จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แคนกับวิถีชีวิตของคนอีสาน

แคนกับคนอีสาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
                แคนเป็นเครื่องดนตรีที่ชนชาติไทย – ลาว ใช้บรรเลงสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ นักวิชาการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวถือว่าแคนเป็นเครื่องดนตรี(เครื่องเสพ)ประจำชาติ ส่วนนักวิชาการในประเทศไทยนั้นได้จัดแคนไว้ในกลุ่มดนตรีพื้นเมืองของชาวอีสาน เมื่อใครที่เอ่ยถึงแคนแล้วก็จะนึกถึงภาคอีสานทันที  ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าแคนนั้นนิยมเล่นกันมากในแถบลุ่มน้ำโขง
       แคนถือได้ว่า เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง ที่เป็นมรดกภาคอีสานที่เก่าแก่ที่สุด แคนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะ มีความซับซ้อนของเสียงมาก แคนเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าเป็นเพลง  ใครเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีนี้ขึ้นมานั้น    ไม่สามารถบอกได้หรือไม่มีหลักฐานที่แน่นอนยืนยันได้ แต่มีเพียงประวัติตำนานที่เล่าขานกันสืบเรื่อยต่อมา     ดังนี้ครั้งก่อนนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งได้เข้าไปในป่าเพื่อหาล่าสัตว์ตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน และพราหมณ์นั้นได้เดินเข้าไปในป่าลึก ก็ได้ยินเสียงแววๆ มา มีความไพเราะมาก     มีทั้งเสียงสูง เสียงต่ำ บ้างสลับกันไป แล้วพราณห์ก็ได้เข้าไปดูว่าเสียงนั้นมาจากที่ใด   ทันใดนั้น ก็มองเห็นเป็นเสียงร้องของนกชนิดหนึ่ง เรียกว่า นกการเวกจากนั้นก็ได้เดินทางกลับบ้าน   แล้วนำเรื่องที่ตนได้ยินมานั้นไปเล่าให้ชาวบ้านได้ฟัง และมีหญิงหม้ายคนหนึ่งพอได้ฟังแล้วเกิดความสนใจอย่างมาก         เลยขอติดตามนายพราณห์เข้าไปในป่าเพื่อไปดูนกการเวก ว่ามีความไพเราะจริงหรือไม่ ครั้งหญิงหม้ายได้ฟังเสียงนกการเวกร้องก็เกิดความไพเราะ เพลิดเพลินและติดอกติดใจ มีความคิดอย่างเดียวว่า จะทำอย่างไรดีถ้าต้องการฟังอีก ครั้งจะติดตามนกการเวกนี้ไปฟังคงจะยากแน่นอน จึงคิดที่จะทำเครื่องแทนเสียงร้องนกการเวก ให้มีเสียงเสนาะออนซอนจับใจ ดุจดังเสียงนกการเวกนี้ให้จงได้ เมื่อหญิงหม้ายกลับถึงบ้าน ก็ได้คิดทำเครื่องดนตรีต่างๆ เช่น ดีด สี ตี เป่า หลายๆ อย่าง ก็ยังไม่มีเสียงดนตรีชนิดใดมีเสียงไพเราะเหมือนกับเสียงนกการเวก ในที่สุดนางก็ได้ไปตัดไม้ชนิดหนึ่ง เอามาประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่ง รู้สึกว่าค่อนข้างไพเราะ จึงได้พยายามดัดแปลงแก้ไขอีกหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นเสียงไพเราะ เหมือนเสียงร้องของนกการเวก จนในที่สุดเมื่อได้แก้ไขครั้งสุดท้ายแล้วลองเป่ารู้สึกไพเราะ ออนซอนจับใจ ดุจดังเสียงนกการเวก นางจึงมีความรู้สึกดีใจในความสำเร็จของตนเป็นพ้นที่ได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีได้เป็นคนแรก จึงคิดที่จะไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล และนางยังได้ฝึกหัดเป่าลายต่างๆ

