เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ จัดเสวนาวิชาการเรื่อง "การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร : ปัญหากฎหมายและอธิปไตยของชาติ" โดยมีทั้งฝ่ายทหารและนักวิชาการรวมทั้งนักโบราณคดี เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น งานนี้จัดขึ้นที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับฟังอย่างล้นหลาม
นักโบราณคดีอย่าง ศรีศักร วัลลิโภดม ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เป็นวิทยากรที่นำเสนอได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
ข้อเสนอและข้อมูลความรู้ทางวิชาการของอาจารย์ศรีศักร อาจจะเป็นแนวทางหนึ่งสำหรับทางออกของปัญหาเขาพระวิหารที่กำลังถกเถียงกันอย่างยากที่จะหาข้อยุติในเวลานี้
อาจารย์ศรีศักร เริ่มต้นเนื้อเรื่องด้วยการกล่าวถึง....ชนวนของความขัดแย้งในปัจจุบันว่า มาจาก "ความคลั่งชาติ"
"ผมคิดว่าอุดมคติในการจัดการมรดกโลกนั้น เป้าหมายต้องทำสิ่งเหล่านี้นั่นคือ ความรู้ทางวิชาการต้องเคลียร์ให้หมดในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม ถ้าทำความเข้าใจนี้ได้มันก็สื่อได้ เพราะตัวมรดกโลกต้องเป็นแหล่งที่ให้ความหมายความเข้าใจตรงนี้ แต่ที่แล้วมามันไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่เป็นมรดกโลกในแทบทุกแห่งใช้มรดกโลกเป็นรูปแบบ
"ความฮือฮาของมรดกโลกเพราะมันไปสัมพันธ์กับแหล่งท่องเที่ยว เป็นแหล่งเศรษฐกิจแล้วกินปัญหาเรื่องการเมืองซึ่งนำไปสู่ปัญหาเรื่องเขตแดน"
ถามว่ามรดกโลกหลายแห่งในภูมิภาคนี้ บรรลุเป้าหมายที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนทั้งโลกหรือเปล่า
ยกตัวอย่างเช่น หลวงพระบาง หรือ ฮอยอันเป็นต้น นโยบายมุ่งหมายที่ดีในการคัดเลือกถูกต้อง แต่กระบวนการมันไม่ใช่ มันผันแปรเป็นเรื่องพื้นที่ทางเศรษฐกิจ บูมเรื่องแหล่งท่องเที่ยว ฉะนั้นมันก็ไม่ใช่แหล่งเรียนรู้ เขาไปซื้อของกันจนกระทั่งพื้นที่มรดกโลกกลายเป็นแหล่งค้าขายของนานาชาติ ข้ามชาติกันเป็นแถวไป
อาจารย์ศรีศักรย้ำให้เห็นความสำคัญของการเปิดใจให้กว้าง ทำความเข้าใจถึงความหมายการมีขึ้นของ "ปราสาทพระวิหาร" ที่ไม่ใช่แค่ "ตัวปราสาท" ว่า
เราเสียดินแดนครั้งที่แล้วเรื่องเขาพระวิหาร เขาอธิบายด้วย "ประวัติศาสตร์อาณานิคม" ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้น ใน "กรอบของประวัติศาสตร์ศิลป์"
เพราะเวลานี้ความรู้ก็เน้นเรื่องศิลปะ มันก็มาหยุดอยู่ที่ว่าปราสาทพระวิหารกษัตริย์ขอมสร้างขึ้น มีจารึกยืนยันแน่นอน ฉะนั้น เรายอมรับโดยปริยายแล้วว่าปราสาทอันนี้คือของขอมใช่ไหมครับ แล้วประวัติศาสตร์อันนี้ก็ได้เข้ามาอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติ ทำให้เกิดคลั่งชาติขึ้นมา เพราะฉะนั้นต้องทบทวนว่ามันหมายถึงอะไร
ตัวปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่ปราสาทโล้นๆ ตั้งอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ระหว่างต่อกัน แต่เดิมมีแหล่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นด้วย มันมีเรื่องราวตั้งนานแล้ว แล้วมาถึงยุคหนึ่งยุคพุทธศตวรรษที่ 15-16 มันเกิดกระบวนการ "ฮินดู-ไอเซชั่น" คือหมายความว่าทำให้เป็นฮินดู ตอนนั้นกษัตริย์เขมรเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ของฮินดู
ก็เหมือนกระบวนการ "บุดดา-ไอเซชั่น" ของเรา ที่ไหนก็ตามกษัตริย์ยิ่งใหญ่จะไปอุปถัมภ์พระศาสนา แม้กระทั่งอยู่นอกอาณาเขต
แต่ที่ไหนที่เป็นที่เคารพศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นก็ไปทำให้เป็นพุทธเสีย เพื่อจะอยู่ร่วมกัน แต่ไม่ได้ประกาศอำนาจทางการเมือง
แต่เวลาฝรั่งเศสทำ บอกว่านี่คืออำนาจการเมืองของฝรั่งเศส ใช้ประวัติศาสตร์แบบยุโรปที่พูดถึง "เซ็นทรัลไลเซชั่น" สมัยนั้นเราไปรับอันนั้น
อาจารย์ศรีศักรขยายความเข้าใจต่อไปว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือเขาพระวิหารแต่เดิมคือผีต้นน้ำ แต่ตำแหน่งเขาพระวิหารนั้นเป็นการต่อแดน มันจึงพัฒนาตนเป็นเมืองด่าน เป็นศูนย์กลางของชุมชนขนาดใหญ่ คนเขมรขึ้นมาทางบันไดหัก ขึ้นมาทำพิธีกรรม เพราะเราทั้งสองฝั่งมันมีการสัมพันธ์กันในการค้าขายในการติดต่อ แม้แต่ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์มาทำพิธีกรรมร่วมกัน
