จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พรมแดนความรู้เรื่องกบฏผีบุญ

พรมแดนความรู้เรื่องผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเทศาภิบาล(กบฏผู้มีบุญ)
                เหตุการณ์ที่เป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมลฑลเทศาภิบาล คือ การเกิดกบฏผีบุญในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ – ๒๔๔๕
สุวิทย์ ธีรศาศวัต ได้ให้ความเห็นว่า กบฏผีบุญในอีสานเป็นจดหมายลูกโซ่ฉบับแรกของเมืองไทย
ภาคอีสานเป็นภาคที่มีกบฏผู้มีบุญมากกว่าทุกภาคของประเทศไทย นับตั้งแต่กบฏผู้มีบุญครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๒๔๒ รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ มีกบฏผู้มีบุญเกิดขึ้นในภาคอีสานถึง ๙ ครั้ง ในช่วงเวลา ๒๖๐ ปี คือ
๑. กบฏบุญกว้าง พ.ศ. ๒๒๔๒
๒. กบฏเชียงแก้ว พ.ศ. ๒๓๓๔ (รัชกาลที่ ๑)
๓. กบฏสาเกียดโง้ง พ.ศ. ๒๓๖๐ (รัชกาลที่ ๒)
๔. กบฏสามโบก ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๒-๔๔ (รัชกาลที่ ๕)
๕. กบฏผู้มีบุญอีสาน พ.ศ. ๒๔๔๔-๔๕ (รัชกาลที่ ๕)
๖. กบฏหนองหมากแก้ว พ.ศ. ๒๔๖๗ (รัชกาลที่ ๖)
๗. กบฏหมอลำน้อยชาดา พ.ศ. ๒๔๗๙ (รัชกาลที่ ๘)
๘. กบฏหมอลำโสภา พลตรี พ.ศ. ๒๔๘๓ (รัชกาลที่ ๘)
๙. กบฏศิลา วงศ์สิน พ.ศ. ๒๕๐๒ (รัชกาลที่ ๙)
ทำไมอีสานขบถ
กบฏผู้มีบุญอีสาน ๒๔๔๔-๒๔๔๕ เกิดขึ้นเพราะราษฎรไม่พอใจการเก็บภาษีส่วยจากชายฉกรรจ์คนละ ๔ บาท มิหนำซ้ำมาเกิดภัยแล้งติดต่อกัน ๒-๓ ปี ส่วนขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจการปฏิรูปการปกครองที่เอาอำนาจไปจากพวกเขาแล้วยังเอาผลประโยชน์ คือ ภาษีที่เขาเคยได้ส่วนแบ่งมากไปจากพวกเขาด้วย ประกอบกับการคุกคามจากฝรั่งเศส ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายไปทั้งหมด และเสียอธิปไตยบางส่วนในเขต ๒๕ กิโลเมตร แล้วยังมีข่าวลือว่า ฝรั่งเข้ามายึดกรุงเทพฯ พวกกบฏได้ใช้วิธีการขยายความเชื่อ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมกระบวนการหลายอย่าง ทั้งใช้หมอลำ การบอกต่อ แต่ที่น่าทึ่งมาก การใช้ "จดหมายลูกโซ่" คัดลอก "คำพยากรณ์" ต่อๆ กันไป ทำให้กบฏขยายตัวอย่างกว้างขวางถึง ๑๓ จังหวัด แต่ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่า ของรัฐบาลไทยจึงสามารถปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว ภายใน ๒ เดือน โดยฝ่ายรัฐบาลสูญเสียกำลังเพียงเล็กน้อย
หลังกบฏครั้งนั้นรัฐบาลไทยได้ให้ความสนใจในการพัฒนาภาคอีสาน โดยเริ่มจากการปฏิรูปการศึกษา พัฒนาการเกษตร และสร้างตำรวจภูธรขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย แต่กบฏผู้มีบุญอีสานที่ขยายความเชื่อได้กว้างขวางที่สุดคือ กบฏผู้มีบุญอีสาน พ.ศ. ๒๔๔๔-๒๔๔๕ โดยมีผู้ตั้งตัวเป็น "ผู้มีบุญ" ถึง ๖๐ คน กระจายอยู่ถึง ๑๓ จังหวัด คือ อุบลราชธานี ๑๔ คน ศรีสะเกษ ๑๒ คน มหาสารคาม ๑๐ คน นครราชสีมา ๕ คน กาฬสินธุ์ สุรินทร์ จังหวัดละ ๔ คน ร้อยเอ็ด สกลนคร จังหวัดละ ๓ คน ขอนแก่น นครพนม อุดรธานี ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ จังหวัดละ ๑ คน(๑) เพราะเหตุใดการกบฏจึงขยายออกไปทั้งเกือบทุกจังหวัดของภาคอีสาน มากกว่ากบฏผีบุญทุกครั้ง พวกกบฏผู้มีบุญน่าจะมีวิธีการขยายความเชื่อเพื่อถึงคนเข้ามาร่วมให้มากที่สุด จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจซึ่งผู้เขียนจะเน้นในบทความ แต่เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของกบฏผู้มีบุญครั้งนี้ทั้งหมดจึงจะกล่าวถึงความหมายของกบฏผู้มีบุญ สาเหตุของการกบฏ เป้าหมายของกบฏ การปราบปรามของทางการ และผลของกบฏครั้งนี้โดยใน ๕ ประเด็นหลังจะกล่าวพอสังเขป
สาเหตุของกบฏผู้มีบุญอีสาน พ.ศ. ๒๔๔๔-๒๔๔๕
สาเหตุของกบฏผู้มีบุญครั้งนี้ มิได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน จากเอกสารเป็นจำนวนมาก พอสรุปได้ดังนี้
๑. สาเหตุทางการเมือง อาจจำแนกได้ ๒ ประการ คือ การเมืองภายนอกประเทศ ได้แก่ การขยายอำนาจอย่างน่ากลัวของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสสู่อินโดจีน ยึดเวียดนามใต้ไปปกครอง ต่อมาก็เข้ามายึดเขมรซึ่งเป็นประเทศราชของไทยในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ (๒๔๑๐) ต่อมาก็ยึดสิบสองจุไทยในพ.ศ. ๒๔๓๑ สมัยรัชกาลที่ ๕ และที่รุนแรงมากคือ ยึดฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (คือประเทศลาวในปัจจุบัน) ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ หลังจากนั้นจากช่องโหว่ของสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ฉบับ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งฝรั่งเศสสร้างขึ้น เพื่อจงใจที่จะขยายอำนาจเข้ามาในภาคอีสาน ทำให้ไทยไม่สามารถมีกำลังทหารในเขตรัศมี ๒๕ กิโลเมตรทางฝั่งขวา แม้กระทั่งจะเก็บภาษีในพื้นที่ดังกล่าวก็ไม่ได้(๓) นอกจากนี้ข้าราชการฝรั่งเศสและเอเย่นต์ฝรั่งเศสยังใช้กำลังข่มเหงคนไทยและข้าราชการไทยในภาคอีสานที่อยู่ในเขต ๒๕ กิโลเมตรด้วย ต่อมาก็เกิดข่าวลือว่า "ผู้มีบุญจะมาแต่ตะวันออก เจ้าเก่าหมดอำนาจ ศาสนาก็สิ้นแล้ว...บัดนี้ฝรั่งเศสเข้าไปเต็มกรุงเทพฯ แล้ว กรุงจะเสียแก่ฝรั่งเศสแล้ว"(๔)อำนาจที่ถดถอยลงของรัฐบาลไทยในสายตาของชาวอีสานจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะรวมพลังกันต่อต้านจึงได้เกิดขึ้น
ส่วนประเด็นสาเหตุจากภายในก็คือ การปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ระบบการปกครองกระชับ ส่วนกลางสามารถควบคุมหัวเมืองได้เต็มที่ โดยการส่งข้าหลวงใหญ่และข้าราชการเป็นจำนวนมากมาทำงานในภาคอีสาน ทำให้ขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจ
ยิ่งส่วนกลางส่งคนมาเก็บภาษีต่างๆ โดยตรง ยิ่งทำให้ขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจยิ่งขึ้น เพราะผลประโยชน์ที่เคยได้รับลดลงมาก เช่น ภาษีส่วย หรือเรียกในตอนนั้นว่า "เงินข้าราชการ" ซึ่งชายฉกรรจ์อีสานจะต้องเสียคนละ ๔ บาท ขุนนางท้องถิ่น ๗-๘ ตำแหน่ง ได้รับรวมกันเพียง ๕๕ สตางค์ หรือร้อยละ ๑๓.๖๗ เท่านั้น ส่วนกลางได้รับถึง ๓.๔๕ บาท หรือร้อยละ ๘๖.๓๓(๕)
๒. สาเหตุด้านสังคมเศรษฐกิจ ประเด็นที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวอีสานเป็นอันมาก คือ ภาษีส่วยหรือเงินข้าราชการที่เก็บจากชายฉกรรจ์คนละ ๔ บาท (มูลค่าปัจจุบันประมาณ ๓,๕๐๐-๔๐๐๐ บาท) ที่เดือดร้อนเพราะคนอีสานสมัยนั้นเกือบทั้งหมดมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เพราะผลิตปัจจัยสี่ได้เอง อยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง มีแต่คนที่อยู่ในเมืองซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่ต้องใช้เงิน ชายฉกรรจ์อีสานในชนบทจึงลำบากมากในการหาเงินมาเสียภาษีส่วย ๔ บาท เช่น ผู้เฒ่าคนหนึ่งอายุเกือบ ๑๐๐ ปี ให้สัมภาษณ์ผู้เขียนเมื่อ ๒๓ ปีที่แล้วว่า ท่านต้องหาบไก่ ๑๖ ตัว เดินทาง ๑๔๐ กิโลเมตร จากอำเภอมัญจาคีรี เอาไปขายที่ตลาดเมืองโคราชตัวละ ๑ สลึง ได้เงินมาเสียภาษีส่วย ๔ บาทดังกล่าว สำหรับคนไม่มีเงินเสียภาษีดังกล่าวก็ถูกเกณฑ์ไปทำงานโยธา ๑๕ วัน เช่น ขุดสระน้ำ (เช่น บึงผลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด) สร้างถนน สนามบิน ถางหญ้าข้างศาล เป็นต้น(๖) ประกอบกับช่วงก่อนเกิดกบฏผู้มีบุญเกิดฝนแล้งในมณฑลอีสานติดต่อกัน ๒-๓ ปี(๗) ยิ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับชาวอีสาน เมื่อมีคนมาปลุกระดมในรูปหมอลำ ทำให้ชาวอีสานเกิดความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น (นักการเมืองไทยปัจจุบันก็ทำอย่างนี้) จึงมีชาวอีสานเป็นจำนวนมากเชื่อตาม บางส่วนก็เข้าร่วมกระบวนการไปเลย