จนเกิดความชำนาญเป็นอย่างดี จึงนำเครื่องดนตรีไปเข้าเฝ้าฯ ถวาย แล้วนางก็ได้เป่าลายเพลงให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฟัง เมื่อฟังเพลงจบแล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมีความพึงพอใจอย่างมากที่มีเครื่องดนตรีประเภทนี้เกิดขี้นและทรงตั้งชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า แคนด้วยเหตุนี้เครื่องดนตรีที่หญิงหม้ายที่ได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้ไม้ไผ้น้อยเรียงติดต่อกันใช้ปากเป่า จึงได้ชื่อว่า แคนมาตราบเท่าทุกวันนี้และ แคน ยังมีหลายท่านที่ให้ความหมายของคำว่าแคน บ้างกล่าวว่าแคนเรียกตามเสียงของแคน โดยเวลาเป่าเสียงแคนจะดังออกมาว่า แคนแล่นแคน แล่นแคน แล่นแคน แต่บางท่านก็ให้ความหมายว่า แคน เรียกตามไม้ที่นำมาทำเต้าแคน คือ ไม้ที่ทำเต้าแคนนั้น นิยมใช้ไม้ตะเคียน หรือภาษาอีสานเรียกว่าไม้แคนจากการสันนิษฐานจากนิยายเรื่อง หญิงหม้าย
                อุทิศ นาคสวัสดิ์ ได้เสนอว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้ถือว่าแคนเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นทำนองที่เก่าแกชนิดหนึ่งในโลก และยังถือว่าเป็นต้นแบบของออร์แกนของทางยุโรป ซึ่งมีแคนนั้นปรากฏขึ้นเมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว มีการขุดพบซากแคนในชั้นหินอายุมากว่า ๒,๐๐๐ ปี ในมลฑลยูนานประเทศจีน เจริญชัย ชนไพโรจน์ยังได้เสนอเพิ่มเติมว่า นักค้นคว้าชาวฝรั่งเศสได้ขุดค้นทางโบราณคดี ที่เมืองดองซอนประเทศเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้มีการค้นพบขวานสำริดซึ่งมีการเขียนรูปคนเป่าแคนน้ำเต้าไว้บนหัวขวานนั้น อายุของขวานที่ได้ทำการขุดค้นพบนั้นอายุประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเครื่องเป่าประเภทแคนนั้นมีมานานแล้ว นอกจากนี้ในแถบเวียดนามตอนเหนือก็ยังมีร่องรอยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยสัมฤทธิ์แบบวัฒนธรรมดองซอนเหมือนกัน
สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เสนอต่อว่า นักโบราณคดียังเคยมีการขุดค้นพบกลองมโหระทึกที่ทำด้วยสัมฤทธิ์ซึ่งมีการเขียนรูปคนเป่าแคนไว้ด้วยส่วนการขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยได้มีการขุดพบกระดิ่งสัมฤทธิ์ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งกระดิ่งดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับกระดิ่งโค- กระบือในปัจจุบัน
จากการที่พบหลักฐานเกี่ยวกับแคนในแถบประเทศ ไทย ลาว จีน เวียดนาม จึงทำให้นักวิชาการเกิดความสงสัยว่าแคนเป็นของชนชาติใดกันแน่  แต่หลักฐานทางโบราณคดีมีการยืนยันว่าบริเวณที่ขุดค้นพบแคนนั้นเคยเป็นที่อยู่ของคนเชื้อชาติลาวมาก่อน ดังหลักฐานประเภทตำนานและพงศาวดารลาวซึ่งได้มีการกล่าวว่า ลาวเป็นกลุ่มชนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตลุ่มแม่น้ำดำ ทางตะวันออกและคลุมลงมาทางใต้ในเขตหัวพัน ลงมาถึงแคว้นตรัน-มินห์ของเวียดนาม แต่โบราณคดีในบริเวณที่กล่าวมานั้น มีหลายชนเผ่าที่รวมกันอยู่คือ พวกอาข่า ม่าน แม้ว ขมุ ลาเมต โลโล้ ไทดำ และเทง
