จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โอบามา กับารเมืองสหรัฐ

จากการที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 43 ซึ่งจะครบวาระในเดือนมกราคม 2009 นี้ โดยประชาชนที่มีสิทธิในการเลือกตั้งต้องเป็นพลเมืองหรือเป็นผู้ที่มีสัญชาติอเมริกัน และมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ 
ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้แทนนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1787 สหรัฐ จึงเป็นประเทศแรกที่เริ่มมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นเพื่อให้สามารถ โอนถ่ายอำนาจบริหารจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งผ่านการเลือกตั้ง ดังนั้นชาวอเมริกันจะเลือกตั้งประธานาธิบดี ทุก ๆ 4 ปี ส่วนรองประธานาธิบดีจะมีการเลือกตั้งทุก ๆ 2 ปี ซึ่งการเลือกตั้งในสหรัฐ มีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ การเลือกตั้งขั้นต้น และการเลือกตั้งทั่วไป โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทุก 4 ปี จะมีการเลือกตั้งในวันอังคารแรกในเดือนพฤศจิกายน โดยในปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ทั้งนี้ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วไป รัฐต่าง ๆ จะจัดเลือกตั้งขั้นต้น หรือการประชุมคอคัส (Caucus) เพื่อเลือกตัวแทน (Delegates) ที่จะเข้าร่วมประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองเพื่อเสนอชื่อตัวแทนพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ตามปกติแล้วการเลือกตั้งขั้นต้นหรือการประชุมคอคัสที่จัดขึ้นตามรัฐต่าง ๆ นี้จะจัดขึ้นระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ตามด้วยการประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองในเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม 
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 (United States presidential election, 2008)
มีกำหนดเลือกตั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 โดยจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 56 ซึ่งเลือกตั้งทุก 4 ปี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังจะเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา จำนวน 435 คน และสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา อีก 34 คน (คิดเป็น 1 ใน 3 ของทั้งหมด) ไปพร้อมๆ กัน
ด้วยผลตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ที่มาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 12 ผู้ที่ชนะคะแนนเสียงข้างมากของอิเล็กทอรัลโหวตในการเลือกตั้งประธานาธิบดี จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา แต่ต้องมีคะแนนเสียงขั้นไม่ต่ำกว่า 270 เสียงอิเล็กทอรัลโหวตจึงจะถือว่าเป็นเสียงข้างมาก ถ้าไม่มีผู้สมัครคนไหนได้เสียงข้างมาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้โหวตเลือกประธานาธิบดี โดยแต่ละรัฐจะมีคะแนนเสียง 1 คะแนน เช่นเดียวกัน ผู้ที่ชนะคะแนนเสียงข้างมากของอิเล็คทอรัลโหวตในการเลือกตั้งรองประธานาธิบดี จะขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ถ้าไม่มีผู้สมัครคนไหนได้เสียงข้างมาก สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นผู้โหวตเลือกรองประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกามีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือในปี ค.ศ. 1825 และ 1837
การกำหนดอิเล็กทอรัลโหวตของแต่ละรัฐนั้นจะใช้ข้อมูลจากการสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อปี 2000 เช่นเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2004 สำหรับประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีที่ชนะการเลือกตั้งนั้นจะขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม ในปี 2009
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1928 ที่ประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ไม่ลงสมัครเข้าแข่งขัน (ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ดำรงตำแหน่งครบวาระ และรองประธานาธิบดีดิก ชีนีย์ แสดงจุดยืนว่าจะไม่ลงสมัคร
พรรคที่ลงสมัคร
พรรคเดโมแครต มีนายบารัก โอบามา(Barack Obama) , สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐอิลลินอยส์ เป็นผู้สมัครชุดล่าสุดก่อนได้ตัวแทนพรรค
พรรครีพับลิกัน ตัวแทนพรรค คือนายจอห์น แมคเคน (John McCain) , สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐแอริโซนาเป็นผู้สมัครชุดล่าสุดก่อนได้ตัวแทนพรรค
พรรครัฐธรรมนูญ (Constitution Party) มีนายดอน เจ. กรันด์มันน์ (Don J. Grundmann) จากรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นตัวแทนพรรรค
พรรคกรีน (Green Party) มีนายแจเร็ด บอล (Jared Ball) จากวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นตัวแทนพรรค
พรรคเสรีนิยม (Libertarian Party) ดาเนี่ยล อิมเพอราโต (Daniel Imperato) จากรัฐฟลอริดา เป็นตัวแทนพรรค
ในปัจจุบันพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ซึ่งถือเป็นทายาทของพรรคการเมืองเก่า ๆ ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 คือพรรคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกระบวนการทางการเมือง โดยพรรคใหญ่ 2 พรรคนี้มักจะครองตำแหน่งประธานาธิบดี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1852 เรื่อยมา และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรค 2 พรรคนี้ก็ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรวมกันเกือบร้อยละ 90 โดย จะมีน้อยครั้งมากที่ผู้ว่าการรัฐทั้ง 50 รัฐไม่ได้มาจากพรรครีพับลิกันหรือ พรรคเดโมแครต

การเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกา (United States of America) ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ บนพื้นที่กว่า 9.1 ล้านตารางกิโลเมตร มีทั้งหมด 50 รัฐ เมืองหลวง คือ วอชิงตัน ดี.ซี. มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 301,747,000 คน(ข้อมูลปี 2551) ปกครองแบบสหพันธรัฐ ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ สืบเนื่องจากบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยอำนาจฝ่ายบริหาร ที่มีประธานาธิบดี เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน และประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี
หลังได้รับการเลือกตั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ยังต้องเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรีขึ้นไป รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า ต้องอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้รับสัญชาติอเมริกันโดยกำเนิด อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกามาไม่น้อยกว่า 14 ปี ไม่เคยเป็นประธานาธิบดีมาแล้ว 2 สมัย ฯลฯ
ขั้นตอนการหยั่งเสียง ปัจจุบันมี 3 วิธี คือ
1) อาจได้จากวิธีการแบบ primary (เบื้องต้น) ซึ่งหมายถึง การจัดการเลือกตั้งขั้นต้นขึ้นในมลรัฐ
2) แบบ caucus (การประชุมหัวหน้าในพรรคการเมือง) คือ การประชุมกลุ่มย่อยของสมาชิกพรรคในแต่ละระดับ ตั้งแต่หน่วยเล็กสุดขึ้นมา เพื่อเสนอความคิดเห็น
3) แบบ state-covention ที่หมายถึง การประชุมใหญ่ของพรรคในระดับมลรัฐ เพื่อคัดเลือกผู้ที่ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดเป็นตัวแทนพรรค
จาก 1 ใน 3 วิธีข้างต้น จะทำให้ได้ผู้แทน หรือที่เรียกว่า delegates จำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือก จากที่ประชุมใหญ่ของพรรค (National Convention) ให้เหลือตัวแทนพรรคเพียงคนเดียว ถ้าสามารถเลือกผู้แข่งขันได้ในครั้งแรกของการประชุมพรรค จะเรียกว่า first ballot victory
วิธีการลงคะแนนเลือกตั้งในสหรัฐนั้นมีอยู่หลากหลายวิธี ต่างจากบ้านเราที่ใช้วิธีกาบัตรเลือกตั้งแล้วหย่อนลงหีบที่ล็อกกุญแจเอาไว้แน่นหนาก่อนจะนำไปเปิดนับท่ามกลางสักขีพยานกันอีกที ต่อไปนี้คือวิธีการลงคะแนนที่มีใช้กันอยู่ทั่วสหรัฐ
กาบัตรเลือกตั้งกระดาษ
หนึ่งในการเลือกตั้งแบบดั้งเดิมที่ยังคงใช้อยู่ แต่ปัจจุบันคูหาเลือกตั้งจำนวนมากเลิกใช้ไปแล้ว ซึ่งวิธีการเลือกก็เหมือนในบ้านเรา
เครื่องเลือกตั้งแบบคันโยก