เป้าหมายของฝ่ายกบฏผู้มีบุญ
 กบฏมีหลายกลุ่มและหลายระดับ หากพิจารณาในกลุ่มผู้นำ อาจแบ่งได้ ๓ กลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มองค์มั่นซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจมาก กลุ่มนี้มีเป้าหมายชัดเจนมากคือขับไล่อำนาจของไทยออกไป โดยเฉพาะการยึดเมืองอุบลราชธานีศูนย์กลางอำนาจของไทยในอีสานตะวันออกแล้วตั้งรัฐขึ้นมาใหม่ โดยจะให้องค์มั่นปกครองอยู่ที่เวียงจันทน์ สมเด็จลุนวัดบานไชยปกครองที่อุบลราชธานี องค์เล็ก (เหล็ก) บ้านหนองซำปกครองที่หนองโสน (เมืองอยุธยา) องค์พระบาทและองค์คุธปกครองที่พระธาตุพนม(๘) ส่วนลาวใต้ด้านฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ถ้าขับไล่ฝรั่งเศสออกไปได้ องค์แก้วและองค์กมมะดำ (ผู้นำชาวข่า) จะเป็นผู้ปกครอง(๙) 1*
                                                                                                                              
1*สุวิทย์ ธีรศาศวัต .บทความกบฏผู้มีบุญอีสาน. ภาควิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยขอนแก่น . ๒๕๓๙ .

วนา วรรณศรี อธิบายว่า กบฏผู้มีบุญ หรือกบฏผีบุญ เป็นปฏิกิริยาที่คนในท้องถิ่นต่อต้านนโยบายของรัฐอันก่อให้เกิดผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น เช่น การปฏิรูปการปกครอง การเพิ่มภาษี การเอารัดเอาเปรียบจากภาครัฐ ฯลฯ
ในประวัติศาสตร์กบฏผู้มีบุญ เคยเกิดขึ้น หลายต่อหลายครั้งด้วยกัน คนพวกนี้ คือกบฏชาวนาที่ถูกสภาพแวดล้อมบังคับกดดันอย่างหนัก และหาทางออกด้วยการล้มล้างสังคมเก่า โดยอาศัยความเชื่อทางศาสนาเป็นอุดมการณ์ และมักจะพบเกือบทุกภาคของประเทศ เช่น กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน กบฏพระยาแขกเจ็ดหัวเมืองในภาคใต้ กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ในภาคเหนือ แต่ที่เกิดบ่อยครั้งที่สุด ก็เห็นจะเป็นภาคอีสาน ได้แก่ กบฏบุญกว้าง พ.ศ. ๒๒๔๒กบฏเชียงแก้ว พ.ศ. ๒๓๒๔ กบฏสาเขียดโง้ง พ.ศ. ๒๓๖๓ ศึกสามโบก พ.ศ. ๒๔๓๘ กบฏผู้มีบุญ พ.ศ. ๒๔๔๔ – ๒๔๔๕  กบฏหนองหมากแก้ว พ.ศ. ๒๔๖๗ กบฏหมอลำน้อยชาดา พ.ศ. ๒๔๗๙ และกบฏนายศิลา วงศ์สิน พ.ศ. ๒๕๐๒
การปฏิรูปการปกครองในสมัย ร. ๕ มีผลทำให้ผู้ปกครองเดิมไม่มีอำนาจปกครองได้เต็มที่เหมือนในอดีต เพราะมีผู้ปกครองจากส่วนกลางเข้าไปปกครอง ทำให้ในระยะแรก ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายที่สูญเสียผลประโยชน์ แต่ต่อมาก็พบว่า ผลกระทบกลับตกอยู่ที่ราษฎรซึ่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องมาจากผู้ปกครองเดิมนั้นหันไปขูดรีดราษฎรหนักขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ที่ขาดหายไป นอกจากนี้แล้ว ชุมชนอีสานยังถูกคุกคามจากการแทรกแซงเรื่องวัฒนธรรมของภาครัฐ ทำให้ชุมชนของพวกเขาไม่ได้รับความสงบสุขเหมือนดังก่อนอีกต่อไป จึงได้รวมกลุ่มลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจรัฐและลุกลามบานปลายจนกลายเป็นกบฏในที่สุด
กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน มีจุดมุ่งหมายคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยการล้มล้างสังคมเก่าที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวอีสาน แนวความคิดที่ถูกนำมาชักจูงให้ชาวบ้านเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏคือ อุดมการณ์พระศรีอารย์ ซึ่งมีปรากฏในวรรณกรรมทางศาสนา ซึ่งได้บรรยายคำพยากรณ์ของพระศรีอาริย์ที่เกี่ยวกับการสิ้นสุดของพุทธศาสนาในปัจจุบัน การเกิดกลียุคและการปฏิบัติตนให้รอดพ้นจากกลียุค รวมไปถึงลักษณะของยุคพระศรีอาริย์ ที่ฝรั่งเรียกว่า ยูโทเปีย (Utopia) ยุคแห่งอุดมคติ ยุคที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ มนุษย์และ!จะสามัคคีปรองดองไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความยุติธรรม ทุกคนเสมอภาค ทั้งร่างกาย สติปัญญาและฐานะ ความสมบูรณ์เหล่านี้จะเป็นนิรันดรตราบเท่าที่ศาสนาของพระศรีอาริย์ยังคงอยู่

ด้วยเหตุนี้เอง กบฏผู้มีบุญจึงมักจะนำความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาเป็นอุดมการณ์ในการกบฏ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชาวอีสานได้รับความกดดันจากสภาพแวดล้อมอย่างหนัก ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง ชาวบ้านพึ่งพิงผู้ปกครองไม่ได้ และในการกบฏทุกครั้งจะมีจุดประสงค์เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดน โดยคาดหวังที่จะปกครองดินแดนเหล่านั้นให้รุ่งเรืองดังอดีต
ในการนี้ก็มักจะมีผู้ตั้งตนเป็นผู้มีบุญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักบวชทางศาสนา ปลุกระดมความคิดตามแนวความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ เพื่อรวบรวมชาวบ้านให้รวมกลุ่มกันให้ได้มากที่สุด เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งขนาดของกลุ่มจะขึ้นอยู่กับความเชื่อถือศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อผู้นำของกลุ่ม หรือผู้มีบุญ แต่กลุ่มพวกนี้ส่วนใหญ่ จะมีกำลังไม่มากนัก และมักจะรวมตัวกันอย่างสงบ แต่ละกลุ่มจะเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และมีไม่กี่ครั้งที่กลุ่มเหล่านี้จะใช้กำลังต่อต้านรัฐ บางครั้งก็อาจลุกลามบานปลายจนถึงขนาดเข้าปล้นชิงเมืองและฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในเรื่องนี้ต่างก็จะทำตามคำแนะนำซึ่งปรากฏอยู่ในรูปแบบลายแทงหรือคำทำนายอย่างเคร่งครัด โดยหวังที่จะได้อยู่ในสังคมใหม่ที่มีแต่ความสมบูรณ์พูนสุขภายใต้การนำของผู้มีบุญ ซึ่งความเชื่อเรื่องนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสังคมอีกสานเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้ได้เกิดขึ้นโดยทั่วไปในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ ซึ่งชาวโลกรู้จักกันดีในชื่อ Millenarism คำนี้มาจากศาสนายิว เชื่อกันว่า พระคริสต์จะมาปรากฏองค์อีกครั้งในรูปของนักรบปราบมาร และจะสร้างอาณาจักรใหม่ที่มีแต่ความเสมอภาคและความปรองดองกันถ้วนหน้า หากนำมาเป็นอุดมการณ์ในการกบฏ อาจหมายถึง ความเชื่อในขบวนการทางศาสนาที่จะไปสู่สังคมที่ดีกว่าร่วมกัน และจะมีผู้ที่อ้างตนว่าได้รับคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้ามาเป็นผู้นำในการกบฏ
ความเชื่อเรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดขบวนการการต่อสู้ของกลุ่มชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งมักจะเป็นชนชั้นล่างและเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมนั้น ๆ การถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวโดยขาดการเหลียวแลจากภาครัฐ ทำให้อีสานกลายเป็นที่สนใจของลัทธิล่าอาณานิคมในเวลานั้น ภาครัฐไทยจึงต้องเปลี่ยนท่าทีโดยเข้าไปจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสาน โดยใช้วัฒนธรรมของส่วนกลางเข้าไปจัดการกับวิถีชีวิตชาวอีสาน โดยไม่คำนึงและทำความเข้าใจในรูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตที่มีระบบประเพณีความเชื่อดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากราษฎร และเกิดกลายเป็นกบฏในที่สุด 2*
                                                                                               
2* วนา วรรณศรี  . “บทความเรื่องผู้มีบุญ” , ๒๕๔๗ .