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ได้พูดถึงการเริ่มก่อตัวของกลุ่มลาวว่า การสร้างเมืองของกลุ่มลาวนี้จะเริ่มมีการสร้างที่เขตแคว้นสิบสองจุไทย ซึ่งในปัจจุบันคือ เมืองเดียนเบียนฟู ในเขตประเทศเวียดนาม เมื่อเมืองเดียนเบียนฟูถูกน้ำท่วม ผู้คนจึงย้ายลงมาตั้งชุมชนใหม่ทางตอนใต้ ที่เมืองนาน้อยอ้อยหนู บริเวณเมืองนี้เป็นที่เกิดของคนหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ข่าแจะ ผู้ไท ลาวพุงขาว ฮ่อ และแกว เป็นต้น ในปัจจุบันกลุ่มชนเหล่านี้ได้กระจายอยู่ในประเทศต่างๆที่อยู่ในแถบลุ่มน้ำโขง
ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และบริเวณใกล้แอ่งสกลนครนั้น มีความสัมพันธ์กับลาวและเวียดนามเป็นแนวเส้นตรง จึงอาจกล่าวได้ว่าเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ปีที่แล้ว สุจิตต์ วงษ์เทศ เสนอว่า กลุ่มคนในภาคอีสานของไทย ลาว เวียดนาม และจีนบางส่วนมีวัฒนธรรมร่วมกัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อยืนยันในการมีวัฒนธรรมร่วมคือการถือจารีตประเพณีของคนในภาคอีสานและลาว คือ (ฮีตสิบสอง ครองสิบสี่) ซึ่งสามารถพบได้ในภาคอีสานของไทยและประเทศลาว
หลักฐานจากภาพเขียน
                จากการศึกษาและค้นคว้าของ ชัยสิทธิ์ สนสุนัน ได้กล่าวว่าหลักฐานการใช้แคนเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงในกลุ่มชนไทย-ลาว ได้มีการเขียนภาพสีไว้ตามผนังโบสถ์ วิหารเป็นสิ่งที่บ่งบอกอายุได้มากว่า
                ส่วนลวดลายคนเป่าแคนที่พบในขวานสัมฤทธิ์ ที่ได้ขุดค้นพบในประเทศเวียดนามนั้น มีลวดลายชัดเจนว่าแคนซึ่งประกอบด้วยไม้หลายๆลำคล้ายแคนของไทยและลาวในปัจจุบัน จากภาพบนขวานสัมฤทธิ์จึงเป็นหลักฐานที่สำคัญว่าชนกลุ่มไทย-ลาวมีการเข้าใจเรื่องอุโฆษวิทยาจนสามารถสร้างเครื่องดนตรีหลายเสียงได้มาไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีที่แล้ว
                ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏภาพคนเป่าแคนที่อยู่ในผนังโบสถ์วัดใหม่ในเมืองหลวงพระบางของลาว เป็นภาพคนเป่าแคนผสมเครื่องมโหรี ซึ่งภาพดังกล่าวน่าจะมีอายุประมาณ ๒๖๖-๒๙๐ ปี เพราะจากหลักฐานที่ ชัยสิทธิ์ ได้สอบถามคือวัดตั้งในช่วงปี พ.ศ.๒๒๓๙ – ๒๓๖๓
                นอกจากนี้ในประเทศไทยเองก็ยังพบการเขียนภาพการเป่าแคนไว้ตามผนังโบสถ์ ซึ่งมีการวาดไว้ที่ศาลาการเปรียญของวักชีว์ประเสริฐในเมืองเพชรบุรี จากภาพวาดที่วัดนี้ทำให้ทราบว่ามีการเป่าแคนในแถบภาคกลางก่อนสมัย รัชกาลที่ ๗ เนื่องจากการศึกษาของ ล้อม เพ็งแก้ว ทำให้ทราบว่าวัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๗ ส่วนการพบภาพการเป่าแคนที่เพรชบุรีนั้นสาเหตุเพราะคนลาวถูกวาดต้อนมาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี จากการศึกษาของอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม  คือ ในราว พ.ศ. ๒๓๒๒ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ยกทัพไปตีเมืองล้านช้างแล้วกวาดต้อนเอาลาวโซ่งดำมาอยู่ในพื้นที่เมืองเพชรบุรีดังกล่าว นอกจากนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ยังมีการกวาดต้อนคนลาวเข้ามาอีกจำนวนมาก เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ได้สั่งให้ เจ้าเมืองวียงจันทน์ ได้ไปตีเมืองแถนและเมืองพวน แล้วกวาดต้อนพวกลาวโซ่งดำมายังเมืองเพชรบุรีและพื้นที่อื่นๆอีก และในสมัยรัชกาลที่๓ได้สั่งให้พระยาธรรมาเป็นแม่ทัพยกขึ้นไปขับไล่ญวนออกจากลาว  แล้วได้กวาดต้อนลาวเวียง ลาวโซ่ง ลาวพวนมาในประเทศไทยเพิ่มอีก
