เรื่อง : ศรีศักร วัลลิโภดม
โดย : วารสารเมืองโบราณ ปี 2551 ฉบับที่ 34.3
นับตั้งแต่คณะกรรมการมรดกโลกรับขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกให้แก่ประเทศกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว โดยประเทศไทยไม่มีส่วนร่วมนั้น ก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอคติกับคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งรวมไปถึงองค์การ UNESCO อย่างสุดๆ เพราะได้ประจักษ์แจ้งถึงความไม่ชอบมาพากล และความฉ้อฉลขององค์กรข้ามชาติอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
โดยอุดมคตินั้น แหล่งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่จะเป็นมรดกโลกต้องเป็นแหล่งเพื่อการเรียนรู้ที่มีความโดดเด่นสมบูรณ์และครบถ้วนในด้านคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สังคม และอารยธรรม ที่ทั้งผู้คนในท้องถิ่นกับผู้ที่มาจากภายนอกได้เรียนรู้และสังสรรค์กัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีในการอยู่ร่วมโลกเดียวกัน
แต่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น เป็นการให้ความสำคัญเฉพาะตัวปราสาทอันเป็นองค์ประกอบอันหนึ่งของแหล่ง (site) มรดกโลกเท่านั้น หาได้กินเลยเข้าไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สระตราว อันเป็นบารายหรืออ่างเก็บน้ำ ผามออีแดง และพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่อยู่ในเขตแดนประเทศไทยไม่ เพราะปราสาทพระวิหารที่เป็นศาสนสถานของแหล่งต้นน้ำบนเขาอันไหลผ่านสระตราวลงไปหล่อเลี้ยงบ้านเมืองและศาสนสถานร่วมสมัยในที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล - ชี ที่ราบสูงโคราชของประเทศไทยนั้น ถ้าหากมองจากเส้นปันเขตแดนตามธรรมชาติ โดยยึดถือสันปันน้ำเป็นหลักเกณฑ์แล้ว ปราสาทพระวิหารก็เป็นมรดกของผู้คนที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยนั่นเอง
ดังนั้น การกระทำของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งนี้ จึงดูเหมือนเป็นการช่วยฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมเพื่อให้กัมพูชาโกงเอาปราสาทพระวิหารเป็นการซ้ำสองฉะนั้น !
จากการทบทวนและเฝ้าดูพฤติกรรมของคณะกรรมการมรดกโลก และความเป็นไปของแหล่งมรดกโลกในประเทศไทย เวียดนาม ลาว และเขมรทุกวันนี้ ข้าพเจ้าใคร่ฟันธงลงไปว่า แหล่งมรดกโลกที่เป็นอยู่แทบทุกแห่งในขณะนี้คือแหล่งท่องเที่ยวในทางธุรกิจข้ามชาติ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการปลดปล่อย หาใช่แหล่งเรียนรู้อารยธรรมโลกอย่างใดไม่
ที่น่าทุเรศอลังการก็คือ แหล่งมรดกโลกของ UNESCO ล้วนแต่เป็นโครงสร้างจากข้างบนที่ทับลงไปยังพื้นที่ทางวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่น โดยคนท้องถิ่นแทบไม่มีส่วนร่วมและรับรู้ นับเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ - การเมืองจากข้างบน เช่นที่ประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาทำกันอยู่
แต่ความชั่วร้ายอย่างสุดๆ ของมรดกโลกที่โดดเด่นกว่าโครงการพัฒนาจากข้างบนทั้งหลายก็คือ การอ้างว่าเป็นโครงการโลก หรือโครงการข้ามชาติ ที่ทำทุกอย่างเบ็ดเสร็จโดยคณะนักวิชาการ มีการวางแผน ออกแบบ โดยมีนักวิจัย นักวิชาการทั้งจากในชาติและข้ามชาติเข้ามาร่วมทำเอง ตัดสินเอง แล้วดำเนินงานผ่านการรับรู้และร่วมมือของรัฐบาลที่เป็นเจ้าของแหล่งมรดกโลกนั้นๆ