บังอร ปิยะพันธุ์ อธิบายว่า การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ประสบปัญหาบางประการ เช่นปัญหา ด้านการเงินที่จะมาใช้จ่ายเป็นค่าเงินเดือน การก่อสร้างสถานที่ทำการของราชการและบ้านพักข้า ราชการ รัฐบาลแก้ปัญหาโดยการปรับปรุงวิธีการเก็บภาษีอากรเพื่อให้ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหัว เมืองต่าง ๆ โดยมีพนักงานไปจัดเก็บภายใต้การควบคุมของข้าหลวงเทศาภิบาล นอกจากนั้นยังมี ปัญหาเรื่องบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการปกครองและการฝึกหัดคนมารับงานดังกล่าว และปัญหาที่ต้องระมัดระวังคือ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงอาจกระทบกระเทือนเจ้าเมืองเก่าที่ เคยมีผลประโยชน์ มีอำนาจ อาจไม่พอใจ โดยเฉพาะหัวเมืองชายแดนที่ติดกับเมืองขึ้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นจุดที่เปราะบางมาก ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้เจ้าเมืองต่อต้าน จนมหา อำนาจฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงได้ ปัญหาต่าง ๆ นี้ รัฐบาลพยายามแก้ไขจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และแม้บางครั้งอาจต้องใช้วิธีการ รุนแรงบ้างก็ตาม ซึ่งจะได้กล่าวในตอนท้าย
ผลการเปลี่ยนแปลงเป็นมณฑลเทศาภิบาลทำให้ยกเลิกเมือง ประเทศราช ทุกเมืองมีศักดิ์เท่าเทียมกัน เลิกระบบกินเมือง เกิดรัฐประชาชาติเป็นครั้งแรก ยกเลิกการ แบ่งฐานะหัวเมืองออกเป็น ชั้นเอก โท ตรี จัตวา ขจัดความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้หมดไป ผลจากรัฐประชาชาติคือ ราชอาณาจักรไทยแบบโบราณที่รวมกัน อย่างหลวม ๆ ประกอบด้วยคนต่างเผ่าพันธุ์ ต่างวัฒนธรรมและภาษาก็ได้รวมกันเป็นรัฐชาติไทยได้ โดยเมืองต่าง ๆ ได้กลายเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย การบริหารก็มีลักษณะรวมศูนย์ โดยมีกระทรวง มหาดไทยที่รับผิดชอบการบริหารส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ เสนาบดีมหาดไทยขณะนั้น มีส่วนสำคัญยิ่ง และได้อาศัยส่วนเสริมที่สำคัญจากกระทรวงอื่น ๆ เช่น กระทรวงการคลังที่เก็บภาษีหารายได้เข้ารัฐ กระทรวงกลาโหมในแง่การจัดการกองกำลังทหาร ให้ทันสมัยและเป็นปึกแผ่น  แต่ก็เกิดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงคือ การเกิดกบฏในพื้นที่ต่างๆในทั่วอาณาจักร โดยการก่อกบฏมุ่งหวังที่จะต่อต้านอำนาจรัฐและเป็นการแสดงออกซึ่งความขัดสนในการดำรงชีวิต


                                                                                                                                               
3* บังอร ปิยะพันธุ์ . ประวัติศาสตร์ไทย การปกครอง สังคม เศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับต่างประเทศก่อนสมัย สุโขทัยจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ .
        นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร , ๒๕๓๕ .
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อธิบายว่าการเกิดกบฏผีบุญนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยภายใน คือการเกิดภาวะแห้งแล้ง ผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ผล และปัจจัยภายนอกคือการที่รัฐส่วนกลางเข้ามาเห็บส่วยในอีสานมากขึ้นจาก ๓ บาท ๕๐ สตางค์ เป็น ๔ บาท ซึ่งเป็นการกดขี่ชาวอีสานซึ่งช่างนั้นประสบปัญหาความแห้งแล้งอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเกิดการความเชื่อของชาวอีสานในเรื่องพระเจ้าห้าพระองค์ และเรื่องโลกหน้าซึ่งเป็นโลกของพระศรีอาริยเมตไตยหรือพระศรีอาริย์  การเกิดกบฏในอีสานนี้ถือได้ว่าเกิดจากความเชื่อของชาวอีสานผนวกกับภาวะที่ขัดสนจากวิถีชีวิตความความเป็นอยู่  4*
กบฏผู้มีบุญหรือขบถผีบุญ หรือกบฏผีบ้าผีบุญตามที่รัฐนิยามให้ ที่เกิดขึ้นในระหว่างพ.ศ.๒๔๔๓ – ๒๔๔๖  หรือในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งถือว่าเป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย และไม่ค่อยมีใครจะกล่าวถึงกันมากนักในปัจจุบัน เพราะด้วยความพยายามของผู้ปกครองที่จะสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ของสยามประเทศหรือที่รู้จักกันในนามของ การปฏิรูปจักรีโดยใช้มาตรฐานทางการเมืองการปกครองแบบแผนเดียวกันตลอดอาณาเขต ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในสังคมภาคต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครอง ยกเว้นภาคกลาง ซึ่งเป็นศูนย์รวมอำนาจ เพราะการปฏิรูปดังกล่าวก่อให้เกิดความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเศรษฐกิจในภาคกลาง ที่เห็นได้ชัดก็คือการที่ชาวนาภาคกลาง ได้พ้นจากสภาพการเป็นไพร่ทาสของขุนนางศักดินาต่างๆ แล้วหันมาผลิตข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเขตเพาะปลูกใหม่ที่ได้บุกเบิกขึ้นสำหรับปลูกข้าวเพื่อส่งออกโดยเฉพาะ เช่น เขตรังสิตและมีนบุรี ผลที่ตามมาก็คือชาวนาในภาคกลางได้เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองจากสังคมจารีตสมัยเก่าเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ และเปลี่ยนจากการผลิตแบบยังชีพเข้าสู่การผลิตเพื่อขายในระบบทุนนิยม
ส่วนการปฏิรูปจักรีนั้นยังส่งผลต่อการปฎิรูประบบภาษีเพื่อสร้างรายได้แก่รัฐ โดยการจัดเก็บในรูปแบบของภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้วรวบรวมเข้าสู่ส่วนกลางคือกระทรวงพระคลังโดยผ่านกลไกของระบอบเทศาภิบาล แทนการเก็บเงินค่าราชการแบบเดิมซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของระบอบกษัตริย์นั้นจะใช้การเกณฑ์แรงงานและการส่งส่วยแบบในอดีต การเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากเมื่อมีการปลดปล่อยทาสไพร่เพื่อไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ และประกอบกับรัฐบาลเองก็ต้องการเงินมากกว่าแรงงาน การเก็บเงินค่าราชการก็ได้เริ่มขึ้น
                                                                                                               
4* นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ . ความสัมพันธ์รัฐกับท้องถิ่นและโครงสร้างรัฐส่วนตรงกลาง: ศึกษาราชการส่วนภูมิภาคของประเทศไทยและรัฐเดี่ยวบางประเทศ . วารสารธรรมศาสตร์ , ๒๕๔๘ .