สาเหตุที่มีการกวาดต้อนชาวลาวเข้ามาอยู่ในประเทศมากเพราะพลเมืองเป็นเรื่องสำคัญในสมัยนั้นเพื่อที่จะใช้แรงงานเพื่อการสร้างปราสาท ราชวัง และเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการทหาร เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เกณฑ์พวกลาวพวนและลาวโซ่งดำจากเมืองเพชรบุรีและเมืองราชบุรีไปเป็นทหาร เป็นต้น
ส่วนการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในภาคอีสานก็พบมากเช่นกัน เช่นในวัดหน้าพระธาตุ บ้านตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา และที่วัดสระบัวแก้ว บ้านวังคูณ อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น วัดบ้านโพธิ์คำ ตำบลนาก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นต้น ซึ่งภาพเขียนในวัดที่กล่าวมานั้นล้วนมีอายุที่มากพอสมควร
จากจดหมายเหตุและพงศาวดาร
การเป่าแคนเริ่มปรากฏอย่างเด่นชัดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึงเรียกการเล่นแคนว่าการเล่นลาวแคน ในสมัยนี้มีการเล่นลาวแคนในราชสำนักและนอกราชสำนักอย่างกว้างขวาง สาเหตุเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการเล่นลาวแคนและการแอ่วลาวมาก อาจารย์ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ สนับสนุนว่าพระองค์ชอบคนลาว และได้มีเจ้าจอมและพระสนมเป็นคนลาวอพยพมาอยู่ในโคราชและสระบุรีมากมาย จากการที่พระองค์ชอบการเล่นลาวอคนมากพระองค์จึงได้แต่งบทนิพนธ์ขึ้นชื่อ นิทานนายคำสอน
จากการชอบการเล่นลาวแคนของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าไม่พอพระทัย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดสำนึกทางประวัติศาสตร์ทำให้อาจเกิดกบฏได้ เมื่อพระปิ่นเกล้าทรงสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงประกาศห้ามเล่นลาวแคนในและนอกราชสำนัก ดังที่เห็นได้จากประกาศที่ห้ามไม่ให้เล่นลาวแคนหรือแอ่วลาว โดยมีความว่า

ประกาศห้ามมิให้เล่นแอ่วลาว
ณ วันศุกร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก
                “มีพระบรมราชโองการดำรัสแก่ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย และทวยราษฏร์ชาวสยามทุกหมู่เหล่าในกรุงแลหัวเมือง ให้ทราบกระแสพระราชดำริว่า เมืองไทยเป็นที่ประชุมชาวต่างเพศต่างภาษาใกล้ไกลมากด้วยกันมานานแล้ว การเล่นฟ้อนรำขับร้องของภาษาอย่างต่างๆเคยมีมาปะปนเป็นที่ดูเล่นฟังเล่นต่างๆ สำราญเป็นเกียรติยศ บ้านเมืองก็ดีอยู่แต่ถ้าของเหล่านั้นคงอยู่ตามเพศตามภาษาของคนนั้นๆก็สมควร หรือไทยก็จะเลียนเอามาเล่นได้บ้างก็เป็นอยู่ว่าไทยเลียนใครได้ เหมือนหนึ่งพระเทศนามหาชาติว่าลาวก็ได้อย่างมอญก็ได้  ว่าอย่างพม่าก็ได้ ว่าอย่างเขมรก็ได้ก็เป็นดี แต่จะเอามาเป็นอย่างไรไม่ควร ต้องเอามาอย่างไทยเป็นพื้นอย่างอื่นๆว่าเล่นได้แต่แหล่หนึ่งสองแหล่