เป็นการเลือกตั้งแบบแปลกๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 20 ปัจจุบัน เครื่องเลือกตั้งแบบนี้เหลืออยู่เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น โดยหลังจากเข้าคูหาแล้ว ผู้ไปใช้สิทธิ์จะต้องโยกเครื่องเลือกตั้งที่มีลักษณะคล้ายตู้หยอดเหรียญ ผู้สมัครแต่ละคนจะมีคันโยกประจำตัว เมื่อโยกเสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหลังเครื่องก็จะคอยนับคะแนนว่าผู้ใช้สิทธิ์คนนั้นโหวตให้ใคร
บัตรลงคะแนนแบบเจาะรู
วิธีนี้ ผู้ใช้สิทธิ์จะต้องมีความสามารถด้านกลไกเล็กน้อย คือ ต้องใช้เครื่องเจาะรูให้ตรงกับชื่อผู้สมัครที่พวกเขาจะเลือกบนบัตรเลือกตั้ง แล้วเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นปัญหาในการเลือกตั้งเมื่อปี 2543 ที่อัล กอร์ พ่ายบุชไปไม่กี่คะแนนมาแล้ว เพราะมีบัตรจำนวนมากที่มีการเจาะรูหลายครั้งเพราะเจาะพลาด บ้างก็เจาะไม่ตรงจนทำให้เครื่องอ่านผลคะแนนได้ลำบาก เลยทำให้วิธีการนี้เลยเสื่อมความนิยมไปมาก
ระบบหน้าจอสัมผัส
วิธีการไฮเทคแบบเดียวกับเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารที่มีใช้กันทั่วสหรัฐ วิธีการนี้ถูกใช้แพร่หลายหลังเกิดปัญหากับบัตรเจาะรูเมื่อปี 2543 แต่ตอนนี้หลายรัฐเลิกใช้ไปแล้วเพราะไม่ไว้ใจเรื่องความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ หลังมีผู้ใช้สิทธิ์รายงานว่าบางครั้งเครื่องขึ้นคะแนนให้ผิดคน
 เครื่องสแกนใยแก้ว
 เพราะไม่ไว้ใจระบบสัมผัส หลายแห่งเลยเปลี่ยนมาใช้เครื่องสแกนใยแก้วแทน เพราะผู้ใช้สิทธิ์จะต้องลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งที่เป็นกระดาษ แล้วนำมาป้อนเข้าเครื่องสแกนที่จะเก็บบัตรเลือกตั้งไว้อย่างปลอดภัยในตู้ที่มีการล็อกแน่นหนา หากผู้ใช้สิทธิ์กรอกบัตรไม่ถูกต้อง เครื่องก็จะแจ้งให้กรอกใหม่ให้ถูกต้องด้วย แถมบัตรนี้ยังเก็บไว้ใช้ในยามที่ต้องมีการนับคะแนนใหม่ได้ด้วย
โอบามา คว้าชัยเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก ของสหรัฐอเมริกา ด้วยคะแนน 333 เสียง ต่อ 155 เสียง  
 นายบารัค โอบามา ตัวแทนพรรคเดโมแครต เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อนายจอห์น แมคเคน จากรีพับลิกัน ในการเลือกตั้งที่ มลรัฐยูทาห์ และ แคนซัส ใน มลรัฐยูทาห์แมคเคน เป็นฝ่ายชนะ โอบามา ไปแบบขาดลอย 61 ต่อ 37 % ขณะที่ใน แคนซัส แมคเคน ก็เป็นฝ่ายชนะไป อีก 55 ต่อ 43 %  โดยใช้การเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอรัล
 ขณะเดียวกัน นายโอบามา สามารถคว้าชัยชนะได้ที่ มลรัฐไอโอวา ด้วยคะแนน ขาดลอย 72 ต่อ 27 %ทำให้ เขายังคงมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง นำ นายแมคเคน อยู่ที่ 207 - 129 คะแนน และ โอบามาต้องการอีกเพียง 63 คะแนนเท่านั้น ก็จะเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ในทันที
ทั้งนี้ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า นายบารัค โอบามา ตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งแล้วเกือบ 220 คะแนน ทิ้งห่างนายจอห์น แมคเคน คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ที่ได้เพียง 135 คะแนน  
ด้านที่ปรึกษาระดับสูงของนายจอห์น แมคเคน ออกมายอมรับว่า ทำใจแล้ว โอกาสที่จะชนะแทบไม่มี เพราะการสูญเสียฐานคะแนนเสียงในรัฐโอไฮโอ และรัฐเพนซิวาเนีย เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า การจะถึงเส้นชัยได้คะแนน 270 คะแนนนั้นยากและเหนื่อย 
 ล่าสุด นายจอห์น แม็คเคน ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ได้กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อนายบารัค โอบาม่า แล้ว ภายหลังนายโอบามา มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งเกินกว่า 270 เสียง ในช่วงเวลาเมื่อเร็วๆ นี้ 
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานอีกว่า นายบารัค โอบามา กำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา โดยล่าสุดได้คณะผู้เลือกตั้ง 333 เสียง ต่อ 155 เสียง สามารถคว้าชัยชนะได้ในรัฐชิคาโก อิลลินอยส์
ทั้งนี้ นายโอบามา จะกลายเป็นประธานาธิบดีเชื้อสายแอฟริกัน อเมริกัน คนแรก พร้อมทั้งสามารถคว้าชัยได้ที่รัฐใหญ่อย่างรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งไม่เคยโหวตให้พรรคเดโมแครตนับตั้งแต่ปี 1964
 ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ความสัมพันธ์ของสองประเทศก็ยังเหมือนเดิมตลอดไป
 โอบามา ประกาศหลังคว้าชัย นำอเมริกาสู่การเปลี่ยนแปลง
นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ คนที่ 44 ขึ้นกล่าวปราศรัยขอบคุณกับผู้สนับสนุน วันนี้ (5 พฤศจิกายน) หรือเมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ที่แกรนด์พาร์ค ชิคาโก หลังคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง หรืออิเล็กทรอรัลโหวต เกิน 270 เสียงขึ้นไป คว้าชัยชนะ
 นายโอบามา กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาลงคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และไม่ได้แบ่งเป็นสีแดง หรือสีน้ำเงิน แต่เป็นสหรัฐอเมริกา โดยผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงมาถึงอเมริกาแล้ว และกล่าวอีกว่า เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา นายแมคเคนได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีแล้ว พร้อมกล่าวชมแมคเคนว่าชาวอเมริกาควรชื่นชมที่นายแมคเคนเสียสละช่วยสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งขอบคุณ นาย โจ ไบเดน ผู้ที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาในการหาเสียงเลือกตั้ง และ 16 ปีที่ผ่านมาเขาได้รับการสนับสนุน และความรักจากภรรยาของเขา มิทเชล โอบามา รวมทั้งลูกทั้ง 2 คน และว่า คุณยายของเขาแม้ไม่ได้มาร่วมยินดี แต่เชื่อว่าเธอจะเฝ้ามองจากที่ใดที่หนึ่ง 
 นายโอบามา ยังกล่าวขอบคุณผู้จัดการรณรงค์หาเสียงของเขาด้วยที่ทำให้การเลือกตั้งสำเร็จ โดยเป็นผู้จัดการเลือกตั้งที่ดีที่สุดที่เคยมีมา พร้อมทั้งขอบคุณบุคคลที่สนับสนุนเขาทุกคน และนี่คือชัยชนะของทุกๆ คน
เขายังกล่าวว่า จะต้องแก้ปัญหาสงคราม พลังงานทดแทน แม้ว่าการทำทุกอย่างจะยาก แต่มีความหวังว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ทั้งนี้ รัฐบาลคงไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่พร้อมจะรับฟังเสียงประชาชน
 นายโอบามา กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องมีจิตวิญญาณในการแก้ปัญหา และไม่ใช่วอลสตรีทจะรุ่งเรืองอย่างเดียว แต่คนธรรมดาจะต้องดีด้วย 
เขายังกล่าวย้ำสิ่งที่อับราฮัม ลินคอน เคยพูดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนกันไม่ใช่ศัตรูกัน เขาต้องการความช่วยเหลือของประชาชนทุกคน และจะเป็นประธานาธิบดีที่ดีของประชาชน และประชาชนที่อยู่ทั่วโลกจะได้เห็นอรุณรุ่งวันใหม่ของผู้นำสหรัฐอเมริกา ใครร้องหาสันติภาพจะสนับสนุน แต่ใครที่จะทำลายล้าง ก็จะทำลายล้างกลับ โดยสิ่งที่จะชนะคนที่คิดจะทำลายล้างสหรัฐฯ ได้ จะมาจากพื้นฐานประชาธิปไตย และความมีเสรีภาพ
 เขากล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สหรัฐฯ ก็ยังเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย เราควรทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 
 เปิดประวัติ บารัค โอบามา ผู้นำสีผิวคนแรกของสหรัฐฯ  
สร้างประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อย สำหรับ "บารัค โอบามา" นักการเมืองผิวสีผู้จรัสแสงของสหรัฐ ตัวแทนพรรคเดโมแครต หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี "จอห์น แม็คเคน" คู่แข่งแห่งพรรครีพับลิกัน ผงาดเป็นผู้นำทำเนียบขาว ด้วยฉันทามติจากคะแนนเลือกตั้งท่วมท้นของชาวอเมริกัน ที่แห่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางกระแสจับตาว่า ที่สุดแล้ว บารัค โอบามา จะทำสิ่งที่หลายคนทั่วโลกลุ้นเอาใจช่วยได้สำเร็จหรือไม่ ในการคว้าชัยเป็นประธานาธิบดี "ผิวดำ" คนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐ  . . .  อย่างไรก็ตาม พูดถึงชื่อ "บารัค โอบามา" ก็ทำให้หลายคนอยากรู้ว่าเขาคนนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้กลายมาเป็นประธานาธิบดีผิวดำได้ วันนี้เรามีคำตอบมาเฉลยค่ะ