โดยเริ่มต้นจากการเร่งรัดเงินส่วยจากมูลนายที่มีหน้าที่ในการรวบรวมเงินส่วยหรือเงินค่าราชการ เมื่อไม่มีเงินจ่าย มูลนายต้องคืนไพร่สมให้หลวงหมด (ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านาย และขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการ ไพร่สมจะตกเป็นของมูลนาย ตราบเท่าที่ขุนนางผู้เป็นมูลนายยังมีชีวิตอยู่ในตำแหน่งราชการ
เมื่อมูลนายถึงแก่กรรมไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตรของขุนนางผู้นั้นจะยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมต่อไปจากบิดา)นโยบายนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้พลเมืองระดับชาวบ้านเป็นอย่างมาก เพราะพวกมูลนายไปเร่งรัดเอาเงินซึ่งเก็บมากบ้าง น้อยบ้าง ไม่เสมอกัน ในปี ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) รัฐบาลจึงออกกฎให้ทุกคนเสียค่าราชการคนละ ๖ บาท เป็นมาตรฐานแต่นั้นมา
ข้อที่น่าสังเกตก็คือ มาตรฐานดังกล่าวข้างต้นถูกกำหนดขึ้นมาจากมาตรฐานเศรษฐกิจของภาคกลาง ซึ่งได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเงินตราแล้วอย่างชัดเจน และได้เริ่มมีการเรียกเก็บภาษีจากประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีคำสั่งให้ข้าหลวงต่างพระองค์เข้าจัดระบบภาษีทั้งหมด ตัวอย่างเช่นในปีร.ศ.๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอิสาน (ข้าหลวงใหญ่เมืองอุบลราชธานีระหว่างร.ศ.๑๑๒-๑๓๐ / พ.ศ.๒๔๓๕-พ.ศ.๒๔๕๓) ประกาศให้เก็บค่ารัชชูปการชายฉกรรจ์ผู้มีอายุระหว่าง ๑๘ – ๖๐ ปี คนละ ๓. ๕๐ บาท ยกเว้นคนพิการ ข้าราชการ เจ้านายระดับท้องถิ่นและครอบครัว ชาวต่างชาติ นักบวชและพระ ช่างผีมือและเศรษฐี
ในปีร.ศ.๑๒๐- ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๔- พ.ศ.๒๔๔๕) เงินค่ารัชชูปการเพิ่มขึ้นเป็น ๔ บาทต่อคน นอกจากนี้ภาษีผลผลิตก็ยังเพิ่มขึ้นด้วย การปรับปรุงภาษีและระบบภาษีนี้เพิ่มภาระให้กับชาวนาชาวไร่อย่างมาก และนอกจากนี้ข้าหลวงสยามยังมีคำสั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นอีก อันมีผลโดยตรงต่อชาวนา ตัวอย่างเช่น ในปีพ.ศ. ๒๔๔๒ กรมหลวงสรรพสิทธิฯ กำหนดว่าการค้าขายสัตว์ใหญ่ ต้องกระทำต่อหน้าข้าราชการ โดยผิวเผินข้อกำหนดนี้ดูเหมือนเพื่อลดการลักขโมย แท้จริงแล้วเป็นการเปิดโอกาสให้ข้าราชประจำถิ่นมีส่วนในการกำหนดราคาซื้อขายควาย ปศุสัตว์ ม้าและช้าง ฯลฯ กรมหลวงสรรพสิทธิฯ ยังพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมพื้นเมืองต่างๆ เช่น การสักยันต์ตามร่างกาย ซึ่งคนไทยมองว่าเป็นสิ่งป่าเถื่อน แต่คนพื้นเมืองมองว่าเพื่อป้องโรคภัย ไข้เจ็บ และผีสางต่างๆ
แม้กระนั้นก็ตาม ในช่วงที่รัฐสยามกำลังเปลี่ยนแปลงโดยรวม แต่สังคมอิสานนั้นก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-การเมือง ที่เกิดขึ้นของรัฐสยามมากนัก ซึ่งก็ยังคงเป็นลักษณะสังคมแบบจารีตประเพณี
และยังเป็นสังคมแบบเลี้ยงตนเอง พึ่งตนเอง และสิ่งที่หมู่บ้านในสังคมอิสานได้รับผลกระทบในระยะแรก คือการเกิดขึ้นของโรงสี พ่อค้าชาวจีน การขยายตัวของระบบเงินตราและมีการเปลี่ยนแปลงทางเครื่องมือการผลิตบ้างเพียงเล็กน้อย กระทั่งในปีชวดร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓) ปรากฏว่ามีลายแทงหนังสือจานใบลานเป็นคำพยากรณ์ว่าเมื่อถึงกลางเดือนหกปีฉลู ร.ศ.๑๒๐ (พ.ศ.๒๔๔๔) จะเกิดเหตุเภทภัยใหญ่หลวง หินแฮ่ (หินลูกรัง) จะกลายเป็นทอง จึงได้มีชาวบ้านไปเอาหินแฮ่มาบูชา โดยใส่หม้อ ใส่ไหปิดฝาไว้ แล้วเอามาตั้งทำพิธีสู่ขวัญบายศรี คำพยากรณ์นั้นยังมีรายละเอียดอีกว่าถ้าใครอยากพ้นเหตุเภทภัยก็ให้บอกหรือคัดลายแทงให้รู้กันต่อๆ ไป หรือถ้าใครเป็นคนบริสุทธิ์ไม่ได้กระทำซึ่งบาปกรรมใดๆ แล้ว (หรือใครก็ตามที่อยากรวย) ให้เอาหินแฮ่เก็บมารวมกันไว้ รอท้าวธรรมิกราชจะมาชุบเป็นเงินเป็นทอง ถ้าใครกระทำชั่วต่างๆ แต่เพื่อให้ตนเป็นคนบริสุทธิ์ก็ต้องทำพิธีตัดกรรมวางเวร โดยนิมนต์พระสงฆ์มารดน้ำมนต์ให้ ถ้ากลัวตายก็ให้ฆ่าควายทุยเผือกและหมูเสียก่อนกลางเดือนหก เพราะมันจะกลายเป็นยักษ์ขึ้นมาจับกินคน ส่วนผู้หญิงที่เป็นสาวหรือไม่สาวแต่ยังโสดก็ให้รีบมีสามี มิฉะนั้นยักษ์จะจับกินหมด และรากไม้ที่อยู่ตามฝั่งน้ำ ซึ่งเป็นฝอยเล็กละเอียด รวมถึงฟักเขียว ดอกจาน (ทองกวาง) ของสามอย่างนี้จะกลายเป็นของมีประโยชน์ คือรากไม้จะกลายเป็นไหม ฟักเขียวจะกลายเป็นช้าง ดอกจานจะกลายเป็นครั่งสำหรับใช้ย้อมไหม และในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๔ นั้น จะเกิดลมพายุจัดจนพัดคนปลิวไปกับสายลม และจะมืดถึง ๗ วัน๗ คืน ให้นำลิ้นฟ้า (ไม้เพกา) มาไว้สำหรับจุดไฟอาศัยแสงสว่างในเวลามืด และให้ปลูกตะไคร้ที่กระได (บันไดบ้าน) เวลาพายุมาให้เหนี่ยวตะไคร้ไว้ จะได้ไม่ปลิวไปตามลม เงินต่างๆ ที่มีก็จะกลายเป็นเหล็ก พวกราษฎร์เวลานั้นก็ได้พากันหวาดหวั่นเล่าลือกันแพร่หลายไปทั่วหัวเมืองมลฑลอิสาน ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่ ที่ปกครองหัวเมืองต่างๆ นั้น เห็นว่าเป็นคำของคนโง่เขลาเล่าลือกันไปสักพักหนึ่งก็คงจะเงียบหายไปเอง จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก
พอตกถึงปลายปี ร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓) ก็ปรากฏว่าที่เมืองเสลภูมิ ได้มีราษฎร์หัวเมืองต่างๆ ไปเก็บหินแฮ่ทางตะวันตกเมืองเสลภูมิ ซึ่งชาวบ้านได้เรียกที่ตรงนี้ต่อๆ กันมาว่า หัวโล่เมืองเสล(ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด) ส่วนข่าวลายแทงว่าท้าวธรรมิกราชหรือผู้มีบุญจะลงมาโปรดโลกทางด้านอื่นๆนั้น หาได้ยุติลงแม้แต่น้อย ยิ่งแพร่หลายไปทั่วมณฑลอุดร เมืองหล่ม เมืองเลย และทางมณฑลนครราชสีมา ตลอดจนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในบำรุงฝรั่งเศส ชาวบ้านเชื่อถือคำทำนายนี้มากเพราะว่าหากเป็นจริงก็หมายถึงชาวบ้านจะมีความสมบูรณ์พูนสุข อยู่ดีกินดีทั้งทางวัตถุและจิตใจโดยทันทีด้วยอิทธิฤทธิ์ ของผู้มีบุญ
ขณะเดียวกันก็เกิดมีผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้มีบุญขึ้นตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วทั้งภาคอิสาน คือที่กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย อุดรธานี และอุบลราชธานี ชาวบ้านจำนวนมากเชื่อถือผู้มีบุญ และผู้มีบุญเหล่านี้มักมีพฤติกรรมคล้ายๆ กันคือ อ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษ จุติมาจากสวรรค์เพื่อมาบอกธรรมแก่ชาวบ้านให้ถือศีล กินถั่วกินงา ตัวผู้มีบุญมักแต่งตัวประหลาดๆ เช่น นุ่งขาวห่มขาว ถือเทียนและดอกไม้ทำน้ำมนต์