ก็การบัดนี้เห็นแปลกไปนัก ชาวไทยทั้งปวงละทิ้งการเล่นสำหรับเมืองตัวคือ ปีพาทย์ โหรี เสภาครึ่งท่อน ปรกไก่ สักวา เพลงไก่ป่า เกี่ยวข้าวและละครร้องเสียหมด พากันเล่นแต่ลาวแคนไปทุกหนทุกแห่ง ทุกตำบลทั้งชายและหญิงจนท่านที่มีปี่พาทย์มโหรีในที่มีงานโกนจุก บวชนาค  ก็หาลาวแคนเล่นหมดทุกแห่งราคาหางานหนึ่งแรงถึงสิบตำลึง สิบสองตำลึงการที่เป็นอย่างนี้ ทรงพระราชดำริเห็นว่าไม่สู้งาม ไม่สู้ควรที่การเล่นอย่างลาวจะมาเป็นพื้นเมืองไทย ลาวแคนเป็นข้าของไทย ไทยไม่เคยเป็นข้าลาว จะเอาอย่างลาวมาเป็นพื้นของไทยไม่สมควร
ตั้งแต่พากันเล่นลาวแคนอย่างเดียวก็กว่าสิบปีมาแล้ว จนการตกเป็นพื้นเมืองแลสังเกตดูการเล่นลาวแคนชุกชุมที่ไหน ฝนก็ตกน้อยร่วงโรยไป ถึงปีนี้ข้าวในนารอดตัวก็เพราะน้ำป่ามาช่วย
เมืองที่เล่นลาวแคนมาก เมื่อถึงฤดูฝน ฝนก็น้อย ทำนาก็เสียไม่งอกงามทำขึ้นได้บ้างเมื่อปลายฝน น้ำป่ามาก็เสียหมด เพราะฉะนั้นทรงพระราชวิตกอยู่โปรดให้ขออ้อนวอนแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวงที่คิดถึงพระเดชพระคุณจริงๆ ได้งดเล่นลาวแคนเสียอย่าหามาดูแลฟัง แลอย่าให้เล่นเองลองดูสักปีสองปี การเล่นต่างๆอย่างเก่าของไทยคือ  ละคร ฟ้อนรำ ปี่พาทย์ มโหรี เสภาครึ่งท่อน ปรบไก่ สักวา เพลงไก่ป่า เกี่ยวข้าว และอะไรๆที่เคยเล่นแต่ก่อนเอามาเล่น เอามากู้ขึ้นอย่าให้สูญ เล่นลาวแคนขอให้งดเสีย เลิกเสียสักปีหนึ่งสองปีลองดู ฟ้าฝนจะงามไม่งามอย่างไรต่อไปภายหน้า
ประกาศอันนี้ ถ้ามิฟังยังขืนเล่นลาวแคนอยู่ จะให้เรียกภาษีให้แรงใครเล่นที่ไหนจะเรียกแต่เจ้าหน้าที่ และผู้เล่น ถ้าจะต้องจำปรับให้เสียภาษีให้แรง ใครเล่นที่ไหนจะให้เรียกแต่เจ้าของที่และผู้เล่น ถ้าลักเล่นจะต้องจับปรับให้เสียภาษีสองต่อสามต่อ
ประกาศมา ณ วันศุกร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก”
หลักฐานทางวรรณกรรม
                วรรณคดีไทย – ลาวที่ได้จารหรือจารึกไว้ในใบลานได้กล่าวถึงการใช้แคนเป็นเครื่องบรรเลงและการขับกล่อม จากหลักฐานประเภทนี้มักจะจารหรือจารึกเป็นอักษรธรรม อักษรไทน้อย อุดม บัวบุตรกล่าวว่าการจารอักษรลงบนใบลานน่าจะเกิดขึ้นในสมัยพระยาลิไทเพราะอักษรดังกล่าวได้รับการพัฒนามาจากอักษรปัลลวะของอินเดีย ซึ่งได้แพร่เข้ามาในดินแดนสุวรณภูมิในราวพุทธศตวรรษที่๑๐ พวกไทยใหญ่ได้นำอักษรปัลลวะมาพัฒนาเป็นอักษรธรรมและอักษรไทน้อยดังกล่าว
                วรรณคดีของไทย-และลาวที่กล่าวถึงแคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่ามีการเล่นแคนในช่วงที่มีการจารหรือจารึกวรรณคดีเรื่องนั้นๆแล้ว เช่น
ตำนานแคน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพรานคนหนึ่งได้ไปเที่ยวล่าเนื้อในป่า เขาได้ยินเสียงนกกรวิก (นกการเวก) ร้องไพเราะจับใจมาก เมื่อกลับมาจากป่าถึงบ้าน จึงได้เล่าเรื่องที่ตัวเองไปได้ยินเสียง นกกรวิกร้องด้วยเสียงไพเราะนั้นให้แก่ชาวบ้าน เพื่อนฝูงฟัง ในจำนวนผู้ที่มาฟังเรื่องดังกล่าวนี้มี หญิงหม้ายคนหนึ่งเกิดความกระหายใคร่อยากจะฟังเสียงร้องของนกกรวิกยิ่งนัก จึงได้พูดขอร้อง ให้นายพรานล่าเนื้ออนุญาตให้ตนติดตามไปในป่าด้วย เพื่อจะได้ฟังเสียงร้องของนก ตามที่นาย พรานได้เล่าให้ฟัง ในวันต่อมาครั้นเมื่อนายพรานล่าเนื้อได้พาหญิงหม้ายดั้นด้นไปถึงในป่า จนถึง ถิ่นที่นกกรวิก และนกเหล่านั้นก็กำลังส่งเสียงร้องตามปกติวิสัยของมัน นายพรานก็ได้กล่าวเตือน หญิงหม้ายให้เงี่ยหูฟังว่า