สำหรับบริเวณโดยรอบปราสาทเขาพระวิหารนั้น ด้านมออีแดงเป็นแหล่งของพวกนักพรตต่างๆ จึงมีเพิงผาหน้าถ้ำอะไรเยอะแยะ รวมทั้งสถูปคู่ด้วย ส่วนอีกด้านของมออีแดงไปตามน้ำ จะมีสระตราวเรียงรายกันไปเลยจนถึงท้องทุ่งซึ่งไปหล่อเลี้ยงทุ่งราบในศรีสะเกษ
ลานที่อยู่ในเขตเราก่อนจะขึ้นนั้นเป็นลานเศรษฐกิจ คือ เป็นแหล่งที่ให้คนมาชุมนุมกัน แลกเปลี่ยนสินค้ากัน ตรงนั้นคือความหมายของปราสาทพระวิหาร ไม่ใช่ปราสาทโดดๆ
ปัญหาที่น่ากลัวขณะนี้ที่เกิดขึ้นกับเขาพระวิหารคือ ตรงบริเวณรอบๆ ตีนเขาพระวิหารซึ่งอ้างกันว่าเป็นของไทยหรือเขมรก็เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ เรามีคนรุกที่เข้าไปตั้งร้านค้า ขายของกันเกลื่อนเลย แล้วเวลานี้เมื่อเจรจาตกลงรู้สึกว่าเขมรยอมว่าตรงนั้นเป็นของเรา เราก็จะไปไล่ที่เขา แล้วถ้าได้มาเราก็ไปเปิดร้านค้ารกโลกกันอีก ปัญหานี้คือการขัดแย้งครับ
ผมคิดว่าการนำมาพูดกันในวันนี้ต้องมาเคลียร์ก่อนที่จะเจรจากันว่า เขตที่จะอยู่ในการเป็นมรดกโลกนั้นแค่ไหน แล้วเขตที่เกี่ยวข้องจะได้อะไร ซึ่งทำให้ดีแล้วพูดถึงผมก็เข้าข้างเมืองไทย
พื้นที่เขาพระวิหารเป็นพื้นที่เมืองชายแดนในเขตดินแดนประเทศไทย เพราะมันมีความสัมพันธ์กับสังคม ชุมชนมากมาย ไม่ใช่เฉพาะมีสระตราวอะไรต่างๆ มันไปมีความสัมพันธ์กับชุมชนครับที่ดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้
ถ้าทำความเข้าใจแล้วเราก็จะอาศัยความรู้มาพัฒนาหลายจุดในเขตศรีสะเกษหรือว่าบริเวณนี้ได้ เพื่อที่จะจัดการให้เป็นเขตอนุรักษ์ เขตพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยวที่เหมาะสมที่ยั่งยืน
ส่วนกรณีที่จะมีการพิจารณาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา นั้น อาจารย์ศรีศักรให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า
"ควรให้ยูเนสโกตั้งกรรมการทางวิชาการขึ้นมาชุดหนึ่ง ต้องเป็นนักวิชาการร่วมในทั้งด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม รวมทั้งชาติพันธุ์ ต้องมาพิจารณาปัจจุบันและอดีตให้ดี แล้วถึงจะมาใช้ตัวนั้นเป็นตัวตั้งว่าเราจะมาจัดการเป็นมรดกโลกร่วมกันอย่างไร
"ยูเนสโกต้องจัดการไม่อย่างนั้นยูเนสโกก็เป็นเครื่องมืออะไรสักอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นพื้นที่นั้นจะกลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ การเมือง เป็นของข้ามชาติมากกว่า แล้วคนในชาติก็มาคลั่งชาติสู้กัน"
เพราะปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกของมนุษยชาติ ที่ทุกคนคือเจ้าของร่วมกันและหน้าที่สำคัญของการเป็นมรดกโลกก็คือ การเป็นแหล่งเรียนรู้ของโลก
ไขข้อสงสัย"คดีปราสาทพระวิหาร"
ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ในฐานะทนายผู้ประสานงานกลุ่มทนายไทยทั้ง 4 ชาติในคดีปราสาทพระวิหาร ประกอบด้วย ทนายอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เบลเยียม และไทย ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1962 ในคดีปราสาทพระวิหาร
ทั้งอยู่ในคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศของสหประชาชาติ และอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการ เป็นเวลา 10 ปี และเป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของยูเนสโกเกี่ยวกับปัญหากฎหมายซึ่งครอบคลุมไปถึงการจดทะเบียนมรดกโลก ชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพื้นฐานบางประการ ดังนี้
1. "ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ" ต่างกับ "ศาลภายใน" ในข้อที่ศาลระหว่างประเทศไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีความใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะได้รับความยินยอมจากรัฐคู่กรณี