และทำพิธีตัดกรรมวางเวร หลายคนอ้างตัวว่าเป็นพระยาธรรมิกราช หรือพระศรีอาริยเมตไตรย ลงมาโปรดโลกมนุษย์ ทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นสมบูรณ์พูนสุขพร้อมกันทั้งสังคม ไม่ใช่การรอดพ้นทุกข์แบบตัวใครตัวมัน และบ้านเมืองก็จะไม่มีเจ้ามีนาย ใบไม้จะกลายเป็นเงินเป็นทอง แผ่นดินเป็นตาผ้า แผ่นฟ้าเป็นใยแมงมุม
ในที่นี้ผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องราวรายละเอียดเฉพาะกลุ่มเจ้าผู้มีบุญที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือกลุ่มขององค์มั่นหรือมาน บ้านสะพือใหญ่ เมืองอุบลราชธานี (จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน)
ครั้นเมื่อถึงปลายปีร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓) มีนายมั่น ว่าเป็นคนมีภูมิลำเนาอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง คือเมืองสุวรรณเขต ซึ่งมีสายสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นลูกน้องขององค์แก้วหรือบักมี ซึ่งเป็นเจ้าผู้มีบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเขตลาวฝั่งซ้าย เล่าลือกันว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ชี้ไม้ชี้มือทำอะไรสิ่งไหนเป็นสิ่งนั้น และได้ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าปราสาททองหรือพญาธรรมิกราช อ้างตัวว่าจุติมาจากสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมวลมนุษย์ และมีองค์ต่างๆ เป็นลูกน้องหรือบริวารในระดับรองลงมาอีกหลายคน เช่นองค์เขียว องค์ลิ้นก่าน องค์ที องค์พระบาท องค์พระเมตไตรย และองค์เหลือง พวกองค์เหล่านี้แต่งตัวนุ่งผ้าจีบแบบบวชนาคสีต่างๆ กัน คือ สีแดง สีเขียวเข้ม และสีเหลืองอย่างจีวรของพระ แล้วก็มีปลอกใบลานเป็นคาถาสวมศีรษะทุกคน องค์มั่นได้พาพวกองค์บริวารเดินทางไปในท้องที่ต่างๆ และชักชวนชาวบ้านให้เข้าร่วมด้วย โดยเริ่มจากร่วมมือกับองค์ฟ้าลั่นหรือหลวงวิชา (บรรดาศักดิ์ประทวน) แพทย์ประจำตำบลซึ่งเป็นหมอพื้นเมืองของเมืองตระการพืชผล (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี) โดยองค์มั่นตั้งให้เป็นหัวหน้ายามรักษาการณ์และคอยเสกคาถาอาคมให้กับชาวบ้าน จากนั้นได้ไปซ่องสุมเกลี้ยกล่อมผู้คนเมืองโขงเจียมและบ้านนาโพธิ์ ตำบลหนามแท่น แล้วก็ป่าวร้องกับราษฎร์ว่า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นดังคำพยากรณ์ให้พากันระวังตัว ฝ่ายราษฎร์หวาดหวั่นกันอยู่แล้ว ครั้นเห็นคนจำศีลแปลกหน้ามาก็สำคัญว่าเป็นผู้มีบุญและพากันเข้าไปขอให้ช่วยป้องกันภัยพิบัติ มีชาวบ้านเข้าร่วมด้วยประมาณ ๒๐๐คนเศษ จากนั้นก็เข้าไปเกลี้ยกล่อมผู้คนที่เมืองเขมราฐ เวลานั้นได้มี พระเขมรัฐเดชประชารักษ์ ผู้รักษาเมืองเขมราฐ และท้าวกุลบุตรผู้ช่วยกับท้าวโพธิสาร กรมการเมือง ต่อต้านขับไล่ไม่ให้ราษฎร์นับถือเข้าเป็นพรรคพวกด้วย เลยเกิดการปะทะกันขึ้น
 ทำให้ท้าวกุลบุตรกับท้าวโพธิสารเสียชีวิต ส่วนพระเขมรัฐเดชประชารักษ์ ฝ่ายพวกผู้มีบุญมิได้ทำร้าย เพียงแต่จับขึ้นแคร่หามเป็นตัวประกัน แห่ไปให้เกลี้ยกล่อมราษฎรให้มาเข้าเป็นพวก และได้ไปตั้งมั่นที่บ้านสะพือใหญ่ มีชาวบ้านนับถือและเข้าร่วมประมาณ ๑,๐๐๐ คน องค์มั่นผู้มีบุญก็สั่งให้ช่วยกันเกณฑ์ปืนแก๊ป ปืนคาบศิลา มีดพร้า ตลอดจนเสบียงอาหาร ข้าว เกลือ พริกต่างๆ เท่ามี และให้ตากข้าวเหนียวสุกยัดใส่ถุงผูกรอบเอว เตรียมจะไปตีเอาเมืองอุบลราชธานี ฝ่ายทางเมืองอุบลราชธานี ขณะที่องค์มั่นผู้มีบุญตั้งพิธีการอยู่บ้านสะพือใหญ่นั้น
 ข้าหลวงต่างพระองค์ฯ เมื่อทราบข่าวก็ได้สั่งให้นายร้อยเอกหม่อมราชวงศ์ร่าย (เป็นทหารกองหนุนเข้าถวายตัวรับราชการฝ่ายพลเมืองอยู่กับข้าหลวงต่างพระองค์ฯที่เมืองอุบล) ไปสืบลาดเลาดู พอไปถึงบ้านนาสมัย ที่อยู่ระหว่างบ้านนาหลักกับบ้านห้วย ทางแยกไปอำเภอพนานิคม ก็พบกับพวกผู้มีบุญซึ่งได้ออกมาสืบลู่ทางเพื่อจะไปเมืองอุบลฯ เลยเกิดการปะทะกันขึ้น ฝ่ายหม่อมราชวงศ์ร่ายมีกำลังน้อยกว่าก็เลยรีบถอยกลับไปเมืองอุบลฯ กราบทูลข้าหลวงต่างพระองค์ฯ ตามที่ได้ไปสืบรู้และเห็นมา พวกผู้มีบุญก็ได้ชื่อว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินนับจากนั้น ข้าหลวงต่างพระองค์ฯ เมื่อทราบข่าว จึงมีคำสั่งให้นายพันตรีหลวงสรกิจพิศาล ผู้บังคับการกองพันทหารราบเมืองอุบลฯ จัดทหารออกไปสืบข้อเท็จจริงอีกครั้ง ถ้ามีผู้ใดคิดการร้ายต่อแผ่นดินก็ให้ปราบและจับตัวมาสอบสวนลงโทษให้ได้ นายพันตรีหลวงสรกิจพิศาลจึงมีคำสั่งให้นายร้อยตรีหรี่กับพลทหาร ๑๒ คนพร้อมอาวุธปืนยาวครบมือ ออกไปสืบดูเหตุการณ์ เมื่อไปถึงบ้านขุหลุ ก็พบพวกกบฏผู้มีบุญ และเห็นว่ามีกำลังสู้กบฏผู้มีบุญไม่ได้ จึงจะไปหากำลังเพิ่มเติมจากบ้านเกษม แต่ก็ได้เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนกันขึ้นที่บริเวณ หนองขุหลุและได้เหลือเพียงพลทหารชื่อป้อมรอดกลับมาเพียงคนเดียว และได้นำความเข้ากราบทูลข้าหลวงต่างพระองค์ฯ โดยทันที
ฝ่ายกบฏผู้มีบุญเมื่อชนะทหารคราวนี้ ก็ได้มีชาวบ้านมาสมัครเข้าเป็นพรรคพวกด้วยราว 1,500 คน และมีความตอนหนึ่งบรรยายถึงชัยชนะดังกล่าวเป็นบทเซิ้งภาษาอิสานว่า
ทิงสองบั้งสังมาบ่ทันขาด สังมาตะลาดล้มเต็งน้องเนตรนอง หัวหนองบ่ทันเศร้าสังมาเทียวทางใหม่ เป็ดไก่เลี้ยงสู่มื่อบ่คุ้นแก่นคน สังบ่สนเคาไว้ไถนาคือสิค่อง ข้าวกากไกลข้าวก้อง สองซู้สิห่างกัน ขางเฮือนไกลขางเล้า(ยุ้งฉางข้าว) หนีไปเซาไกลท่า ไก่ป่าไกลไก่บ้านขันท้าอยู่ละเนอ ข้าหลวงต่างพระองค์ฯ เมื่อทราบความก็ได้ตรัสว่า ไอ้การใช้เด็กหนุ่ม มันกล้าเกินไป หุนหันพลันแล่น ขาดความพินิจพิเคราะห์ เสียงานดังนี้จึงทรงสั่งให้หลวงสรกิจพิศาลมีคำสั่งไปถึงนายร้อยเอกชิตสรการผู้บังคับการกองทหารปืนใหญ่ให้นำนายสิบพลทหารประมาณ ๑๐๐ คนเศษ มีปืนใหญ่ ๒ กระบอก และปืนยาวเล็กครบมือ
ออกไปปราบพวกกบฏผู้มีบุญให้จงได้ และได้ทรงสั่งให้พระอุบลการประชานิตย์ ข้าหลวงบริเวณเมืองอุบลฯ กับพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (ผู้รักษา-การเมืองอุบลฯ ) เกณฑ์กำลังชาวบ้านสมทบกับทหาร และสั่งให้เคลื่อนขบวนกำลังออกไปปราบเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๔ และพอวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๔ ก็ได้พักพลอยู่ห่างจากหมู่บ้านและค่ายของกบฏผู้มีบุญราว๕๐ เส้น (๑ กิโลเมตร)
นายร้อยเอกหลวงชิตสรการ (ผู้บังคับบัญชาไพร่พล) ได้สั่งให้แบ่งทหารออกเป็นปีกซ้าย ปีกขวา และให้เข้าโอบล้อมพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงปืนใหญ่เป็นนัดแรก นายร้อยหลวงเอกชิตสรการเลือกได้ชัยภูมิที่ดี เป็นสายทางย่านตรงที่จะไปยังเมืองอุบลฯ และเป็นทางแคบ สองข้างทางเป็นป่าทึบเหมาะสำหรับตั้งดักซุ้มทหารไว้ในป่า ตรงหัวโค้งเลี้ยว และตั้งปืนใหญ่ไว้ใต้พุ่มไม้ เมื่อพวกกบฏผู้มีบุญมาถึงตรงช่องนั้นก็ให้ยิงปืนใหญ่เข้าใส่