"นกกรวิกกำลังร้องเพลงอยู่ สูเจ้าจงฟังเอาเถอะ เสียงมันออนซอนแท้ แม่นบ่"
หญิงหม้ายผู้นั้น ได้ตั้งใจฟังด้วยความเพลิดเพลิน และติดอกติดใจในเสียงอันไพเราะ ของนกนั้นเป็นยิ่งนัก ถึงกับคลั่งไคล้ใหลหลง รำพึงอยู่ในใจตนเองว่า
"เฮ็ดจั่งได๋นอ จั่งสิได้ฟังเสียงอันไพเราะ ม่วนชื่น จับใจอย่างนี้ตลอดไป ครั้นสิคอยเฝ้า ฟังเสียงนกในถิ่นของมัน ก็เป็นแดนดงแสนกันดาร อาหารก็หายาก หมากไม้ก็บ่มี"
จึงได้คิดตัดสิน แน่วแน่ในใจตนเองว่า "เฮาสิต้องคิดทำเครื่องบังเกิดเสียง ให้มีเสียงเสนาะ ไพเราะออนซอนจับใจ ดุจดังเสียง นกกรวิกนี้ให้จงได้"
เมื่อหญิงหม้ายกลับมาถึงบ้าน ก็ได้คิดอ่านทำเครื่องดนตรีต่าง ๆ ทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า หลาย ๆ อย่าง ก็ไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดมีเสียงไพเราะวิเวกหวานเหมือนเสียงนกกรเวก ในที่สุดนาง ได้ไปตัดไม้ไผ่น้อยชนิดหนึ่ง เอามาประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่ง แล้วลองเป่าดู ก็รูสึก ค่อนข้างไพเราะ จึงได้พยายามดัดแปลงแก้ไขอีกหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งเกิดเป็นเสียงและ ท่วงทำนองอันไพเราะเหมือนเสียงนกกรวิก จนในที่สุดเมื่อได้แก้ไขครั้งสุดท้ายแล้วลองเป่าก็รู้สึก ไพเราะออนซอนดีแท้ จึงคิดที่จะไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้ทรงทราบ ก่อนที่จะได้เข้าเฝ้า นางก็ได้เพียรพยายามปรับปรุงแก้ไขเสียงดนตรีของนางให้ดีขึ้นกว่า เดิม และยังได้ฝึกหัดเป่าเป็นท่วงทำนองต่าง ๆ จนมีความชำนาญเป็นอย่างดี
ครั้นถึงกำหนดวันเข้าเฝ้า นางก็ได้เป่าดนตรีจากเครื่องมือที่นางได้คิดประดิษฐ์ขึ้นนี้ ถวาย เมื่อเพลงแรกจบลง นางจึงได้ทูลถามว่า
"เป็นจั๋งได๋ ม่วนบ่ ข้าน้อย"
พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสตอบว่า "เออ พอฟังอยู่"
นางจึงได้เป่าถวายซ้ำอีกหลายเพลง ตามท่วงทำนองเลียนเสียงนกกรวิกนั้น เมื่อจบถึง เพลงสุดท้าย พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงตรัสว่า "เทื่อนี่ แคนแด่" (ครั้งนี้ ดีขึ้นหน่อย)
หญิงหม้าย เจ้าของเครื่องดนตรี จึงทูลถามว่า "เครื่องดนตรีอันนี่ ควรสิเอิ้นว่าจั่งได๋ ข้าน้อย" (เครื่องดนตรีนี้ ควรจะเรียกว่าอย่างไร พระเจ้าข้า)
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงตรัสว่า "สูจงเอิ้นดนตรีนี้ว่า "แคน" ตามคำเว้าของเฮา อันท้ายนี้ สืบไปเมื่อหน้าเทอญ" (เจ้าจงเรียกดนตรีนี้ว่า "แคน" ตามคำพูดของเราตอนท้ายนี้ ต่อไปภายหน้าเถิด)
ด้วยเหตุนี้ เครื่องดนตรีที่หญิงหม้ายประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้ไม้ไผ่น้อยมาติดกันใช้ปากเป่า จึงได้ชื่อว่า "แคน" มาตราบเท่าทุกวันนี้
                บางท่านก็สันนิษฐานว่า คำว่า "แคน" คงจะเรียกตามเสียงเครื่องดนตรีที่ดังออกมาว่า "แคนแล่นแคน แล่นแคน แล่นแคน" ซึ่งเป็นเสียงที่ดังออกมาจากการเป่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ แต่ บางคนก็มีความเห็นว่า คำว่า "แคน" คงเรียกตามไม้ที่ใช้ทำเต้าแคน กล่าวคือ ไม้ที่นำมาเจาะใช้ ทำเต้าแคนรวมเสียงจากไม้ไผ่น้อยหลาย ๆ ลำนั้น เขานิยมใช้ไม้ตะเคียน