 "บารัค โอบามา" (Barack Obama) มีชื่อเต็มว่า บารัค ฮุสเซน โอบามา (Barack Hussein Obama) เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 1961 (2504)  ที่เมืองโฮโนลูลู ในรัฐฮาวาย บิดาคือ บารัค ฮุสเซน โอบามา เป็นชาวเคนยา มารดา คือ แอนดันแฮม เป็นชาวอเมริกัน ทั้งคู่หย่าขาดกันขณะที่โอบามาอายุเพียง 2 ปี โดยบิดาของเขากลับไปยังเคนยา ก่อนจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 1982 
ขณะที่มารดาของเขาก็แต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่ที่อินโดนีเซีย เขาก็ถูกย้ายไปด้วย เมื่ออายุ 6 ปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุงจาการ์ตา แต่ต่อมาเขาก็ต้องสูญเสียมารดาจากโรคมะเร็งไปอีกคน และเขาก็ย้ายกลับมาอยู่กับตายายที่ฮาวาย เมื่ออายุ 10 ปี และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเข้าศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในปี 1991 
โอบามา เริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นผู้จัดงานชุมชน และประกอบอาชีพเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ก่อนดำรงตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ 3 สมัย ตั้งแต่ปี 1997-2004 โดยเขาสอนกฎหมายด้านรัฐธรรมนูญที่มหาวิทยาลัยโรงเรียนกฎหมายชิคาโก ตั้งแต่ปี 1992-2004 ในฐานะเป็นสมาชิกสภาคองเกรส โอบามา มีโอกาสได้ร่วมร่างกฎหมายควบคุมอาวุธขีปนาวุธ และสนับสนุนความสามารถในการตรวจสอบของสาธารณชนต่อการใช้งบประมาณรัฐบาลกลาง และครั้งหนึ่งเคยช่วยร่างกฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการโกงการเลือกตั้ง และการล็อบบี้, กฎหมายด้านอุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลง, ลัทธิก่อการร้ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ และกฎหมายดูแลทหารอเมริกันที่กลับจากสมรภูมิรบ ขณะเดียวกัน ก็เคยมีประสบการณ์เดินทางเยือนต่างประเทศหลายประเทศ เช่น ภูมิภาคยุโรปตะวันออก,ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
สำหรับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการเมืองบารัค โอบามา ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐอิลลินอยส์ ในปี ในปี 1996 โดยเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ รวมถึงเขายังสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้กับแรงงานผู้มีรายได้ต่ำ  เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และบริจาคเงินเพื่อกองทุนเลี้ยงดูเด็กเล็กอีกด้วย
ในปี 2003 โอบามา ได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพ และบริการสาธารณชนของสภาสูงประจำรัฐอิลลินอยส์ ในยุคที่พรรคเดโมแครตสามารถผงาดขึ้นมาเป็นพรรคเสียงส่วนใหญ่ของคองเกรส เขาได้สนับสนุนและนำการผ่านกฎหมายตรวจสอบการจัดทำข้อมูลด้านเชื้อผิว ซึ่งทำให้ต้องบันทึกเชื้อผิวของผู้ขับขี่ที่ถูกควบคุม และออกกฎหมายที่ทำให้รัฐอิลลินอยส์กลายเป็นรัฐแรกที่ให้ฉันทานุมัติต่อการบันทึกเทป เกี่ยวกับการตรวจสอบคดีฆาตกรรม
ในปี 2004 โอบามาได้เขียนและขึ้นแถลงปราศรัยต่อที่ประชุมแห่งชาติพรรคเดโมแครตเป็นครั้งแรก โดยโอบามาซึ่งได้บรรยายว่า ปู่ของเขาเป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงความสำคัญต่างๆ ด้านสังคมและเศรษฐกิจ พร้อมทั้งตั้งคำถามต่อรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เกี่ยวกับสงครามอิรัก และและมุ่งเน้นเกี่ยวกับพันธะผูกพันต่อทหารอเมริกันที่ออกไปรบนอกประเทศ
 นอกจากนี้ เขายังได้วิจารณ์แง่มุมเกี่ยวกับคณะกรรมการเลือกตั้งที่ไม่เป็นกลาง และตั้งคำถามต่อชาวอเมริกันให้ลองค้นหาความสมัครสมานสามัคคีในความแตกต่างของสังคมอเมริกัน โดยระบุว่า "ที่นี่ไม่มีอเมริกาสายกลาง และอเมริกาสายอนุรักษ์ มีแต่เพียงอเมริกาที่เป็นสหพันธรัฐของทุกคน"
ประโยคดังกล่าวกลายเป็นวรรคทองของเขา ส่งผลให้สื่อมวลชนจับตานักการเมืองหนุ่มไฟแรงผู้นี้ขึ้นมาโดยทันที โดยสื่อมวลชนตีข่าวถ้อยแถลงเผ็ดร้อนตรงไปตรงมาดังกล่าว และส่งผลให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองของสหรัฐเพียงชั่วพริบตา และยังเพิ่มภาษีในการต่ออายุเป็นวุฒิสมาชิกประจำสภาคองเกรสสมัยถัดมาด้วย
 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น ชื่อเสียงของโอบามาได้รับการกล่าวขวัญมากขึ้น จากเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการประหารชีวิต โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา จนเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาในที่สุด ถือได้ว่าเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา โอบามา ได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์" จากนิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 2007 โอบามา ได้ประกาศเป็นผู้สมัครตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่รัฐอิลลินอยส์บ้านเกิดของเขา โดยเขาเลือกสถานที่ประกาศตัว คือ อาคารสภาเก่าในเมืองสปริงฟิลด์ของรัฐอิลลินอยส์ ที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการเป็นนักการเมืองผิวสี ที่หาญกล้าประกาศตัวเป็นตัวแทนพรรคชิงตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาว เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเคยถูกอดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอร์น ประกาศแถลงสุนทรพจน์อมตะ "บ้านที่แตกแยก" มาแล้วเมื่อปี 1858 โดยตลอดการหาเสียง เขาได้เน้นประเด็นหาเสียงเรื่องการเร่งถอนทหารสหรัฐออกจากอิรัก การเพิ่มการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน การกระจายระบบสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นนโยบายหาเสียงหลักของเขา 
ในการรณรงค์หาเสียงนั้น ปรากฎว่า โอบามา สามารถระดมทุนได้เงินถึง 58 ล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2007 จากเงินบริจาคจำนวนเล็กๆ น้อยๆ จากหลายฝ่าย สร้างถสิติระดมทุนได้มากเป็นประวัติการรณ์ในช่วง 6 เดือนแรกก่อนการเลือกตั้ง โดยในเดือนมกราคม ปี 2008 เขายังสามารถระดมทุนได้มากเป็นประวัติการณ์เพียงช่วงเดือนเดียวของพรรคเดโมแครต คือ เป็นจำนวน 36.8 ล้านดอลลาร์                                 ในการแข่งขันกับฮิลลารี ปรากฎว่า นายโอบามาได้สร้างปรากฎการณ์ "ล้มยักษ์" ขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน โดยเขาสามารถหาเสียงชนะนางฮิลลารีในรัฐต่างๆ โดยเฉพาะศึกซูเปอร์ทิวส์เดย์ ซึ่งเขามีคะแนนคณะกรรมการเลือกตั้งมากกว่านางฮิลลารี 20 เสียง พร้อมกับยังคงเดินหน้าทำสถิติระดมทุนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และชัยชนะอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน โดยเขาได้ประกาศแถลงชัยชนะที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมินเนโซต้า กลายเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงศึกผู้นำทำเนียบขาว กับนายจอห์น แม็คเคน วุฒิสมาชิกรัฐอริโซน่า ที่เป็นผู้ชนะขาดลอยของพรรครีพับลิกัน และได้เลือกนายโจเซฟ ไบเด็น วุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนด้านต่างประเทศ มาเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เขา
 ทั้งนี้ในการหาเสียง บารัค โอบามา กล่าวว่า เขาต้องการรณรงค์ให้ยุติการทำสงครามในอิรัก ซึ่งตรงข้ามกับนโยบายของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โอบามา ว่า ถ้าหากเขาได้รับเลือกตั้ง เขาจะออกกฎหมายตัดงบประมาณประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อหยุดการลงทุนซื้ออาวุธที่พิสูจน์ไม่ได้ ลดการพัฒนาระบบการรบหรือการต่อสู้ และมุ่งทำงานเพื่อกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเขาก็สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 ได้สำเร็จ
สำหรับชีวิตส่วนตัวนั้น บารัค โอบามา สมรสกับ มิเชล โอบามา หรือมิเชล โรบินสัน เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1989 ในขณะที่เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาของกิจการกฎหมายเมืองชิคาโก้ โดยโอบามาและมิเชล ได้ทำงานร่วมกันในฐานะคณะทำงานเดียวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหมั้นเมื่อปี 1991 และแต่งงานเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี 1992 และมีทายาทร่วมกัน 2 คน คือ มาเรีย แอน เกิดเมื่อปี 1998 และนาตาชา เกิดเมื่อปี 2001
  สำหรับทรัพย์สินของ โอบามา นั้น นิตยสาร "Money" ระบุเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2007 ว่า โอบามา มีทรัพย์สินเฉลี่ย 1.3 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายหนังสือของเขา ขณะที่รายได้ครอบครัวมีจำนวน 4.2 ล้านดอลลาร์