ครั้นรุ่งขึ้นของวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๔ พวกกบฏผู้มีบุญก็ได้ยกกำลังจะไปตีเมืองอุบลฯ และผ่านตามทางที่ร้อยเอกหลวงชิตสรการซุ่มปืนใหญ่ และดักกองทหารพรางไว้ จากนั้นก็ได้สั่งให้ทหารปืนเล็กยาวออกขยายแถว ยิงต้านไว้แล้วทำเป็นถอยล่อให้พวกกบฏผู้มีบุญตามมายังชัยภูมิที่ตั้งไว้ พอเข้าระยะวิถีกระสุนปืนใหญ่ ก็สั่งให้ยิงออกไปนัดหนึ่ง โดยตั้งศูนย์ให้ข้ามพวกกบฏผู้มีบุญไปก่อนเพื่อเป็นสัญญาณให้ปีกซ้ายปีกขวารู้ตัว ฝ่ายกบฏผู้มีบุญเห็นกระสุนปืนใหญ่ไม่ถูกพวกตนก็โห่ร้อง ซ่า ซ่า และวิ่งกรูเข้าต่อสู้กับฝ่ายทหาร หลวงชิตสรการจึงสั่งให้ยิงออกไปอีกเป็นนัดที่ ๒ เล็งกระสุนปืนใหญ่กะให้ตกระหว่างกลางพวกกบฏผู้มีบุญ คราวนี้กระสุนปืนใหญ่ระเบิดลงถูกฝ่ายกบฏผู้มีบุญล้มตายหัวเด็ดตีนขาดระเนระนาด ส่วนพวกทหารปืนเล็กสั้นยาว ปีกซ้ายปีกขาว ก็ระดมยิงโห่ร้องซ้ำเติมเข้าไปอีก ฝ่ายกบฏผู้มีบุญที่อยู่ข้างหลังเห็นดังนั้นก็ชะงัก และปืนใหญ่ก็ยิงซ้ำเข้าไปอีกนัดที่ ๓ ถูกพวกกบฏผู้มีบุญล้มตายประมาณ ๓๐๐ คนเศษ ที่เหลือก็แตกฮือหลบหนีเอาตัวรอด ส่วนองค์มั่นนั้นรอดชีวิตและปลอมตัวเป็นชาวบ้านหลบหนีไป ทหารและกำลังชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มา ก็ได้ออกตามล่าจับกุมแต่ไม่ทัน และไม่ทราบว่าหนีไปทางใด ทราบข่าวตอนหลังว่าได้หลบหนีข้ามฟากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแล้ว ส่วนพระเขมรัฐเดชประชารักษ์ ผู้รักษาการเมืองเขมราฐซึ่งถูกฝ่ายกบฏผู้มีบุญจับกุมตัวไว้คราวนั้น ไม่ได้รับอันตรายจากกระสุนปืนใหญ่ หลวงชิตสรการ จึงได้นำตัวมาเข้าเฝ้าข้าหลวงต่างพระองค์ฯ รวมทั้งคุมพวกกบฏผู้มีบุญที่รองๆ จากองค์มั่นและพรรคพวกชาวบ้านที่เข้าร่วมด้วยจำนวนทั้งสิ้น ๔๐๐ คนเศษ คุมใส่ขื่อคาจองจำไปยังเมืองอุบลฯ เพื่อฟังรับสั่งจากข้าหลวงต่างพระองค์ต่อไป ส่วนข้าหลวงต่างพระองค์ก็มีตราสั่งไปทุกหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงว่าให้ผู้ว่าราชการเมือง กรมการ เจ้าหน้าที่สืบจับพวกกบฏผีบุญที่กระเซ็นกระสายและหลบหนีคราวต่อสู้กับทหาร อย่าให้มีการหลบหนีไปได้เป็นอันขาด หรือผู้ใดที่สมรู้ร่วมคิดและปกปิดพวกเหล่าร้ายและเอาใจช่วยให้หลบหนีไปได้
 จะเอาโทษแก่ผู้ปิดบัง และเจ้าหน้าที่หัวเมืองนั้นๆ อย่างหนักผู้ที่ตั้งตัวเป็นผู้มีบุญองค์สำคัญๆ ที่ถูกจับกุมมาได้คราวนั้นมีอยู่หลายองค์ เช่น
๑.      องค์เหล็ก (นายเข้ม) ถูกจับกุมได้ที่บ้านหนองซำ ท้องที่เมืองเสลภูมิ (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด)
๒.    พระครูอิน ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่ วัดบ้านหนองอีตุ้ม ตำบลสำราญ อำเภอยโสธร (ปัจจุบันเป็นจังหวัดยโสธร)
๓.     ท้าวไชยสุรินทร์ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโพนเมือง ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่ อ.ตระการพืช (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่ง ในจังหวัดอุบลราชธานี)
๔.     องค์บุญ ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่เมืองพิบูลมังสาหาร (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี)
๕.     องค์ลิ้นก่าน ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่บ้านพับแล้ง อ.วารินชำราบ (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี)
๖.      องค์พรหมา ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่บ้านแวงหนองแก้ว ท้องที่ อ.เขื่องใน (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี)
๗.     องค์เขียว ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่ในเมืองอุบลฯ (ปัจจุบันเป็นจังหวัดอุบลราชธานี)
๘.     กำนันสุ่น บ้านส่างมิ่ง ถูกจับกุมได้ที่ ท้องที่ อ.เกษมสีมา (เมื่อปี พ.ศ.2452 ได้มีพระบรมราชโองการรวมเขตการปกครอง อ.เกษมสีมา เข้ากับอำเภออุตรูปลนิคม แล้วให้ชื่อว่า "อำเภออุตรอุบล" ต่อมาปี พ.ศ.2456 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "อ.เกษมสีมา " และในปี พ.ศ.2460 ได้ย้ายมาตั้งที่ว่าการอำเภอ ที่บ้านม่วงสามสิบ และได้เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น อำเภอม่วงสามสิบปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ) กำนันสุ่นนั้น ทางราชการได้สั่งให้เป็นหัวหน้านำกำลังพลไปช่วยปราบกบฏผีบุญ พอไปถึงกลางทุ่งได้พาชาวบ้านโกนคิ้วโกนหัว ไปเข้าเป็นฝ่ายองค์มั่นผู้มีบุญ
๙.      หลวงประชุม (บรรดาศักดิ์ประทวน) ซึ่งทำการเกลี้ยกล่อมผู้คนให้เกลียดชังรัฐบาลสยาม (ไม่ปรากฏข้อมูลว่าถูกจับกุมได้ที่ไหน)
ฝ่ายกบฏผู้มีบุญนั้น ส่วนมากจะถูกจับกุมมาจากบ้านสะพือใหญ่จนล้นคุกตะราง ไม่มีที่คุมขัง ได้ถูกเจ้าหน้าที่จองจำขื่อคาไว้ ณ ทุ่งศรีเมือง ๒-๓ วัน ตากแดดกรำฝน เพื่อรอคณะตุลาการสอบสวนตัดสิน บ้างถูกตัดสินให้ปล่อยตัวและภาคทัณฑ์ไปมากเพราะเป็นปลายเหตุ ส่วนหัวหน้าคนสำคัญๆ ดังกล่าวมา ถูกคณะตุลาการพิจารณาเป็นสัตย์ฐานกบฏก่อการจลาจลภายใน จึงพร้อมกันพิพากษาเป็นเอกฉันท์ตัดสินให้ประหารชีวิต
 และข้าหลวงต่างพระองค์ฯได้มีรับสั่งให้นำตัวนักโทษไปประหารชีวิตแล้วเสียบประจานไว้ ณ ที่เกิดเหตุทุกแห่งที่จับมาได้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อแผ่นดินสืบไป ส่วนพระครูอินกับพระสงฆ์อีก ๓ รูปที่เป็นพวกฝ่ายกบฏผีบุญ ให้อยู่ในสมณเพศ ในเขตจำกัดตลอดชีวิต
หากสึกออกมาเมื่อใดให้จำคุกตลอดชีวิต ก่อนการประหารชีวิตกบฏผีบุญครั้งนั้น เมอสิเออร์ลอร์เรน (ชาวฝรั่งเศสซึ่งทางการไทยจ้างมาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ณ เมืองอุบลฯ) ได้ทูลถามข้าหลวงต่างพระองค์ฯว่า พระองค์มีอำนาจอย่างไร ในการรับสั่งให้ประหารชีวิตคนก่อนได้รับพระบรมราชานุญาตข้าหลวงต่างพระองค์ฯ รับสั่งตอบว่า ให้นำความกราบบังคมทูลดูเมอร์สิเออร์ลอร์เรนเลยเงียบไป
