เวลาตี 4 ของวันที่ 23 ตุลาคม ต้นฤดูหนาวซึ่งอากาศในขณะนี้กำลังเย็นสบายดี ผมนอนฝันอยู่ในห้องนอนที่เงียบสงัด ทันใดนั้นนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จึงทำให้รู้ตัวว่าต้องตื่นเพราะมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ นั้นคือเป็นวันเดินทางไปเข้าร่วมงาน “เทางามสัมพันธ์ครั้งที่ 14” ซึ่งมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ลากกระเป๋าเดินทางและสะพายเป้ที่ใส่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและเครื่องนอนขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อไปขึ้นรถที่พิพิธพันธ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเป็นที่ได้นัดหมายกันเอาไว้
หลังจากที่เสียงรถจักรยานยนต์เงียบลงซึ่งเป็นสิ่งบอกว่าถึงแล้ว(ถึงพิพิธพันธ์) เพื่อนร่วมเดินทางกำลังวุ่นกับการเตรียมตัวและขนสิ่งของสำภาระขึ้นรถอย่างแข็งขัน ท่ามกลางเสียงคุยกันไปพลางๆด้วยทำให้รู้ว่าทุกคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับงานน้าคือการนำดนตรีอีสานหรือที่เรียกว่า โปงลางไปทำการแสดงเพราะผมอยู่ฝ่ายศิลปวัฒนธรรม
เวลาประมาณ 6 โมงเสียงรถบัสมหาวิทยาลัยดังขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าใกล้จะออกเดินทางแล้ว ทุกคนต่างขึ้นรถทำการจับจองที่นั่งของใครของมัน หลังจากที่รถออกแล้วทุกคนต่างพูดคุยกันสักพัก และก็หลับไป ตื่นขึ้นมาอีกที่ก็ถึงอำเภอชุมแพแล้ว พวกเรารับประทานอาหารเช้ากันที่นั้นจนเสร็จและเดินทางต่อ หลังจากที่ขึ้นรถได้ไม่นานทุกคนก็หลับอีกตามเคย การเดินทางครั้งนี้ทุกๆคนรู้ว่าต้องขึ้นเขาน้ำหนาวซึ่งอาจทำให้มีอาการเวียนหัวได้ง่ายๆ และมีบางคนก็มีอาการจริงๆ
จุดมุ่งหมายของเราในวันแรกคือพักในมหาวิทยาลัยนเรศวรเพื่อเตรียมความพร้อมในวันพรุ่งนี้ พวกเราถึงมหาวิทยาลัยนเรศวรประมาณ 4-5 โมงเย็น ผมก้าวลงจากรถแล้วมองไปรอบๆที่จอดรถ มองเห็นถึงอาคารต่างๆที่แซมไปด้วยต้นไม้ดูแล้วรู้สึกร่มรื่นดี หลังจากที่เราจัดของเข้าหอพักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ลงมาชมบรรยากาศรอบๆ มหาวิทยาลัยนเรศวรโดยการนั่งรถไฟฟ้าที่เขามีไว้บริการนิสิต เสียงหัวเราะ ความสนุกความตื่นเต้น ของทุกคนได้เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้าอย่างครื้นเครง
เวลาพลบค่ำพวกเราปรึกษากันว่าเราจะไปไหนกันดี คิดกันอยู่สักครู่หนึ่งก็ได้ตกลงกันว่าจะไปถนนคนเดินที่ในเมือง โดยได้ชวนเพื่อนจากมหาวิทยาลัยทักษิณไปด้วยกัน พวกเรายืนรอรถประจำทางอยู่นานแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย พวกเราจึงตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไปขึ้นรถที่หน้าโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยนเรศวร ระหว่างทางเราได้แวะนมัสการพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ ลานสมเด็จพระนเรศวร และเดินข้ามสะพานเอกาทศรสเพื่อไปหน้าโรงพยาบาล