ซึ่งภาษาท้องถิ่นทางภาคอีสานเรียกว่า "ไม้แคน" แต่บางท่านก็ให้ความเห็นที่แตกต่างกันออกไป
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าคิดอยู่บ้างคือ "แคน" นี้น่าจะทำขึ้นโดยผู้หญิง ซ้ำยังเป็น "หญิงหม้าย" เสียด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า ส่วนประกอบที่ใช้ทำแคนอันสำคัญคือส่วนที่ใช้ปากเป่า ยังเรียกว่า "เต้า แคน" และมีลักษณะรูปร่างเป็นกระเปาะคล้าย "เต้านม" ของสตรีอีกด้วย ทั้งการเป่าแคนก็ใช้วิธี เป่าและดูด จนสามารถทำให้เกิดเสียงอันไพเราะ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลสนับสนุนอีกข้อคือ คำที่ เป็นลักษณะนามเรียกชื่อและจำนวนของแคนก็ใช้คำว่า "เต้า" แทนคำว่า อัน หรือ ชิ้น ฯลฯ ดังนี้ เป็นต้น ที่สำคัญคือ เสียงของแคนเป็นเสียงที่ไพเราะอ่อนหวาน ซาบซึ้งเหมือนเสียงนกการเวก ตาม นิทานเรื่องดังกล่าว เหมือนเสียงของหญิงหม้ายที่ว้าเหว่เดียวดาย ดังนั้นถ้าจึงถือว่า "หญิงหม้าย" เป็นผู้ประดิษฐ์คิดทำแคนขึ้นเป็นคนแรก 
วรรณคดีเรื่องท้าวก่ำกาดำ
ฉบับของวัดบ้านหนองอุ่ม ตำบลนาสีนวล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม  แปลโดยสุภณ  สมจิตรศรีปัญญา ที่ได้กล่าวถึงความสามารถของท้าวก่ำกาดำซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องไว้ดังนี้
“เมือนั้นโพธิสัตว์ท้าว         กาดำน้อยบายแคนเลยเป่า
ท้าวกะยืนแท่แล้                   เลยซ้ำเป่าแคน
ท้าวกะเตาะลูกหนึ่งแล้ว     ลูกสองสามสี่
ท้าวกะเตาะกิ่งก้อย              ขานเท่าแม่มือ
ท้าวกะเป่าจ้อยๆ                   เสียงเสพเมืองสวรรค์
บาดานเลย                             เป่าแถลงดังก้อง
อันว่าเสียงแคนท้าว             บาคานขับขลุ่ย
เสียงม่วนแม้ง                      พอล้มลูดใจ
ท้าวกะเป่าจ้อยจ้อย              อ้อยอิ่นกินรี
ผากฎในเมืองคน                 นี่นันออระอึ้ง
ฝูงชายโถงพร้อม                 ฟันกันลืมปาก
ฝูงหมู่สาวส่ำน้อย                ลืมเปลื้องแกว่งหลา
เขากะเซาฟังแท้                   ซาวเมืองเหมิดหมู่
เทิงขุนกวน                           ซุคนฟังพร้อม
สามฮามน้อย                        วางไนป๋ะไป
ไปเบิ่งท้าว                             ตีนต้องถืกตอ
บางพ่องตอตำต้อง               ตอแก่นไม้ตำ
เลือดบาย้อย                          แดงเข้มดังฝาง
บางพ่องป๋ะหลาไว้              วางในปบแล่น
มันมะเนมะนาปบ              แล่นไปเปลื่อยผ้า
บ่างพ่องบ่าวซ่ำน้อย            ซอนบีบนมสาว
ก็บ่มีพู่ได๋                               สิไอจามฟ้อย
เพื่อสงัดพร่ำพร้อม              ฟังแคนท้าวเป่า
เสียงแคนท้าว                       โฮงหลวงพระยาพ่อ
พระก็ฟังถี่แจ้ง                     ดูแม้งมวนกะใจ”
นอกจากนี้ก็จะมีวรรณคดีเรื่องเดียวกันและตอนเดียวกันแต่มีความแตกต่างกันที่สำนวนดังนี้
“ท้าวกะเป่าจ้อยจ้อย            คือเสียงเสพเมืองสวรรค์
ปรากฏดังม่วนก้อง              ในเมืองอ้อยอิ่น
เป็นที่ม่วนใจดิ้น                  ดอมเจ้าเป่าแคน