เมื่อปราบกบฏผู้มีบุญเสร็จแล้ว ข้าหลวงต่างพระองค์ฯ ได้ส่งมอบมงกุฎขององค์กบฏผู้มีบุญหัวหน้าใหญ่ (องค์มั่น) เข้าไปยังเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหมวกหนีบสักหลาดและปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ แล้วทรงประทานรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่มีความดีความชอบในคราวปราบกบฏผีบุญ ลดหลั่นกันมาก-น้อย เป็นเงินอย่างสูง ๑๐๐ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๒๕ สตางค์ สมัยนั้นนับว่ามากมายนัก ถ้าเป็นข้าราชการทหารหรือพลเรือน และคณะกรมการเมือง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ได้รับพระราชทานเหรียญตราขั้น ๖ – ๗ (เหรียญมงกุฎสยามและช้างเผือก) ตามลำดับ เป็นบำเหน็จความดีความชอบ ส่วนพลทหารป้อมมีความชอบ ที่นำความมาแจ้งคราวออกไปสืบข่าวกับนายร้อยตรีหรี่และต่อสู้โดยไม่คิดชีวิตก็ได้รับพระราชทานสิ่งของและเสื้อผ้าตามความเหมาะสม และต่อมาก็ได้มีตราประกาศ ห้ามไม่ให้ราษฎร์นับถือผีสางใดๆ ทั้งสิ้นเป็นอันขาด เช่น เข้าทรงลงเจ้า สูนผี มีผีไท้ ผีฟ้า ผีมเหศักดิ์หลักเมืองฯลฯ ต่างๆ ด้วยอาการใดๆ ก็ดี ให้เจ้าหน้าที่หัวเมืองจับผู้ลงผีถือนั้นไปทำการไต่สวนพิจารณา ถ้าได้ความจริงให้ปรับเป็นเงินคนละ๑๒ บาท มีรางวัลให้แก่ผู้แจ้งจับส่วนเงินรางวัลหลวงออกให้ และถ้าไม่มีเงินเสียค่าไถ่โทษ ให้จำคุก ๑ เดือน หลังจากมีประกาศออกไปเช่นนี้ บรรดาพวกนับถือผีสางกลุ่มต่างๆ ก็สงบเงียบไป เงินรางวัลที่ทรงตั้งไว้หาได้จ่ายแก่ผู้แจ้งจับผู้ที่นับถือผีสางคนทรงถึง ๓ รายไม่ เพราะราษฎร์มีความเกรงกลัว และเข็ดหลาบจำ เมื่อคราวปราบกบฏผู้มีบุญ ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีกฎหมายเรื่องผีสางขึ้นเมื่อ ร.ศ.๑๒๔ ,พ.ศ.๒๔๔๘ (และได้มีการประกาศพระราชบัญญัติทาส รศ. ๑๒๔ ,พ.ศ. ๒๔๔๘) และปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงกระนั้นก็ตามแม้จะปราบกบฏผู้มีบุญลงได้ ก็ยังมีผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้มีบุญขึ้นอีกในหลายๆแห่ง และยังได้มีการนำเอาอุดมการณ์พระศรีอาริย์มาใช้ในการก่อกบฏของชาวบ้านอย่างแพร่หลาย
การก่อกบฏเพื่อปฏิเสธรูปแบบการปกครองของรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ และปฏิเสธอำนาจรัฐสยาม ในช่วงสมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์มีมากถึง ๑๓ ครั้ง ได้แก่ กบฏญาณพิเชียร กบฏธรรมเสถียร กบฏบุญกว้าง  กบฏเชียงแก้ว กบฏสาเกียดโง้ง  กบฏพญาผาบหรือพญาปราบ  ที่นครเชียงใหม่
ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการต่อต้านระบบการเก็บภาษีอากรผูกขาด โดยเฉพาะภาษีหมาก พลู มะพร้าว คือมีการเก็บภาษีพืชสวน ดังนี้ หมาก ๒ ต้นต่อวิ่น มะพร้าว ๑  ต้นต่อวิ่น (๑ วิ่น เท่ากับ ๑๒.๕ สตางค์) ซึ่งถือว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎร์เป็นอันมาก นอกจากนี้ยังเกิดกบฏศึกสามโบก (พ.ศ.กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผู้มีบุญอิสาน (ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) กบฏผู้มีบุญภาคใต้ ซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่ตำบลบ้าน อำเภอยะรัง เมืองหนองจิก ซึ่งอยู่ในเขตมณฑลปัตตานี และยังขยายไปถึงเมืองยะลาและสายบุรี มีสาเหตุมาจากสภาพปัญหาการปฏิรูปการปกครอง การเก็บภาษีอากร และความไม่มีประสิทธิภาพของข้าราชการประจำท้องถิ่น จนถึงเรื่องความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติและศาสนา กบฏเจ้าผู้มีบุญหนองหมากแก้ว กบฏหมอลำน้อยชาดา กบฏนายศิลา วงศ์สิน และเป็นกบฏที่เกิดขึ้นในเขตอีสาน ๕ ครั้ง ภาคกลาง ๔ ครั้ง และภาคใต้ ๑ ครั้ง
ฝ่ายกบฏเจ้าผู้มีบุญต่างเชื่อถือว่าอุดมการณ์พระศรีอาริย์เป็นอุดมการณ์ที่มีเป้าหมายสูงสุด คือเพื่อการปฏิวัติสังคมไปสู่สังคมที่ไม่มีชนชั้นของมนุษย์ และมีความอยู่ดีกินดีสมบูรณ์พูนสุขทั้งทางจิตใจและวัตถุ ทำให้อุดมการณ์นี้ถูกนำไปใช้ในขบวนการต่อสู้ของชาวบ้านซึ่งปรากฏเป็นจำนวนหลายครั้งในประวัติศาสตร์ แต่ที่ปรากฎชัดเจนที่สุดคือขบวนการผู้มีบุญภาคอิสานซึ่งมีหลายสาเหตุปัจจัย ที่เป็นตัวผลักดันให้ก่อเกิดเป็นรูปของการเคลื่อนไหว ลุกขึ้นสู้กับอำนาจรัฐ เพื่อเรียกหาความเป็นอิสระและความเป็นธรรมให้กับตนเองและสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ และเนื่องจากสังคมอิสานเองนั้น ก่อนที่จะมีขบวนการผู้มีบุญเกิดขึ้น ก็กำลังเผชิญในช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสภาพการเมืองและเศรษฐกิจจากภายนอก ซึ่งจะพบว่าเศรษฐกิจหลังสนธิสัญญาบาว์ริ่ง (พ.ศ.๒๓๙๘) มีผลกระทบต่อชาวนาภาคอื่นค่อนข้างน้อยกว่าภาคอีสาน เพราะภาคอีสานนอกจากจะเป็นพื้นที่ในการเพาะปลูกขนาดใหญ่ของประเทศแล้ว ในยุคนั้นยังมีของป่าต่างๆ นาๆ ไม่แพ้ภาคอื่นๆ แต่การขนส่งก็ถือว่าค่อนข้างยากลำบากพอสมควร เนื่องจากเพิ่งมีการขยายเส้นทางสร้างสถานีรถไฟ ที่ไปถึงเพียงแค่นครราชสีมาเท่านั้นเอง (ในหนังสือที่ต่อมา นำมาสร้างเป็นละครเรื่องนายฮ้อยทมิฬ ที่เขียนโดยคำพูน บุญทวี ได้บรรยายให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของสังคมภาคอิสานพอสมควร ที่ทั้งต้องเผชิญกับภาวะแวดล้อมที่แห้งแล้ง และการอยู่กินตามมีตามเกิด)
หากมองในแง่ของวิธีการทำงานขยายมวลชนของกบฏผู้มีบุญ จะเห็นว่าได้มีการนำเอาความเชื่อของชาวบ้าน ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เกี่ยวโยงร้อยกันกับธรรมชาติและยังหลอมรวมกับพระพุทธศาสนาแบบชาวบ้านที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาแบบทางการ พระหรือวัดนั้นถือว่ามีอิทธิพลอย่างสูงกับการดำรงชีวิตของชาวบ้าน เช่น หากไม่สบายก็จะมาให้พระที่วัดรดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ผูกด้ายสายสิญจน์ข้อมือ
ในเรื่องของอุดมการณ์ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมาย หลักคิด และวิธีคิดที่สำคัญอันจะนำไปสู่การปฎิบัตินั้น มีความเห็นคล้ายๆ กับ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา 4* ตรงจุดที่ว่าอุดมการณ์กบฏผู้มีบุญคืออุดมการณ์ของการปฎิเสธรัฐและต้องการเป็นอิสระจากอำนาจของรัฐ แต่ผู้เขียนมีความเห็นว่าอุดมการณ์ของกบฏผู้มีบุญนั้นต้องการระบบการปกครองแบบใหม่ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบใหม่ ที่ไม่ต้องการขึ้นตรงต่อรัฐเลย และหากมองในแง่สังคมศาสตร์ที่อำนาจการปกครองได้ถูกรัฐควบคุมไว้นั้น กบฏผู้มีบุญไม่สามารถที่จะเป็นอิสระจากรัฐได้อย่างแน่นอน (ตามกฎเกณฑ์การพัฒนาการของสังคมมนุษย์นั้น ตราบใดที่ไม่ทำลายรัฐลงไปให้หมดสิ้นเสียก่อน รัฐที่เข้มแข็งก็จะใช้กลไกมาทำลาย ครอบงำและปกครองอย่างนั้นสืบไป) หากทว่าไม่ร่วมกันถอดรื้อระบบแบบเก่าให้คลายตัวลงทั้งหมดเสียก่อน ส่วนทิศทางในการอยู่ร่วมกันของกบฏผู้มีบุญนั้นอาจจะไม่ใช่ระบบสังคมนิยมแบบชาวบ้านเสียทีเดียวด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นระบบหมู่บ้านแบบใหม่หรือระบบหมู่บ้านแบบปิด ที่มีการจัดระเบียบในเรื่องต่างๆ เช่น ในเรื่องของทรัพยากรชุมชน สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่เป็นปัจจัยหลักในการหล่อเลี้ยงคนในหมู่บ้านหรือในชุมชน ซึ่งอาจจะมีการจัดระเบียบหมู่บ้านที่ไม่เหมือนกรณีของขบถนายศิลา วงศ์สิน เพราะสภาพสังคมโดยรวมของหมู่บ้านนั้นย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอย่างแน่นอน หากหมู่บ้านไม่เข้มแข็งพอที่จะมีแรงต้านทานกระแสของสังคมที่พัฒนาในเชิงวัตถุ
