมรอบ (คล้ายบึงพลาญชัยร้อยเอ็ด) เป็นที่จัดกิจกรรมของเมือง
การพักผ่อน และออกกำลังกาย มีสวนสุขภาพริมน้ำชี และสวนสุขภาพหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง
เป็นที่พักผ่อน ออกกำลังกายของผู้คนเช่นกัน มีพิพิธภัณฑ์บั้งไฟเป็นแหล่งเรียนรู้
3. มุมมองและความต้องการพัฒนาเมืองในแต่ละกลุ่มวัยคือ 1) กลุ่มผู้สูงอายุ มองเห็น
ความเจริญก้าวหน้าของเมือง แต่ผู้คนในวัยทำงานใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย กู้หนี้ยืมสิน มีความเห็นแก่ตัวสูง
28
ไม่เหมือนคนรุ่นตนในช่วงอยู่ในวัยเดียวกัน มองเห็นวัยรุ่นนิยมเที่ยวสถานบันเทิง ไม่ต้องการให้
เมืองมีสถานบันเทิงมอมเมาเยาวชน และให้ปราบยาเสพติดให้หมดไป 2) กลุ่มวัยทำงาน เห็นว่า
เมืองมีความเจริญทางวัตถุมาก ต้องปรับตัวมากกับเทคโนโลยีใหม่ วัยพวกตนต้องดิ้นรนหาเงินกับ
ค่าใช้จ่ายที่สูง มีภาวะหนี้สินกับการมีบ้านอาศัยของครอบครัว และยานพาหนะที่เห็นว่าจำเป็นต้องมี
และภาวะส่งเสียลูกเรียนหนังสือระดับสูงเพื่อความอยู่รอดในสังคมที่มีการแข่งขันกันสูง จึงต้องการ
ให้เมืองพัฒนาด้านคุณธรรมของผู้คน ให้มีมหาวิทยาลัยในเมืองตนเพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง
ให้มีการสร้างแหล่งงานรองรับเด็กรุ่นใหม่ที่ตกงาน ตลอดจนการแก้ปัญหายาเสพติด ปัญหาขยะ
และระบบระบายน้ำ 3) กลุ่มวัยรุ่น มองเมืองว่ามีความเจริญสวยงามน่าอยู่ สะดวก เจริญทาง
เทคโนโลยีสื่อสารทำให้ได้รับข้อมูลเปิดโลกทัศน์กว้าง ต้องการให้เมืองพัฒนาในสิ่งที่เอื้อต่อวัยนี้
คือ มีมหาวิทยาลัยในเมืองของตน มีศูนย์การค้าที่มีทางเลือกมาก ๆ และต้องการให้ยาเสพติดหมด
ไปจากเมือง มุมมองต่อวัยเดียวกันคือ วัยนี้กล้าแสดงออกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลงวัตถุตามแฟชั่น
โดยเฉพาะลูกผู้มีฐานะดีฟุ่มเฟือย มองว่าการเที่ยวสถานบันเทิงให้มีบ้างบางโอกาสเพื่อเรียนรู้สังคม
ในแง่มุมหนึ่งจะทำให้เสื่อมเสียหรือหลงมัวเมาหรือไม่ขึ้นอยู่กับสำนึกผิดชอบชั่วดีของแต่ละบุคคล
4. ปัญหาภายในเมือง เช่น เมืองร้อยเอ็ด พบกับสภาพปัญหาทั่วไป คือ การระบาย
น้ำ ขยะ น้ำเสีย ที่ดินรกร้างเปลี่ยว เขตรอยต่อกับอบต. ในการพัฒนาถนน ป้ายจราจร สัญญาณ
ไฟ และยาเสพติดยังมีอยู่ทั่วไป เมืองยโสธร มีปัญหาที่ต้องแก้ไขเช่น ไฟฟ้าให้แสงสว่างตามซอย
ไม่ทั่วถึง ตลาดไม่เป็นระเบียบ การจราจรไม่เป็นระเบียบ และยาเสพติดยังมีอยู่ทั่วไปเช่นกัน มี
ความขัดแย้งกันบ้างเล็กน้อยที่สามารถปรับตัวในการอยู่ร่วมกันได้ ความขัดแย้งรุนแรงไม่มี
เนื่องจากผู้คนมีความเชื่อมีประเพณีที่เป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติกิจกรรมเดียวกัน มีความเอื้อเฟื้อ
ต่อกัน และสำนึกในการเป็นคนเมืองเดียวกัน
พลังของชุมชน
ผลการเรียนรู้จากเวทีเสวนา และกลุ่มสนทนา ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนเรื่องพลังของชุมชน
ที่จะขับเคลื่อนกิจกรรมการพัฒนาเมืองร่วมกัน ทั้งสองเมืองพบว่า
1. องค์กรการเมือง โดยเฉพาะสภาเทศบาลเมือง นายกเทศมนตรีทั้งสองเมืองมีศักยภาพ
ในการพัฒนาเมือง คือ
1.1 นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ ผู้นำเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด และนายวีระวัฒน์
ภักตรนิกร ผู้นำเทศบาลเมืองยโสธร อยู่ในวัยฉกรรจ์มาจากตระกูลนักธุรกิจและการเมือง มี
ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาเมือง มีผลงานเด่นเห็นชัดเป็นที่ยอมรับของชาวเมือง ซึ่งพิจารณา
ศักยภาพจากผลงาน
29
1.2 มีศักยภาพในการผลักดันงบประมาณเข้ามาพัฒนาเมืองจากการมีเครือข่ายใน
ระดับประเทศ เช่น นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ เป็นเครือญาติกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง นายวี
ระวัฒน์ ภักตรนิกร เป็นเครือข่ายในสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย
1.3 ผลงานดีเด่น คือ เมืองยโสธร เช่น ได้สร้างสวนพญาแถน สวนสาธารณะ
พักผ่อนริมน้ำชีทางทิศใต้เมืองติดบุ่งใหญ่ การสร้างสวนสาธารณะหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง สร้าง
พิพิธภัณฑ์บั้งไฟ กำลังสร้างระบบระบายน้ำรอบเมือง เมืองร้อยเอ็ดเช่น การปรับปรุงฟื้นสภาพคู
น้ำ ปรับปรุงบริเวณบึงพลาญชัย ปรับปรุงถนนภายในเมือง สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งสองเมืองมี
ผลงานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับของชาวเมือง
2. กลุ่มบุคคล จากการรวมตัวกันในกลุ่มบุคคล และอาชีพ ซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ต่าง
กลุ่มต่างมีกิจกรรมที่มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอเฉพาะกลุ่มของตน จึงเป็นพลังที่กระจัดกระจาย และมี
บุคคลที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนกิจกรรมเฉพาะอย่างของเมือง โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการ
เกษียณอายุราชการ และนักธุรกิจอาวุโส ที่ต้องการให้มีการสร้างเครือข่ายเกาะเกี่ยวกันในระดับ
กว้าง เพื่อร่วมกันพัฒนาเมืองต่อไป และภาพสะท้อนผ่านงานประเพณีในงานประจำปีของเมือง
เช่น
บุญผะเหวด บุญบั้งไฟ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพลังชุมชนที่มีความสามัคคี ร่วมแรง
ร่วมใจกันทำกิจกรรมเพื่อบ้านเมืองได้ดีมาก ดังนั้น หากองค์กรและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง สร้างความ
เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวพลังทั้งหลายที่มีอยู่มาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมา
ร่วมกันสร้างเมืองก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเมืองในวันนี้และวันหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น