 โอบามา ได้เขียนหนังสือ 8 เล่มด้วยกัน อาทิ Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance หรือในชื่อภาษาไทย บารัค โอบามา ผมลิขิตชีวิตตัวเอง อัตชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความคิด มุมมองที่มีต่อเรื่องสีผิว และ The Audacity of Hope หรือในชื่อภาษาไทย กล้าหวัง กล้าเปลี่ยน หนังสือที่รวบรวมสุนทรพจน์และปาฐกถา ที่สะท้อนแนวคิดทางการเมืองที่จะนำอเมริกาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของเขาเอง และหนังสือล่าสุดของเขาคือเรื่อง Change We Can Believe In: Barack Obamas Plan to Renew Americas Promise 
ประวัติประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน
บารัก โอบามา (อังกฤษ: Barack Obama) มีชื่อเต็มว่า บารัก ฮุสเซน โอบามา ที่ 2 (Barack Hussein Obama II) เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 และเป็นคนแอฟริกันอเมริกันคนแรก รวมถึงยังเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เกิดในทศวรรษที่ 60 ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โอบามาเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐอิลลินอยส์ ในปี 2005 จนกระทั่งถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2008 หลังจากที่เขาประกาศลงสมัครการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 โอบามาเข้าดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 ที่ตึกยูเอสแคปิตอล วอชิงตัน ดี.ซี.
โอบามาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เขาได้เป็นประธานของ Harvard Law Review โดยเป็นคนผิวสีคนแรก เคยทำงานเป็นผู้จัดการชุมชน, อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก จากปี ค.ศ. 1992 - 2004 และทนายสิทธิพลเมืองมาก่อนที่จะหันมาสนใจการเมือง เคยสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาในการเลือกตั้งปี 2000 แต่ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงเริ่มหาเสียงในการสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2003 เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ ในปี ค.ศ. 1997 ถึง ค.ศ. 2004
ในระหว่างการทำหน้าที่ในสภาคองเกรสที่ 109 นั้น โอบามาได้เรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้อาวุธ และเรียกร้องให้มีการแถลงการณ์เรื่องการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลให้สาธารณชนได้ทราบด้วย นอกจากนั้นในช่วงนี้ เขายังเคยไปเยือนยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาอย่างเป็นทางการด้วย ในสภาคองเกรสที่ 110 เขาก็ได้เรียกร้องให้มีการดูแลปัญหาอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงหรือภาวะโลกร้อน การก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และให้การดูแลทหารผ่านศึกสงครามอิรัก และสงครามอัฟกานิสถาน
ชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงา
โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบารัก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ และเยอรมนี  โดยทั้งคู่พบรักกันขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวายที่มานัว ซึ่งพ่อของเขาได้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนต่างชาติ  และได้แต่งงานกันในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961  แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกัน
หลังจากนั้น ดันแฮม แม่ของโอบามาก็ได้แต่งงานใหม่กับโลโล ซูโตโร และได้พาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเกิดของสามีใหม่ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 1967 โอบามาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุงจาการ์ตาจนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ โอบามาจึงได้ย้ายกลับโฮโนลูลูบ้านเกิดกับครอบครัวของแม่และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนปูนาฮัวตั้งแต่เกรด 5 จนสำเร็จการศึกษาในปี 1979 หลังจากจบไฮสกูล โอบามาก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ลอสแอนเจลิสที่วิทยาลัยออกซิเดนทอล (Occidental College) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงได้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก สาขารัฐศาสตร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จากขวาไปซ้าย บารัก โอบามา, น้องสาวของเขา มายา ซูโตโร ถัดไปเป็นแม่และตาของพวกเขาคือ แอนน์ ดันแฮม, แสตนลีย์ ดันแฮม ถ่ายที่รัฐฮาวาย เมื่อต้นปี 1970 ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ระดับไฮสคูลนั้น เขายอมรับว่าเคยเสพกัญชา, โคเคน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเขาเปิดเผยที่เวทีประชุมพลเมืองสำหรับประธานาธิบดีปี 2008 ถือว่าเป็นความล้มเหลวเกี่ยวกับศีลธรรมความดีงาม
โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1983 และได้เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศและกลุ่มวิจัยสาธารณประโยชน์แห่งนิวยอร์ก หลังจาก 4 ปีที่อยู่ในนิวยอร์ก โอบามาย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก เขาได้รับการจ้างเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ซึ่งเป็นองค์กรชุมชนริเริ่มตั้งจากศาสนา ซึ่งประกอบด้วย 8 โบสถ์คาทอลิก ในโลสแลนด์ พูลแมนตะวันตก และ ริเวอร์เดล ในด้านใต้ของเมืองชิคาโก และเขาได้ทำงานที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 จนถึง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988  ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ 3 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ผู้ร่วมงานได้เพิ่มขึ้นจาก 1 คน เป็น 13 คน และงบประมาณประจำปี เพิ่มขึ้นจากปีละ 7 หมื่นเหรียญสหรัฐ เป็น 4 แสนเหรียญสหรัฐ โดยมีการช่วยเหลือเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกอบรม, การกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย และ องค์กรสิทธิของผู้เช่าที่ดินในแอลเจลด์การ์เดนส์ (Altgeld Gardens) โอบามายังได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาและผู้สอนในมูลนิธิกามาลีล (Gamaliel Foundation) ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งเกี่ยวกับองค์กรชุมชน ในกลางปี ค.ศ. 1988 เขาได้เดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 3 สัปดาห์และไปเคนยา 5 สัปดาห์ ซึ่งเขาได้พบญาติๆ ชาวเคนยาหลายคนเป็นครั้งแรกด้วย
จากนั้น เขาจึงเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี ค.ศ. 1988 สิ้นปีแรกเขาได้รับคัดเลือกจากการแข่งขันในการเขียนและเกรดของการเรียนให้เข้ามาเป็นบรรณาธิการคนหนึ่งของวารสาร Harvard Law Review พอขึ้นปีที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 เขาได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการ(อาสาสมัครเต็มเวลา) และกำกับควบคุมนักเขียนถึง 80 คน โอบามาเป็นชาวผิวดำคนแรกที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Law Review ข่าวการคัดเลือก
ได้มีการรายงานในวงกว้าง ตามด้วยประวัติส่วนตัวที่ละเอียดในสื่อระดับประเทศ ระหว่างฤดูร้อน เขาได้กลับไปชิคาโก ซึ่งเขาทำงานเป็นทนายความฝึกงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ที่สำนักงานกฎหมายของ Sidley & Austin ในปี ค.ศ. 1989 และ Hopkins & Sutter ในปี ค.ศ. 1990 หลังจากจบปริญญากฎหมาย Juris Doctor จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี 1991 จากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปชิคาโกและเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ Dreams from My Father ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995
ช่วงปี 1993 และ 2002 โอบามาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยในคณะกรรมการบริหารกองทุนไม้แห่งชิคาโก องค์กรที่ช่วยจัดสรรเงินทุนให้กับประชาชนและชุมชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเปรียบในชิคาโก ต่อมาในปี 1999 ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้วยความช่วยเหลือของบิล อาเยอร์ส
