จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฝ้ายขาวที่ผูกแขน

ภาคอีสาน ได้ถือว่าเป็นภาคที่ผู้คนมีจิตใจโอบอ้อมอารีมากภาคหนึ่ง มีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างเนี่ยวแน่มาแต่โบราณ  เช่นการแลกเปลี่ยนสิ่งของ เอาเกลือไปแลกข้าว เอาข้าวไปแลกปลา ที่ทำเข่นนี้เพราะในหมู่บ้านหนึ่งหนึ่งไม่สามารถผลิตทุกอย่างได้อย่าวสมบูรณ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและภูมิศาสตร์ของแต่และพื้นที่ บางแห่งอาจจะแล้ง บางแห่งมีแร่เหล็กมาก ก็จะเกิดกาารนำเหล็กมาถลุงแล้วนำไปแลกข้าวกับหมู่บ้านใกล้เคียง  จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน จากการที่มีการติดต่อกันนี้ทำให้มีวัฒนธรรมร่วม คือ กาารผูกแขน ซึ่งการผูกแขนเป็นกาารแสดงออกซึ่งความห่วงใย ความรัก ความเอ็นดู การผูกแขนก็จะมีคำกล่าวเพื่อเป็นการสอน หรือบอกกล่าวอะไรบางอย่าง ซึงเป็นจิตวิทยาชนิดหนึ่ง และะความเชื่อในอำนาจลึกลับ หรือความเชื่อในผีสางเทวดา คำผูกแขนก็จะกล่าวว่า "ฝ้ายอันนี้แม่นฝ้ายพระพรหม พระบรมมหาราช เครือเขากาดป่อนลงมา มีคาถาพระ อุปคุตอยู่นำ มีคาถายอดพระธรรมครบถ้วน พระยาอินทร์ล้วนส่งด่วนมาหา ส่งลงมาว่าให้ลูก ว่า ให้ผูกเอาขวัญ ว่าสมควรผูกไว้ ให้เป็นใหญ่ในโลกา ขวัญเข้ามาผูกแขนข้อ ผูกเอาหน่อคูณเฮือน ให้เจ้าใสปานเดือนอย่ามีเมฆ ให้เป็นเอกในเมืองคน อย่ายากจนอึดอยาก ยามเจ้าปากมีคนถาม ผิวพรรณงามผุดผ่อง สีใสส่องดั่งทองทา ยามไปมาอย่าอืดอาด ยัวระยาตรดั่งพระยาช้างสาร กับ ทั้งบริวารพอหมื่น ให้ล้นหลื่นคนทั้งหลาย มีหญิงชายเป็นข้อยข้า มีช้างม้าโตงาม มีคนหามแหนแห่ ให้เจ้าดีกว่าพ่อกว่าแม่ทั้งหลาย มีของขายเต็มบ้าน มีอยู่ฮ้านเนืองนอง มีนาหนองและนาห้วย มี คนช่วยการงาน อายุนานปานพระอุมา และนางวิสาขะสุขเลิศ แสนประเสริฐดั่งนางผุสดี มีขันติ ดั่งพระเตมีใบ้ ให้เจ้าใหญ่ดั่งพระอิศวรอยู่เขาไกรลาศ งามองอาจดั่งพระนารายณ์ บ่มีไผมาท่อ คือ น้อยหน่อสีดา มีปัญญาดั่งศรีปราชญ์ ให้ฉลาดดั่งศรีธนญชัย คิดอันใดให้เจ้าได้ดั่งคำมัก คำ ปรารถนา มะ อะ อุ อุ มะ นะ ชา ลิ ติ สาธุฯ"
จากอดีตถึงปัจจุบัน กาารผูกแขนก็ยังเป็นประเพณีนิยมอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น