ในคดีปราสาทพระวิหาร ไทยได้คัดค้านอำนาจแล้วแต่แรกเริ่ม แต่ศาลได้มีคำพิพากษาเบื้องต้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ.1961 ยืนยันอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล ทั้งๆ ที่ได้เคยมีการกล่าวอ้างในศาลในคดีอื่นก่อนหน้านั้นว่า คำรับศาลถาวรของไทยฉบับแรกมิได้โอนย้ายมาใช้ในศาลยุติธรรมปัจจุบัน ซึ่งรับช่วงปฏิญญารับอำนาจศาลจากศาลถาวร ภายใต้องค์การสันนิบาตชาติตามความในข้อ 36 วรรค 5 แห่งธรรมนูญศาลปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากไทยมิได้เป็นสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งสหประชาชาติมาแต่แรกเริ่มเมื่อ ค.ศ.1945
2.คำฟ้องของกัมพูชาระบุเฉพาะอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ มิอาจขยายให้กว้างออกไปนอกพื้นที่จนครอบคลุมเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาดงรัก
3.คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงจำกัดเฉพาะภายในกรอบคำร้องที่กัมพูชายื่นฟ้อง โดยไม่อาจขยายพื้นที่นอกเหนือจากบริเวณที่ตั้งของปราสาท
4.เนื่องจากไทยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา จึงไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และยื่นประท้วงคัดค้านคำพิพากษาดังกล่าว และตั้งข้อสงวนไว้ โดยไทยถือว่า ปราสาทพระวิหารยังอยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย และจะกลับไปครอบครองปราสาทพระวิหารอีกเมื่อคำพิพากษาได้รับการพิจารณาทบทวนแก้ไขอีกครั้ง
5.ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไทยจึงไม่สมควรเปลี่ยนท่าทีหรือยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบในระดับรัฐบาลและประชามติ
6.คำพิพากษาของศาลในคดีนี้มิได้เป็นคำพิพากษาเอกฉันท์ เนื่องจากมีเสียงข้างมากเพียง 9 ต่อ 3 และ 7 ต่อ 5 ในบางประเด็น จึงถือได้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของศาลยังมีความเห็นว่าไทยสมควรมีอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ทั้งนี้ โดยที่กฎหมายระหว่างประเทศมีการพัฒนาก้าวหน้าต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้ที่ความเห็นจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ซึ่งหมายถึงคำพิพากษาแย้งที่มีเหตุผลอาจเป็นที่ยอมรับนับถือและปฏิบัติตาม
ฯลฯ
สำหรับ "ข้อสงวน" ที่รัฐบาลไทยได้ตั้งไว้รวมทั้งคำคัดค้านไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาข้างมากของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1961 นั้น ด.ดร.สมปองชี้แจงว่า หาได้จำกัดเฉพาะการร้องขอให้ศาลพิจารณาทบทวนคำพิพากษาตามข้อ 61 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมแต่อย่างใด ข้อสงวนของไทยครอบคลุมถึงธรรมนูญศาลทั้งหมด
รวมทั้งข้อ 60 ซึ่งไม่มีการจำกัดเวลา 10 ปีเช่น ข้อ 61
ส่วนในประเด็นที่ว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เป็นสนธิสัญญาหรือไม่นั้น ด.ดร.สมปองอธิบายว่า
ไม่มีนักกฎหมายระหว่างประเทศคนใดในโลกสามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ ทั้งนี้ เนื่องจาก สนธิสัญญาคือ "ความตกลงระหว่างรัฐ" ที่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นได้หลายรูปแบบ อาทิ อนุสัญญา ปฏิญญา หนังสือแลกเปลี่ยนหรือแถลงการณ์ร่วม แม้แต่สมาคมอาเซียนยังสถาปนาขึ้นมาได้จากแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.1967 ซึ่งผมเองเป็นประธานคณะกรรมการร่าง
ด้วยเหตุผลข้างต้น แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา จึงเป็นสนธิสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งยืนยันว่า บัดนี้ไทยได้เพิกถอนคำคัดค้านคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1962 รวมทั้งถอนข้อสงวนที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน
สรุปได้ว่า คำแถลงการณ์ร่วมของไทยและกัมพูชา ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นการหยิบยื่นดินแดนให้กัมพูชาโดยปราศจากเงื่อนไข
---------------
โดย โต๊ะเฉพาะกิจ "มติชน"
ที่มา : หนังสือพิมพ์ มติชน วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11077, หน้า 20
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น