ต่อมาเขาก็รับงานสอนนอกเวลาที่วิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก โอบามาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมเวลา 12 ปี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4 ปี (1992-1996) และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอาวุโสถึง 8 ปี (1996-2004)  และเขายังได้ร่วมกับ เดวิด ไมเนอร์ บาร์นฮิลล์ และกัลแลนด์ ที่เป็นบริษัททนายความมีเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้คดีในชั้นศาล และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน โอบามาเป็นสมาชิก 3 ปี (1993-1996) จึงลาออก
โอบามา เคยเป็นสมาชิกสรรหาของบอร์ดบริหารแห่งพันธมิตรสาธารณะในปี ค.ศ. 1992 และได้ลาออกไปก่อนที่ มิเชล ภรรยาของเขาจะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของพันธมิตรสาธารณะแห่งชิคาโกในต้นปี ค.ศ. 1993 และยังเป็นสมาชิกของบอร์ดบริหารหลายที่ เช่น สภาทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมายแห่งชิคาโก, ศูนย์กลางเพื่อเทคโนโลยีเพื่อนบ้าน, ศูนย์ลูจีเนียเบิร์นโฮป (Lugenia Burns Hope Center)
ประวัติทางการเมือง
-                   สมาชิกสภานิติบัญญัติ, 1997-2004
โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในปี ค.ศ. 1996 แทนที่ตำแหน่งของวุฒิสมาชิก อลิซ ปาล์มเมอร์ จากเขตปกครองที่ 13 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว โอบามาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ  เขาสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้กับแรงงานผู้มีรายได้ต่ำ เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และเพิ่มเงินสมทบสำหรับการดูแลเด็กเล็ก 
ในปี ค.ศ. 2001 เป็นประธานร่วมในเรื่องของกฎหมายว่าด้วยการปกครอง เขาสนับสนุนกฎระเบียบที่เสนอโดยผู้ว่าการรัฐ Ryan เพื่อควบคุมเงินกู้ใช้จ่ายระหว่างเงิน และการให้จำนองที่เอาเปรียบ เพื่อลดปัญหาบ้านถูกยึด
ต่อมา โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1998  และอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 2002 ส่วนในปี ค.ศ. 2000 นั้น เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพรแมรีเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาต่อ บอบบี รัช เจ้าของตำแหน่งคนเก่าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2 ต่อ 1
ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2003 โอบามาได้เป็นประธานคณะกรรมการบริการสุขภาพและมนุษย์แห่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งตอนนั้น พรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง หลังจากต้องตกเป็นรองอยู่นานนับทศวรรษ ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกานั้น ตัวจากแทนตำรวจได้ให้เครดิตกับโอบามาอย่างมาก ในกรณีที่เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการประหารชีวิต โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาจนกระทั่งในปี 2004 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา
-                   เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004
กลางปี ค.ศ. 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เลือก เดวิด แอกเซลรอด มาเป็นที่ปรึกษาวางกลยุทธทางการเมือง โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003  หลังจากที่ปีเตอร์ ฟิตซเกอรัลด์ ผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อนจากพรรคริพับลิกัน และคาโรล โมเซลีย์ บรอน อดีตวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตตัดสินใจไม่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งในครั้งนี้ ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้กับผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์โดยใช้ภาพจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกแห่งสหรัฐอเมริกา ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์  ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004
และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้ แต่ต่อมา คู่แข่งคนสำคัญของโอบามาคือ แจ็ค ไรอัน ผู้ชนะการเลือกตั้งแบบครั้งแรกจากพรรครีพับลิกัน ได้ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2004
เดือนกรกฎาคม ปี 2004 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมพรรคเดโมแครตระดับชาติประจำปี 2004 ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โอบามาเล่าถึงประสบการณ์ของผู้เป็นตาของเขาได้ผ่านประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2มาในฐานะทหารผ่านศึก และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก เคหะแห่งชาติ (New Deal's FHA) โครงการสำหรับทหารผ่านศึก (G.I. Bill) จากนั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เขาได้ตั้งคำถามถึงการบริหารงานในช่วงสงครามอิรักของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเน้นในประเด็นหน้าที่ของอเมริกาที่พึงมีต่อทหารของประเทศ โอบามาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ถือพวกอย่างหนัก และได้ขอร้องให้อเมริกันชนหันมาฝักใฝ่ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่า "ประเทศนี้ไม่มีอเมริกาเสรีนิยมกับอเมริกาอนุรักษ์นิยม มีเพียงประเทศสหรัฐอเมริกา" ("There is not a liberal America and a conservative America; there's the United States of America.)  สุนทรพจน์ส่วนนี้ ได้มีการเผยแพร่ทาง PBS, CNN, MSNBC, Fox News และ C-SPAN แก่ผู้ชม 9.1 ล้านคน ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ทางการเมืองของโอบามาดีขึ้นมาก ทำให้เขาได้รับความนิยมขึ้นอย่างล้นหลาม ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งนี้
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง อลัน คีส์ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันในการชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ แทนที่ ไรอัน ที่ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้  คีส์นั้นแต่เดิมมีบ้านอยู่ในรัฐแมรีแลนด์ แต่เขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในรัฐอิลลินอยส์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 70 ขณะที่คีส์ได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ชัยชนะอันท่วมท้นของโอบามาครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความต่างของคะแนนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของรัฐอิลลินอยส์เลยทีเดียว
-                   สมาชิกวุฒิสภา, 2005-2008
โอบามาได้สาบานตนในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2005 เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานที่วอชิงตัน เขาจึงได้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความสามารถสูงมาช่วยเหลือการทำงาน ซึ่งจำนวนสมาชิกในคณะที่ปรึกษาของเขานี้มีมากกว่าที่สมาชิกวุฒิสภาคนอื่นๆต้องการเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ในสมัยแรก เขาว่าจ้างให้ พีท เราซ์ ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองระดับชาติวัย 30 ปี และยังว่าจ้าง ทอม แดสเชิล อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานวุฒิสภาแห่งพรรคเดโมแครตเข้ามาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นก็ว่าจ้าง คาเรน คอร์นบลูห์ นักเศรษฐศาสตร์, โรเบิร์ต รูบิน อดีตรักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย โอบามาได้ให้ ซาแมนตา พาวเวอร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และแอนโทนี เลค กับ ซูซาน ไรซ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ให้เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของเขาด้วย