ส่วนในด้านการจัดองค์กรนั้น รูปแบบโครงสร้างการจัดองค์กรของกบฏผู้มีบุญ เป็นไปแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องมีสัตยาบันหรือโองการแช่งน้ำใดๆ เพียงแต่ศรัทธาต่อความเชื่อในอุดมการณ์พระศรีอาริย์ ก็มาเข้าร่วมกับฝ่ายกบฏผู้มีบุญได้เลย โดยผู้ที่ชวนกันมาเข้าร่วมนั้นจะรู้จักมักคุ้นกันแบบพี่น้องหรือเครือญาติ และไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรมากมายนัก

                                                                                                                               
4* ฉัตรทิพย์ นาถสุภา , ประนุช ทรัพยสาร . อุดมการณ์ขบถผู้มีบุญอีสาน . (จากเอกสารประกอบการเรียนรานวิชาประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่น ของ อาจารย์พรรณิกา ฉายากุล)
ส่วนในด้านการนำหรือผู้นำ รวมทั้งการตัดสินใจนั้น ถือว่ามีการรวมศูนย์ไว้ที่ฝ่ายหัวหน้าของกบฏผู้มีบุญ และผู้ที่เข้าร่วมในขบวนการส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวบ้าน ชาวนา ชาวไร่ กำลังพลที่มีอยู่นั้นถือว่าไม่แน่นอนเพราะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของชาวบ้าน และนอกจากนี้ยังขาดองค์ความรู้ทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และไม่ได้ผ่านการฝึกฝนให้ใช้อาวุธ ส่วนอาวุธที่ใช้ก็เป็นแบบหาได้เท่าที่จะมีกัน ดังนั้นถ้ามองในแง่การต่อสู้ของกบฏผู้มีบุญ ถือว่าอยู่ในฐานะเสียเปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับกำลังของฝ่ายรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์

ส่วนในด้านสภาพทางสังคมหรือภูมิศาสตร์ ในระยะเวลาก่อนเกิดการเคลื่อนไหวของกบฏผู้มีบุญนั้น พบว่าเขตมณฑลอิสานประสบปัญหาฝนแล้งติดต่อกัน 2-3 ปี ชาวบ้านทำนาไม่พอกิน และบางหมู่บ้านยังได้อพยพไปอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ในเขตของนครเวียงจันทร์และนครจำปาศักดิ์ ซึ่งเมื่อก่อนถือนั้นว่าเป็นประเทศราชของสยามในยุครัชกาลที่ 3 และสงครามสยาม-ลาว ในปีพ.ศ.2370 ที่เรียกกันว่า ศึกเจ้าอนุวงศ์ ผู้ปกครองเวียงจันทร์และจำปาศักดิ์ ที่พยายามปลดปล่อยตัวเองออกจากอำนาจการปกครองของสยามประเทศ และต้องการเข้าครอบครองที่ราบสูงโคราชทั้งหมดคืน ได้ยุติลงด้วยการพ่ายแพ้ ของกษัตริย์ราชวงศ์ลาว และถือได้ว่าเป็นการสิ้นสุดอำนาจของอาณาจักรเวียงจันทร์ ส่วนทางสยามเองก็ได้กวาดต้อนเชลยลาว เอามาไว้เลี้ยงม้าเลี้ยงช้าง และให้ตั้งรกรากอยู่ในแถบฝั่งธนบุรีและเขตบางบอนในยุคนั้น อันเป็นที่มาส่วนหนึ่งของเพลงลาวแพนที่เชลยลาวได้เขียนบรรยายถึงสภาพชีวิตอันลำบากของตัวเอง และยังมีการนำมาร้องกันอยู่ในปัจจุบันนี้ และเมื่ออิทธิพลของจักรวรรดินิยมตะวันตกเริ่มคุกคามแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนที่เป็นเขมร ลาว ญวน จะพบว่ารัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ของไทยได้เข้าไปแทรกแซงการปกครองหัวเมืองลาวโดยตรงมากยิ่งขึ้น เริ่มจากปีพ.ศ.๒๔๓๔ และต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๓๗ หลังการเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสแล้ว รัฐสยามก็ได้เริ่มจัดการปกครองในระบอบเทศาภิบาล มีการตั้งมณฑลเทศาภิบาลต่างๆขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อรวมอาณาเขตทั้งหมดให้เข้ามาอยู่ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯได้อธิบายไว้ใน หนังสือเรื่องนิทานโบราณคดีพระนคร ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะค่อนข้างนอกเรื่องแต่ผู้เขียนอยากนำข้อมูลมาเสนอให้เห็นถึงการเชื่อมโยงของปัจจัยปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของกบฏผู้มีบุญ ซึ่งอาจเป็นเพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้น
ส่วนในบางพื้นที่ก็หาของป่าเลี้ยงชีพไปตามมีตามเกิด ในขณะเดียวกันก็ต้องรับภาระเสียภาษีให้กับรัฐด้วย นอกจากนี้ยังประสบปัญหาข้าวยากหมากแพงก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนมีคำกล่าวที่ติดปากของชาวบ้านอิสานว่า ข้าวบาท บ้องขวานซึ่งหมายความว่า ในยามที่ประสบปัญหาความอดอยากเนื่องจากการทำนาไม่ได้ผลนั้น ชาวบ้านต้องหาซื้อข้าวในราคาแพง คือใช้บ้องขวานตวงข้าวในอัตราส่วน ข้าว ๑ บ้องต่อราคา ๑ บาท ซึ่งได้ข้าวเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง ขณะเดียวกันหน่วยงานราชการในยุคนั้น ก็ยังไม่เปิดให้มีการเรียกร้องหรือร้องเรียนในเรื่องปัญหาต่างๆอย่างชัดเจน และในบางหมู่บ้านที่ปลูกพืชผักได้ก็จะหาบพริก หาบผัก หาบเกลือ เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าว บางครั้งก็มีลูกเต้าติดสอยห้อยตามไปหาบข้าวด้วยบ้างไปขอข้าวที่หมู่บ้านนั้น หมู่บ้านนี้ด้วยอย่างยากลำบาก
ส่วนรัฐสยามเองก็หาได้บำบัดทุกข์บำรุงสุขอย่างที่ควรเป็นไม่ตรงกันข้ามกลับมุ่งพัฒนาประเทศให้เทียบเคียงอารยะธรรมตะวันตก มาโดยตลอด ที่เห็นได้ชัดเจนก็นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ ที่ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาริ่ง (The Bowring Treaty)
กล่าวโดยสรุป กบฏผู้มีบุญภาคอีสานนั้นถือว่าเป็นขบวนการกบฏของชาวนา และถือเป็นขบวนการลุกขึ้นสู้ของผู้ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบอย่างชัดเจน เพราะเป้าหมายหลักของกบฎผู้มีบุญภาคอิสานคือ ต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเดิมที่มีอยู่อย่างไม่เป็นธรรมไปสู่สังคมที่ดีกว่า และที่นำเสนอมาข้างต้นนี้ถือว่าเป็น กรณีศึกษาในขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่อรัฐสยามในอดีตที่มีความเป็นมาอย่างน่าสนใจ และผู้เขียนหวังว่าบทความชิ้นนี้น่าจะเกิดการแลกเปลี่ยนที่แตกขยายออกไปสู่วงกว้างมากขึ้น และเป็นอีกด้านหนึ่งที่อยากให้รัฐไทยทบทวนการก่อสงครามกับประชาชนในนามของการพัฒนา ซึ่งหากเราไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสังคมที่เราอาศัยอยู่ แล้วเราจะกำหนดแนวทางไปสู่อนาคตที่ดีกว่าได้อย่างไรเล่า เพราะประวัติศาสตร์ของผู้ที่ชนะย่อมแตกต่างกับประวัติศาสตร์ของผู้ที่แพ้พ่ายมาโดยตลอดอย่างแน่นอน 5*





                                                                                                                               
5* ภูมิวัฒน์ นุกิจ . ขบวนการกฏบผู้มีบุญอีสาน : กับพัฒนาการของรัฐ , ๒๕๕๑ .


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น