ซึ่งก็แน่นอนว่ามีรัฐบาลโง่ๆ ของหลายๆ ประเทศหลงกล เพราะตนเองก็มองอะไรในวิสัยทัศน์ที่สั้นและคับแคบอยู่แล้ว คือไม่เคยตระหนักถึงเรื่องแหล่งเรียนรู้ทางอารยธรรมแต่น้อย มองแต่เพียงอย่างเดียวว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จะทำให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา รวมทั้งกิจกรรมการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจากนักลงทุนภายนอกด้วย
การเป็นแหล่งมรดกโลกแบบนี้ ส่งผลให้เกิดความกระสันขึ้นกับคนในชาติอีกหลายภาคส่วน ไม่ว่าส่วนราชการ เอกชน และท้องถิ่น ต่างก็ล้วนต้องการที่จะโปรโมทแหล่งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติของตนให้เป็นมรดกโลก กล่าวได้ว่า แหล่งมรดกโลกแทบทุกแห่งในเมืองไทย ทั้งที่มีอยู่และกำลังจะเป็นอีกหลายต่อหลายแห่ง ล้วนถูกผลักดันจากแรงกระสันด้วยกลลวงของ UNESCO แทบทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าคงไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะไปวิจารณ์แหล่งมรดกโลกอื่นๆ เช่น เมืองหลวงพระบางของลาว หรือเมืองฮอยอันของเวียดนาม แต่สำหรับในเมืองไทย ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ เพราะเป็นคนไทยคนหนึ่ง
ข้าพเจ้าสงสัยว่า แหล่งมรดกโลกของไทย ไม่ว่าสุโขทัย อยุธยา และอะไรต่อมิอะไรในที่อื่นๆ นั้น คนในท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริงนั้นได้อะไรแค่ไหนจากการเป็นแหล่งมรดกโลกนั้นๆ เพราะดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในการจัดการและดำเนินการ ตลอดจนรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวล้วนเป็นของทางราชการ นักธุรกิจ นักลงทุน รวมทั้งมัคคุเทศก์จากภายนอกแทบทั้งสิ้น
รายได้ที่จะพึงมีก็แต่เพียงการเป็นแรงงานในด้านบริการ หรือการนำของเล็กๆ น้อยๆ มาขายเพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้น
แต่ที่สำคัญ คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้อะไรบ้าง คนที่มาเที่ยวจากภายนอกได้เรียนรู้อะไรบ้าง
อย่างเช่นเมืองมรดกโลกสุโขทัย ที่แลเห็นจากกำแพงเมือง ซากวัดวาอารามที่บูรณะกันแบบถูกบ้างไม่ถูกบ้าง รวมถึงที่ต่อเติมกันอย่างผิดๆ ก็มี พอถึงเวลา ก็จัดมหกรรมการท่องเที่ยวอย่างอลังการ เช่น ประเพณีลอยกระทง หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพื่อให้เกิดรายได้ที่รัฐบาลสามารถเอาตัวเลขไปโอ่ถึงความสำเร็จทางเศรษฐกิจได้
แต่แท้จริงแล้ว รายได้เหล่านั้นส่วนใหญ่ก็เป็นรายได้ของคนต่างถิ่นแทบทั้งสิ้น ส่วนคนในท้องถิ่นที่เป็นชาวบ้านได้แต่เพียงคอยเก็บขยะนานาประเภทหลังงานแสงเสียงสิ้นสุดลงเท่านั้นเอง
ดูเหมือนสิ่งที่คนท้องถิ่นบางคนภูมิใจก็คือ การที่ถูกมอมเมาโดยการแสดงและการบรรยายของทั้งทางราชการและผู้อยู่ในขบวนการมรดกโลก ว่าสุโขทัยคือราชธานีแห่งแรกของคนไทย และประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้นที่สุโขทัยเป็นแห่งแรก
เมืองสุโขทัยและประเพณีลอยกระทงจึงเป็นตำนานที่แยกกันไม่ออกจนบัดนี้
ทั้งเรื่องเมืองสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของคนไทย และประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้นครั้งแรกในสุโขทัย เป็นเรื่องที่มาจากประวัติศาสตร์ชาติ อันเป็นประวัติศาสตร์ที่สร้างจากคนภายนอก โดยเฉพาะจากทางกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจาก “ฝรั่ง” ยุคอาณานิคมคนหนึ่ง ที่มีความรู้เรื่องการอ่านจารึก และรูปแบบศิลปะของโบราณสถานเป็นอย่างดี อ่านได้ทั้งภาษาไทยโบราณและมอญเขมรโบราณ ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์อุษาคเนย์โบราณ ที่อธิบายการเกิดของรัฐและดินแดนด้วยรูปแบบศิลปะและภาษา