ชื่อของโอบามาต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา เพราะเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา และเป็นคนที่ 3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกของ Congressional Black Caucus นิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐอเมริกาได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น "นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์" จากผลการวิเคราะห์การโหวตให้คะแนนเสียงสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศในปี 2005-2007 และนิตยสาร National Journal ก็จัดว่าเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่"มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด" จากการโหวตในปี 2007แต่โอบามากลับรู้สึกสงสัยในวิธีการสำรวจเพื่อให้ได้ผลโหวตนี้ โดยตำหนิว่าการแบ่งการเมืองออกเป็นสองข้างระหว่าง"อนุรักษ์นิยม"กับ"เสรีนิยม" เป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้เกิดความลำเอียงในผลการสำรวจ ซึ่งก็ทำให้ผลโหวตออกมาไม่ตรงตามความจริงเท่าใดนัก
บารัก โอบามา ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะเริ่มทำงานประธานาธิบดี  เนื่องจากโอบามาดำรงวุฒิสมาชิกอยู่ก่อนแล้ว แต่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกตำแหน่ง ทำให้ไม่มีเวลาในการประชุมสภาคองเกรส เพื่อเป็นการไม่ให้เวลาการทำงานของตำแหน่งทั้งสองคาบเส้นกัน จึงต้องลาออกจากวุฒิสมาชิก ซึ่งปัญหาแบบนี้เคยมีมาแล้วในสมัยประธานาธิบดีวาเรน ฮาร์ดิง
-                   ด้านนิติบัญญัติ
ทอม โคเบิร์นและโอบามาขณะกำลังพูดคุยเรื่อง "กฎหมายความโปร่งใสโคเบิร์น-โอบามา" (Coburn–Obama Transparency Act)
โอบามาลงคะแนนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนโยบายพลังงานปี ค.ศ. 2005 เนื่องจากสอดคล้องกับความสนใจของเขา โอบามารับหน้าที่สำคัญในการผลักดันให้สมาชิกวุฒิสภา พัฒนาความปลอดภัยตามแนวชายแดนและการปฏิรูปการอพยพข้ามประเทศ ในปี ค.ศ. 2005 นั้นเขาสนับสนุน "กฎหมายความปลอดภัยของอเมริกาและการอพยพอย่างมีระเบียบ" ที่ร่างขึ้นโดย จอห์น แมคเคน สมาชิกวุฒิสภา ตัวแทนรัฐแอริโซนา จากพรรครีพับลิกัน ต่อมาเขาได้เพิ่มข้อแก้ไขสามจุดลงใน "กฎหมายปฏิรูปการอพยพทั่วไป" ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนกันยายน ปี 2006 นั้น โอบามาสนับสนุนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ กฎหมายป้องกันความปลอดภัย ซึ่งมีโครงสร้างเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและพัฒนาความปลอดภัยอื่นๆ ตามแนวชายแดนสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามรับรองยกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2006 โดยกล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นก้าวกระโดดสำคัญในการปฏิรูปการอพยพข้ามแดนเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
โอบามาและริชาร์ด ลูการ์ ไปเยือนกองทัพรัสเซียที่ดำเนินการถอดถอนขีปนาวุธออก ต่อมา โอบามาได้จับมือกับ ริชาร์ด ลูการ์ วุฒิสมาชิกแห่งรัฐอินเดียนาจากพรรครีพับลิกัน และ ทอม โคเบิร์น จากโอกลาโฮมา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ลูการ์-โอบามา" ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการลดอาวุธสงคราม และกฎหมาย "โคเบิร์น-โอบามา"ที่นำมาซึ่งการก่อตั้งเว็บไซต์ www.USAspending.gov ซึ่งเป็นเว็บที่เปิดทำการในเดือนธันวาคม ปี 2007 และควบคุมโดยสำนักงานบริหารและงบประมาณ หลังจากที่ชาวอิลลินอยส์เริ่มไม่พอใจน้ำเสียที่เป็นผลมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในบริเวณใกล้เคียง โอบามาจึงได้สนับสนุนให้มีการตรากฎหมายบังคับให้เจ้าของโรงงานแจ้งให้กับทางรัฐและทางการของท้องถิ่นทันทีที่มีการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี แต่ร่างกฎหมายที่ผ่อนปรนแล้วกลับถูกต่อต้านอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาก็ได้มีการนำกฎหมายนี้มาพิจารณาอีกครั้ง ในเดือนธันวาคม ปี 2006 ประธานาธิบดีบุชได้นำกฎหมายนี้ไปปรับใช้เป็น "กฎหมายเพื่อสงเคราะห์ ความปลอดภัย และส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งคองโก" นับว่าเป็นผลงานด้านนิติบัญญัติชิ้นแรกของโอบามาที่มีบทบาทในระดับประเทศ
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 โอบามาและวุฒิสมาชิก Feingold เสนอ"กฎหมายเกี่ยวกับการรวมกลุ่มเป็นบริษัทการผลิตเครื่องบินไอพ่น (jet)" เป็นกฎหมายที่เปิดเผยและน่าเชื่อถือ โดยลงนามเป็นกฎหมายเมื่อเดือนกันยายน 2007 โอบามาเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการหลอกลวง, การป้องกันการข่มขู่ผู้ไปลงคะแนนเสียง งบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐบาลกลาง เขายังเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการลดการทำสงครามอิรัก
ต่อมาปลายปี ค.ศ. 2007 โอบามาสนับสนุนให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจในการป้องกันประเทศ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียงเมื่อเกิดเหตุจลาจล ซึ่งกฎหมายนี้ได้ผ่านการอนุมัตจากวุฒิสภาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2008 เขาได้สนับสนุนกฎหมายในการให้อำนาจต่อต้านอิหร่าน โดยได้รับการสนับสนุนจากการลดกองทุนบำนาญของรัฐ จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของอิหร่าน และร่วมสนับสนุนการออกกฎหมายลดการเสี่ยงภัยจากการก่อการร้ายด้วยนิวเคลียร์ โอบามายังได้สนับสนุนวุฒิสภาในการแก้ไขโปรแกรมของรัฐในการประกันสุขภาพของเด็ก โดยให้งานทำ 1 ปี สำหรับสมาชิกของครอบครัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
-                   คณะกรรมการด้านต่างๆ
บารัก โอบามาได้รับมอบหมายให้เป็น คณะกรรมการวุฒิสภาเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สิ่งแวดล้อม, งานสาธารณะ, วิเทรัน ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2006 ต่อมาเดือนมกราคม ปี 2007 เขาได้ออกจากการเป็นคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมและงานสาธารณะ แล้วได้เป็นกรรมการดูแลเกี่ยวกับสาธารณสุข, การศึกษา, แรงงาน และเงินสงเคราะห์ผู้ที่ไม่มีบ้าน และสวัสดิการของรัฐ เขายังกลายเป็นประธานคณะกรรมการวุฒิสภายุโรปอีกด้วย ในงานนี้ โอบามาได้ปฏิบัติภารกิจในการไปดูงานที่ ทวีปยุโรปตะวันออก, ตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง และแอฟริกา โอบามายังได้พบกับมาห์มุด อับบาส ก่อนที่เขาจะได้เป็นประธานาธิบดีปาเลสไตน์ และยังได้ประณามการทุจริตของรัฐบาลเคนยา ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยไนโรบี ประเทศเคนยา
ประธานาธิบดีบารัค  โอบามา ในสายตานักวิชาการไทย
หลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 อย่างเป็นทางการของนายบารัค โอบามาในวันอังคารที่ 20 มกราคม 2552 รัฐบาลชุดใหม่มีแผนจะเร่งผลักดันให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าราว 8.25 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรัฐสภาของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะทำให้การขาดดุลงบประมาณในปี 2552 สูงถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นมูลค่าสูงสุดตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา การทุ่มเทเงินงบประมาณอย่างมหาศาลอาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องใช้มาตรการปกป้องทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่า เงินงบประมาณที่ถูกใช้ออกไปจะไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง USA Today ประเมินว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินงบประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จะทำให้ GDP เพิ่มขึ้นราว 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และหากรัฐบาลเพิ่มภาษีกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 2.8 ล้านล้านสหรัฐฯ
มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่มิใช่ภาษีเช่น การรณรงค์ให้ชาวอเมริกันหันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น การให้เงินอุดหนุนบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ 3 แห่งของสหรัฐฯ ภายใต้แผนฟื้นฟูฯ และมาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรชุดใหม่ แต่สหรัฐอเมริกายังไม่ได้นำมาตรการทางภาษีมาใช้ในการปกป้องทางการค้าเช่นเดียวกับอินเดีย นอกจากสหรัฐฯ จะใช้มาตรการปกป้องทางการค้าแล้ว ประธานาธิบดีโอบามาอาจจะผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดให้กับสินค้าและบริการจากสหรัฐอเมริกาผ่านการเจรจาการค้าทุกรูปแบบทั้งระดับทวิภาคีจนถึงพหุภาคี อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดดุลการค้าเรื้อรังของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะกับประเทศจีนที่ลดลงมากในปี 2552 จากการชะลอการบริโภคของชาวอเมริกันและราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลงในช่วงปลายปี 2551 อาจจะช่วยลดแรงกดดันของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้าให้ต้องเปิดรับสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ มากขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า กระแสการปกป้องทางการค้าที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยในปี 2552 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยจะทำให้การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐอเมริกาเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการกีดกันทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาจะนำใช้กับประเทศอื่นโดยเฉพาะกับจีนและอินเดียอาจจะทำให้ประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสองลำดับแรกของโลกในปี 2552 ชะลอตัวลงและจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในตลาดใหม่เหล่านี้เช่นกัน
ผลกระทบทางตรง
การอุดหนุนบริษัทรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาภายใต้โครงการกอบกู้อุตสาหกรรมยานยนต์ มูลค่า 25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะทำให้บริษัทรถยนต์ของสหรัฐฯ มีขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นและอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มาตรการอุดหนุนดังกล่าวอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางการค้าและถูกประเทศคู่ค้าใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุนในอนาคต นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่มีแนวโน้มที่จะปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้นเพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศค่อนข้างมากและรัฐมิชิแกนซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นฐานเสียงที่สำคัญของประธานาธิบดีโอบามา
มาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรของสหรัฐอเมริกาภายใต้กฎหมายการเกษตรปี 2551(Farm Act 2008) จะทำให้เกษตรกรในสหรัฐฯ สามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากและจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตซึ่งจะกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรของโลกอยู่ในระดับต่ำและกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรของไทยบางรายการเช่น ข้าวโพด ถั่วเหลืองและถั่วต่างๆ เป็นต้น กฎหมายฉบับใหม่ได้ขยายวงเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรและครอบคลุมสินค้าเกษตรมากขึ้น แม้ว่าการเจรจาการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบุชพยายามปฏิรูปมาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรเพื่อใช้ต่อรองกับประเทศสมาชิก WTO แต่ในที่สุดรัฐสภาสหรัฐฯ ภายใต้การครองเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตได้ผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จนถึงปี 2556 ท่าทีปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ อาจจะทำให้เป้าหมายที่จะผลักดันให้การเจรจาการค้าโลกรอบโดฮาได้ข้อยุติต้องล่าช้าออกไปเนื่องจากเสียงคัดค้านของประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรโดยตรง
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ได้เพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าโดยตรงแต่อาจจะเรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทยที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนค่าแรงต้องยกระดับมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นซึ่งในระยะสั้นจะทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงขึ้นส่งผลให้สินค้านำเข้าราคาถูกจากประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทยมีราคาใกล้เคียงกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ทั้งนี้ฐานเสียงสำคัญของโอบามาเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรดังนั้นสหภาพแรงงานอย่าง AFL-CIO (American Federation of Labor and Congress of Industrial Organizations) จะมีบทบาทมากขึ้นในการเรียกร้องให้รัฐบาลตัดสิทธิ์ GSP กับประเทศคู่ค้าที่มีการละเมิดสิทธิแรงงาน แม้ว่าตลอดระยะเวลา 8 ปีของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีบุช ไทยได้เผชิญกับมาตรการระงับการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากข้อกล่าวหาในเรื่องการใช้แรงงานเด็ก แรงงานผิดกฎหมายหรือการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่มีแนวโน้มจะเพิ่มความเข้มงวดด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยเฉพาะแรงงานเด็กและแรงงานต่างด้าวที่สหรัฐเมริกาได้ลงนามให้สัตยาบันไว้กับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labor Organization: ILO)
ผลกระทบทางอ้อม
จีน โอบามามีแนวโน้มจะดำเนินการทางการทูตและการตอบโต้ทางการค้าเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการค้าอย่างหนักของสหรัฐอเมริกาประกอบกับความต้องการสินค้าจีนของสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัญหาความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ อาจจะทำให้จีนหันมาทำการค้ากับประเทศในภูมิภาคมากขึ้นและสินค้าจีนอาจเข้ามาตีตลาดในประเทศไทย ขณะที่การส่งสินค้าออกไปยังประเทศที่ 3 ของไทยจะมีการแข่งขันอย่างรุนแรง นอกจากนี้ภาคการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกาอาจจะส่งผลให้การส่งออกวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางของไทยไปจีนลดลงตามไปด้วย
อินเดีย มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมและบริการรับจ้างทางธุรกิจ(Outsource) รวมถึงการจำกัดการลงทุนของบริษัทสัญชาติอเมริกันในต่างประเทศของประธานาธิบดีโอบามาจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Software และการให้บริการธุรกิจรวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดียอย่างมากเพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอินเดียและสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรม Outsource และ Software ของอินเดีย(ราวร้อยละ 70 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) การใช้มาตรการปกป้องทางการค้าดังกล่าวของสหรัฐอเมริกาจะทำให้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งจะส่งผลความต้องการสินค้าส่งออกของไทยในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า โอบามาคงไม่สามารถใช้มาตรการกีดกันทางการค้าได้มากนักเพราะการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตอบโต้จากประเทศคู่ค้าโดยการเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้ากับสินค้าของสหรัฐฯ เช่นเดียวกันซึ่งจะกระทบต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ เองและยิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริการุนแรงขึ้นไปอีก นอกจากนี้บรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่กระจายการลงทุนไปทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการนำเข้าของโอบามาโดยตรงเนื่องจากสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศเพราะมีต้นทุนต่ำกว่าจะเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น การสูญเสียความสามารถการแข่งขันของบริษัทเหล่านี้จะยิ่งทำให้ปัญหาการว่างงานในสหรัฐฯ รุนแรงขึ้น
ท่าทีของไทยในการเจรจา FTA ในยุคประธานาธิบดีโอบามา