นั่งคุยกันอยู่สักพักรถประจำทางก็มาและพาเราไปถึงที่ถนนคนเดิน เดินลงรถแล้วมองเห็นผู้คนมากมายที่มาเที่ยวกันซึ่งวันนี้เป็นวันออกพรรษาด้วย เราเริ่มเดินกันโดยไม่ได้สนใจเพื่อนที่มาด้วยกันเลย เพราะต่างก็อยากจะดูอยากจะเห็นสิ่งที่เขานำมาวางขาย เมื่อดูๆแล้วก็ “คลองถม” บ้านเราดีๆนี่เอง เมื่อเดินเลือกซื้อของพอใจแล้ว ทุกคนต่างมานั่งทอดขาลงข้างทางอย่างหมดสภาพ แล้วบ่นพรึมพรำว่า “เมื่อไหร่รถจะมาสักที” เรากลับมาถึงหอพักประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ต่างก็แยกย้ายกันอาบน้ำ พักผ่อนแต่ยังไม่ได้พักสักนิด ความหิวเริ่มมารบกวนสมองอีก ผมจึงชวนเพื่อนๆออกไปหาอะไรกินที่ “ประตู 5” แต่ระยะทางที่จะไปนั้นไกลพอสมควร โชคดีที่เพื่อนมหาวิทยาลัยทักษิณที่เคยรู้จักในงานเทางามครั้งที่แล้วกำลังจะออกไปกินโนนั่งรถมหาวิทยาลัยทักษิณไป จึงชวนพวกเราไปด้วย ตอนไปก็ดีเพราะได้นั่งรถไป แต่ตอนกลับทุกคนต้องเดินเพราะรถไม่ได้มาส่งเพราะพักกันคนละที่ เมื่อทานอาหารเสร็จพวกเราทั้งสองมหาวิทยาลัยเดินกลับด้วยความอิ่มหนำสำราญ การเดินทางเคล้าคลอไปด้วยเสียงแคนที่พวกเรามหาวิทยาลัยมหาสารคามผลัดเปลี่ยนกันเป่าอย่างสนุกสนาน
ระยะทางของการเดินจากประตู5 เข้ามาในหอพักก็ถือว่าไกลพอสมควรแต่รู้สึกว่ามันใกล้มากเพราะพวกเราคุยกันแบบลืมเหนื่อยไปเลย หลังจากที่ถึงหอพักแล้วทุกคนต่าง เข้านอนเพื่อเตรียมตัวตื่นรับกับกิจกรรมในวันพรุ่งนี้
6 โมงเช้า ของวันที่ 24 ตุลาคม เสียงนาฬิกาของแต่ละคนปลุกขึ้นพร้อมกัน กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ บางคนก็ตื่น แต่บางคนรู้สึกว่านาฬิกาปลุกไม่ได้ช่วยอะไรเลย การอาบน้ำแต่งตัวเริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงโกรนของที่มาจากเพื่อนที่ยังไม่ตื่น แต่พวกเราก็ลงไปทันเวลา วันนี้เป็นวันที่ต้องลงทะเบียน รับเสื้อและถ่ายรูป
หลังจากที่ลงทะเบียนแล้ว พวกเราได้พูดคุยกับเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยที่เคยรู้จักกันจากเทางามครั้งที่แล้ว และเล่าเรื่องงในอดีตให้กันฟัง จนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยง พวกเราต่างรับประทานอาหารที่เจ้าภาพจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างอร่อย
ภาคบ่ายของวันเดี่ยวกันมีการบรรยายเกี่ยวกับประวัติของเมืองพิษณุโลก และเมืองพิษณุโลกในอดีต บรรยากาศในห้องประชุมเย็นๆ เสียงพูดเบาๆจากหน้าเวที ทำให้ต่างคนต่างออกอาการง่วงนอนขึ้นมา บางคนถึงกับหลับเลยทีเดียว หลังจากนั้นได้มีการแบ่งกลุ่มสัมพันธ์ให้ทำกิจกรรม ส่วนผมและเพื่อนๆฝ่ายศิลปวัฒนธรรมต้องไปจัดเตรียมเวที ที่จะมีการแสดงและการเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการในค่ำคืนนี้ จึงไม่ได้ร่วมสนุกกับเพื่อนๆ ในกิจกรรมกลุ่ม
เวลาพลบค่ำ อากาศเริ่มเย็นมากระทบที่ผิวหนัง ทุกคนเตรียมตัวขึ้นรถเพื่อเที่ยวชมรอบๆมหาวิทยาลัยและเดินทางไปที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับ
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ด้วยความสนุกสนานมีการชมการแสดงของแต่ละมหาวิทยาลัยไปด้วยและรับประทานอาหารไปด้วย ความรู้สึกของทุกคนที่แสดงออกมาคือมีความสุขมากๆ
หลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จพวกเราต่างช่วยกันเก็บของขึ้นรถและกลับเข้าหอพักเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนบ้านป่าแดง(เขาค้อ)ในวันพรุ่งนี้
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นด้วยอากาศที่หนาวนิดๆทุกคนต่างเก็บสำภาระทั้งหมดลงในกระเป๋าใบใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจะต้องเดินทางอีกแล้ว เวลาประมาณ 8 – 9 โมงเศษ ทุกคนต่างก็ขึ้นรถมหาวิทยาลัยตัวเอง เพื่อเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเมืองพิษณุโลก เช่น พระราชวังจัน และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือที่เรียกกันว่าวัดพระพุทธชินราช เสร็จแล้วเราก็ได้รับประทานอาหารมื้อพิเศษ กินไปด้วยชมวิวไปด้วย(ข้าวกล่อง) จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปที่โรงเรียนบ้านป่าแดง(เขาค้อ) เราถึงจุดหมายประมาณ 4 โมงเย็น เทางามครั้งนี้พิเศษกว่าทุกๆปีก็ว่าได้เพราะที่ที่พวกเราเดินทางไปนั้น รถบัสไม่สามารถเข้าไปถึงได้ จึงต้องขนถ่ายสำภาระทั้งหมด ใส่รถเครน 6 ล้อไป และเพื่อนร่วมเดินทางก็ขึ้นรถกระบะไป ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นรสชาติของชีวิตอีแบบที่หาได้ที่โครงการเทางามครั้งที่ 14 เท่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่เกิดโครงการเทางามขึ้น ได้เกิดสิ่งที่ดีๆขึ้นมากมายคือ
สิ่งดีๆจากคำว่ามิตรภาพ ซึ่งเพื่อนร่วมโครงการทุกคนมีให้กันตลอดระยะเวลาของการทำกิจกรรม มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ในมหาวิทยาลัย การเรียน การบริหารงานและอื่นๆ
สิ่งดีๆจากอากาศดีๆ มีสโลว์แกนของเขาค้อว่า นอนเขาค้อหนึ่งคืน อายุยืนสิบปี เมื่อผมได้ไปสัมผัสแล้วรู้สึกว่าอากาศดีจริงๆ
สิ่งดีๆจากคณะครู อาจารย์โรงเรียนบ้านป่าแดง(เขาค้อ) ซึ่งได้อำนวยความสะดวกในทุกๆเรื่องให้แก่เรา ให้ได้ทำกิจกรรมอย่างดี
และผมคิดว่าสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในงานเทางามครั้งที่ 14 นี้จะถูกบันทึกในความทรงจำของทุกคนที่ได้มีโอกาสสัมผัสมันและอยากให้เพื่อนๆในมหาวิทยาลัยมหาสารคามได้มีโอกาสสัมผัสมัน
ในปีนี้ผมได้มีโอกาสได้ไปช่วยฝ่ายวิชาการทำงานนั้นคือ การจัดห้องสมุดใหม่ โดยจะทำการคัดเลือกหนังสือที่ใช้ได้และน่าอ่านมาจัดเป็นหมวดหมู่ และตกแต่งให้ห้องสมุดให้น่าอ่านยิ่งขึ้น เราใช้แรงกายและแรงสมองที่เรามี ร่วมกันสร้างสรรค์ห้องสมุดที่น่าเข้าไปใช้บริการให้กับน้องๆโรงเรียนบ้านป่าแดง(เขาค้อ) และหวังว่าน้องๆคงชอบ
การทำงานย่อมมีปัญหาและอุปสรรค์เสมอ อยู่ที่ว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่การแก้ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าต้องเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวจึงจะทำให้ไม่เกิดปัญหาอีก ในการทำงานครั้งนี้ก็มีปัญหาเช่นกันกับงานอื่นๆ แต่ด้วยพลังของเราชาวเทางาม งานจึงออกมาประสบความสำเร็จและน่าภาคภูมิใจ
เมืองบุหงา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น