ดังเช่น ที่เมืองสุโขทัยมีโบราณสถานในศิลปะแบบขอมหรือเขมร ก็บอกว่าเมืองนี้เคยอยู่ใต้การปกครองของขอมกัมพูชา ในขณะที่มีจารึกภาษาไทยอยู่มากมาย นั่นก็แสดงว่าไทยเข้ามาเป็นขี้ข้าขอมอยู่ก่อน แล้วปลดแอกเป็นอิสระได้ในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และพ่อขุนรามคำแหง เมื่อเป็นปึกแผ่นแล้วจึงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมาแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง
ปราชญ์ของชาติที่เป็นต้นตระกูลประวัติศาสตร์ชาติไทยในสมัยนั้นเชื่อว่าเป็นจริง เลยทำให้มีการเขียนเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยกันมาจนทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์แบบนี้ก็คือตำนานชุดใหม่ที่คนนอกซึ่งอ้างตนเองว่าเป็นผู้รู้ดีกว่าคนในท้องถิ่นทั้งหลายสร้างขึ้นมาลบล้างบรรดาตำนานท้องถิ่นที่มีการถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงกันมาอย่างต่อเนื่องให้หมดสิ้นไป แม้ว่าอาจนับเป็นตำนานเหมือนกัน เพราะมุ่งให้คนเชื่อว่าเป็นจริง (ซึ่งในแง่นี้ก็ดูเหมือนตำนานของคนท้องถิ่น) แต่ความต่างกันอยู่ที่ตำนานประวัติศาสตร์ชาติมีขอบเขตการแบ่งยุคสมัยชัดเจน ในขณะที่ตำนานพื้นบ้านพื้นเมืองไม่กำหนดสมัยเวลาแน่ชัด เพราะมีการปรับปรุงปรับเปลี่ยนกันมาอย่างสืบเนื่อง โดยการเรียนรู้และถ่ายทอดกันเองในท้องถิ่น
จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นตำนานประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต (living history)
ในขณะที่ตำนานประวัติศาสตร์ชาติเป็นประวัติศาสตร์ที่ตายแล้ว เพราะเน้นการสิ้นสุดของยุคสมัย เช่นสมัยพ่อขุนราม เป็นต้น ทำให้พระร่วงในตำนานที่มีชีวิตของคนท้องถิ่นกลายเป็นพ่อขุนราม เหมือนกันกับเรื่องที่ว่าท้าวอู่ทองคือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ เป็นต้น
ประวัติศาสตร์แบบนี้ ขบวนการมรดกโลกมีความถนัดจัดเจนเป็นพิเศษในการนำมาใช้เป็นเครื่องมือหาความชอบธรรม เพราะเป็นเรื่องที่คนในท้องถิ่นไม่รู้ รวมทั้งคนในที่อื่นๆ ทั่วไปไม่รู้ เลยทำให้คณะกรรมการมรดกโลกกลายเป็นผู้รู้ที่ผูกขาดความรู้แต่ผู้เดียว โดยระดมบรรดานักวิชาการที่มีดีกรีเป็น ด๊อกเตอร์ด๊อกตีน และบรรดาบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งนักวิชาการตามมหาวิทยาลัยที่ขายชาติและข้ามชาติเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดแผนแม่บท ที่ไม่เคยแม้แต่จะนำมาแสดงให้เกิดประชาพิจารณ์โดยคนหลายๆ ภาคส่วน (โดยเฉพาะบรรดาผู้รู้ในท้องถิ่น) แต่อย่างใด
ผลที่ตามมาภายหลังจากการเกิดขึ้นของแหล่งมรดกโลกอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการปลดปล่อยแล้ว ก็มักเกิดการแสดงแสงเสียง การแสดงนิทรรศการ การสร้างเอกสารประวัติศาสตร์ เอกสารนำชม รวมทั้งการนำชมนำแสดง ที่ทำให้เกิดเป็นเรื่องเสมือนจริง (virtual reality) ขึ้น กอปรกับการเน้นใช้เทคโนโลยีแบบไอทีด้วยแล้ว ก็เลยมีศักยภาพในการสื่อสารให้คนเชื่อและเห็นจริงจนงมงาย
นับเป็นการมอมเมาให้คนเชื่อว่าสิ่งที่แต่งขึ้น ประดิษฐ์ขึ้นเหล่านั้นคือความจริงทางประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ในขณะนี้ก็คือ ตำนานประวัติศาสตร์ของกรรมการมรดกโลกแบบที่ทำขึ้นให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว
ประวัติศาสตร์ยุคเมืองพระนครที่ตายไปแล้วของพวกกษัตริย์ขอมวรมันทั้งหลายกำลังคืนชีพ เป็นประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งยุคอาณานิคมทิ้งไว้ให้เป็นจุดเด่นของคนกัมพูชาในยุคด้อยพัฒนา ที่จะใช้ในการรุกล้ำอธิปไตยของดินแดนและผู้คน โดยเฉพาะคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
กัมพูชา อันเป็นรัฐของการขายสัมปทานแหล่งมรดกโลกให้กับขบวนการข้ามชาติของคณะกรรมการมรดกโลก กำลังเรียกร้องเอาบรรดาแหล่งโบราณคดีที่มีศิลปกรรมแบบขอมและจารึกขอมทั้งหลายในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา เห็นได้จากกรณีที่เริ่มรุกมายังปราสาทตาเมือนธมและตาเมือนโต๊จ จังหวัดสุรินทร์ และกำลังจะถึงปราสาทสด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้วในไม่ช้า
ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้คงไม่นานเกินรอ เพราะดูทางรัฐและบรรดานักวิชาการทั้งในชาติและข้ามชาติของประเทศ รวมทั้งบรรดาสถาบันการวิจัยต่างๆ ของมหาวิทยาลัยและหน่วยราชการก็ดูจะสนับสนุนเป็นอย่างดี
อย่างที่ก็เห็นมีนักประวัติศาสตร์ดังๆ หลายท่านออกมาสนับสนุนการเรียกร้องความจริงและสิทธิของกัมพูชาในเรื่องปราสาทต่างๆ ที่บางแห่งกินเข้ามาถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง ว่าเป็นของเขมร และเขมรเคยเป็นเจ้าของดินแดนมาก่อน นับว่าเข้าทางของนักวิชาการเขมรที่บอกว่าคนไทยเป็นพวกขโมยขโจรหนีมาจากน่านเจ้าอะไรทำนองนั้น
ประวัติศาสตร์แบบตายๆ เช่นนี้ ถ้านำมาปลุกผีกันมากๆ เข้า ก็คงทำให้เพลงปลุกระดมของขบวนการเชื้อชาตินิยมที่ว่า “..เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว” เป็นจริงขึ้นมาสักวัน
เพราะแผ่นดินบกก็เป็นของเขมร ส่วนแผ่นน้ำในทะเลก็เป็นของมลายู ที่มีมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย
ทว่า สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สุดที่สนับสนุนการขยายตัวของมรดกโลกของกัมพูชาก็คือ งานวิจัยที่ตีแผ่ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีชื่อว่า “ราชมรรคา” อันเป็นการวิจัยโดยนักวิชาการของหน่วยราชการและสถาบันการศึกษาของรัฐ ทั้งยังได้รับทุนอุดหนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการวิจัยเพื่อการพัฒนา
ผู้วิจัยได้เสนอขึ้นมาว่า มีถนนโบราณที่สร้างมาจากศูนย์กลางอำนาจเมืองนครธมของกัมพูชา ในที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมร ตัดผ่านเทือกเขาพนมดองแร็ก มายังที่ราบสูงโคราช ผ่านปราสาทขอมต่างๆ ไปจนถึงเมืองพิมาย
นับเป็นการสร้างสิ่งเสมือนจริง (virtual reality) ด้วยเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมที่ทำให้เกิดจินตนาการของคนในยุคหลังสมัยใหม่นิยมได้ไม่ยาก เพราะทำให้คิดเพลินไปได้ว่า สมัยกษัตริย์วรมันที่ตายไปแล้วหลายชาติเกิดนั้น มี Superhighway !
ข้าพเจ้าหวังใจว่าคงไม่นานเกินรอ ที่จะแลเห็นปราสาทขอม ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นที่นับถือผี ถูกพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปให้เป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ เพื่อสนองการท่องเที่ยวระดับโลก
ถึงตอนนั้น คนท้องถิ่นคงทำอะไรไม่ได้ ต่อรองอะไรไม่ได้ นอกจากไปหาที่อยู่ใหม่ และสร้างศาลใหม่ให้ “ผี” อยู่กันเท่านั้นเอง |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น