ประธานาธิบดีโอบามาที่มีท่าทีสนับสนุนการเจรจาการค้าโลกรอบโดฮามากกว่าการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีทวิภาคีและอาจจะมีผลให้ความตกลงฯ ที่อยู่ระหว่างผลักดันให้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีบุชต้องหยุดชะงักไป รวมถึงการเจรจาความตกลงฯ FTA ไทย-สหรัฐอเมริกา(TUSFTA) ที่หยุดชะงักไปเมื่อเดือนมกราคม 2549 มีแนวโน้มจะต้องยืดเยื้อออกไปอีกเนื่องจากพรรคเดโมแครตซึ่งสามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาและในรัฐบาลมีท่าทีคัดค้านการทำ FTA โดยเฉพาะกับประเทศกำลังพัฒนาที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนค่าแรง ทั้งนี้ประเด็นอ่อนไหวที่ไทยและสหรัฐอเมริกายังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ในการเจรจา TUSFTA ครั้งล่าสุดคือ การเปิดตลาดสิ่งทอและสินค้าเกษตร การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดเสรีการลงทุน สิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน โทรคมนาคม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เป็นที่น่ากังวลว่า นโยบายของประธานาธิบดีโอบามาค่อนข้างให้ความสำคัญกับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของประเทศคู่ค้าใน 3 ประเด็นคือ การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงานและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงขึ้นระยะสั้นโดยเฉพาะในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบันที่ผู้ผลิตไม่สามารถเพิ่มราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากนัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต มีความเห็นดังนี้
รัฐบาลไทยควรสนับสนุนให้การเจรจาการค้าโลกรอบโดฮาประสบความสำเร็จโดยเร็ว เพราะการเปิดเสรีทางการค้าในกรอบ WTO จะช่วยลดแรงกดดันต่อการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าและการตอบโต้ทางการค้าที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ในการประชุม G-20 ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา อินเดีย จีนและสหรัฐอเมริกาสามารถประนีประนอมประเด็นที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ในคราวการประชุมการค้าโลกเมื่อกลางปี 2551 ส่งผลให้การเปิดเสรีการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมมีความคืบหน้าไปมาก อย่างไรก็ตามในช่วง 1 ปีแรกประธานาธิบดีโอบามาคงไม่สามารถผลักดันให้การเจรจาประสบผลสำเร็จได้มากนักเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจทำให้สหรัฐอเมริกาไม่อาจปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการให้มีการปฏิรูปมาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรได้ ในทางกลับกันโอบามามีแนวโน้มที่จะนำมาตรการกีดกันทางการค้ามาใช้มากขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่น ดังนั้นในระหว่างนี้รัฐบาลไทยควรกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกาภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐอเมริกา(Trade and Investment Framework Agreement – TIFA) เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการค้าการลงทุนระหว่างกัน ทั้งนี้ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกากำหนดให้ประเทศที่สหรัฐอเมริกาจะจัดทำความตกลง FTA ด้วยจะต้องมีความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันก่อนซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนเกือบทุกประเทศยกเว้นพม่ากับลาวต่างมีความตกลงฯ TIFA กับสหรัฐอเมริกาแล้ว ขณะที่ TIFA อาเซียน-สหรัฐอเมริกายังอยู่ระหว่างการเจรจา
รัฐบาลไทยควรเร่งยกระดับมาตรฐานและแรงงานในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สินค้าส่งออกของไทยที่มีตลาดหลักอยู่ในสหรัฐอเมริกาเช่น อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารแปรรูป ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นอาจจะเผชิญกับความเข้มงวดเกี่ยวกับสิทธิแรงงานและปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลและภาคเอกชนควรร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมของไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานแรงงานขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) รวมถึงสร้างการยอมรับในตลาดส่งออกเพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหารของไทยนั้นถือเป็นสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกสูง
 รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกับประเทศในภูมิภาคเพื่อรักษาโอกาสทางการค้าควบคู่กับการสร้างเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาค โดยเฉพาะกรอบ ASEAN และ ASEAN+3 หรือประชาคมเอเชียตะวันออก(East Asian Community) ในฐานะที่ไทยเป็นประธานอาเซียน รัฐบาลไทยควรเร่งสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยอาศัยเวทีการประชุมผู้นำอาเซียน(ASEAN SUMMIT) ที่จะมีขึ้นในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เร่งสร้างความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนในกรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(ASEAN Economic Community: AEC) ให้เห็นเป็นรูปธรรมเร็วขึ้น รวมถึงขยายกรอบความร่วมมือไปสู่ประชาคมเอเชียตะวันออกซึ่งในปี 2552 จะเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก การผลักดันการรวมกลุ่ม AEC ให้แน่นแฟ้นขึ้นจะช่วยให้สินค้าและบริการของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดที่มีการขยายตัวสูงทดแทนสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ซบเซาอย่างหนักได้ นอกจากนี้จะช่วยห้ประเทศอาเซียนมีอำนาจต่อรองบนเวทีระหว่างประเทศมากขึ้นและสร้างความน่าสนใจที่จะเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่จะย้ายฐานการผลิตเข้ามาในเอเชีย นอกจากนี้ควรเร่งสร้างความร่วมมือทางการเงินในกรอบ ASEAN+3 ตามแผนการริเริ่มเชียงใหม่” (Chiang Mai Initiative: CMI) เพื่อรับมือกับวิกฤตการเงินของโลกและรักษาเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาคในระยะยาว แม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคจากระดับการพัฒนาและความพร้อมในการเปิดเสรีทางการเงินของประเทศสมาชิก แต่ความพยายามในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและนอกภูมิภาคและสร้างความพร้อมที่รับมือกับวิกฤตการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

สรุป
นโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามาอาจจะส่งผลต่อการเปิดเสรีทางการค้าของประเทศไทยทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพราะประธานาธิบดีโอบามาประกาศจะใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศและต่อต้านความตกลงการค้าเสรีที่มีผลกระทบต่อการจ้างงานชาวอเมริกัน ซึ่งแตกต่างจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีจอร์จ บุชที่มุ่งเปิดเสรีการค้าและการลงทุนเป็นหลัก ขณะเดียวกันประธานาธิบดีโอบามาอาจจะเปิดเกมรุกในตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการส่งออกที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงและลดปัญหาการขาดดุลการค้าอย่างหนักของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในการเปิดเสรีทางการค้าของภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าที่ผ่านมาประธานาธิบดีโอบามาไม่ได้มีนโยบายเศรษฐกิจเกี่ยวกับอาเซียนและไทยโดยตรงเมื่อเทียบกับจีน ญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนที่ยังไปได้ดีในปี 2552 การแผ่อิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดียตลอดจนการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี 2558 อาจจะทำให้โอบามาให้ความสำคัญกับไทยและอาเซียนมากขึ้นเพราะไทยเป็นประธานอาเซียนในปีนี้และมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกับประเทศในภูมิภาคก่อนเป็นลำดับแรกโดยเฉพาะกรอบ ASEAN และ ASEAN+3 เพื่อรักษาโอกาสทางการค้าควบคู่กับการสร้างเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาค ควบคู่กับการสนับสนุนให้การเจรจาการค้าโลกรอบโดฮาประสบความสำเร็จโดยเร็วเพราะผู้ประกอบการไทยจะได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีในกรอบ WTO มากกว่า TUSFTA เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้าในกรอบ WTO จะช่วยลดแรงกดดันต่อการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าและการตอบโต้ทางการค้าที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยควรกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกาภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐอเมริกา(Thailand-US TIFA) และเร่งยกระดับมาตรฐานและแรงงานในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น