ฝูงหมู่ชาวเมืองเขา              เล่าฟังเย็นบิ้ง
เป็นสาวส่ำน้อย                    ลืมแกว่งกงหลา
ดีแต่ทางหลายพร้อม           มาฟังสงัดอยู่
เขากะฟังพ่ำพร้อม              ดอมท้าวเป่าแคน
สาวฮามน้อย                         วางหลามาเบิ่ง
เขากะปบฟั่งฟ้าว                 ตีนต้องถืกตอล้มถ่าว
บางพ่องพาดลาดล้ม           เลยฟ่าวแล่นหนีไปกะมี
ฝูงคนเฒ่า                              นอนเหงาหายซ่วง
สาวแม่ฮ้าง                            คะนึงโอ้หาผัว
ฝูงพ่อฮ้าง                              คิดฮ่ำคะนึงเมีย
เหลือทนทุกข์                       พู่เดียวนอนแล้ง
เป็นที่อัศจรรย์แท้ เสียงแคนท้าวก่ำ
ไผได้ฟังม่วนแม่ง                ใจสล้างหว่างเว่
ฝูงกินข้าวเซากลืน               คาคอค้างอยู่
ฝูงอาบน้ำ                              ปะผ้าแล่นมา
บ่มีไผไออี้                             จามไอสงัดอยู่
ก็จึ่งมาพร่ำพร้อม                 ฟังท้าวเป่าแคน”

วรรณคดีเรื่องพญาคันคาก
ได้มีการกล่าวถึงแคนตอนที่พญาคันคากแต่งงานกับนางเอกในเรื่อง ดังนี้
“แต่นั้น คื่นคื่นก้อง             เสียงเสพสะบัดชัย
นนตีดัง                                  คื่นเค็งคุงฟ้า
นางกะสิงฟ้อน                    บูชาเดียรดาษ
พิณพาทย์ฆ้อง                      แคนไค้ขลุ่ยซอ
สังข์ปี่แอ้                                ระเม็งพ่ำสวนไล
เนืองนันเสียง                       เสพงันบาท้าว”
วรรณคดีเรื่อง ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี
ซึ่งวรรณคดีเรื่องนี้เป็นความเชื่อของชาวไทย-ลาว ว่าปู่สังกะสา ย่าสังกะสีเป็นบรรพบุรุษของตน ซึ่งเป็นหลักฐานในการเชื่อเรื่องผีของชาวไทย-ลาวมาก่อน จากการแปลของ สุภณ  สมจิตรศรีปัญญา มีตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับแคน ดังนี้
“ทันกลางนั้น                       สุเมรุหลักโลก
มีหมู่เทพท่อนท้าว               ทันอ้างอยู่เสวย
ซื่อว่าสักกะราชาเจ้า            อินตาเทวราช
ผาสาทตั้ง                              ปรางค์แก้วง่อนสุเมรุ
มีหมู่แก้ว                               เมียท้าวเทพอินทร์
คละนานับ                            สองตื้อปลายแปดล้าน
มาเฝ้าบ่ำรือ
มีทังนนตีพร้อม                   พิณคำระบำปี่
ระฆังพาทย์ฆ้อง                  แคนไค้ขลุ่ยซอ
หอยสังข์ทังปี่ห้อ                 หอกระดิ่งดังม่วน
สวนไลกระจับปี่แก้ว           กลมเกลี้ยงกล่อมเสียง”

วรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอ่
ก็มีปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องเช่นกันกล่าวคือ
“ทั้งดอกไม้ธูปเทียนมาลา                  บูชาพระเทศนากัณฑ์ม้วน
สมควรเจ้ายถาให้แม่ออก                   ไฟดอกธูปเทียนให้แห่ไป
เวียนแวดล้อมผามใหญ่หลายถัน      เอากันฮิวโห่งันตีฆ้อง
กลองชัยพร้อมกลองโทนกลองแป่ม แคนและไค้ไหลล้อมฮอบผาม”
วรรณคดีเรื่องขูลูนางอั้ว
จากการแปลของ ปรีชา พิณทอง ได้กล่าวถึงตอนที่บริวารเมืองกาสีของท้าวขูลู ยกขบานขันหมากไปสู่ขอนางอั้วแห่งเมืองกาย ดังนี้คือ
“ผ่อเห็นชุม สาวฟ้อน หลายถันแหนแห่
เสียงเสพเข้า หลังหน้า ม่วนไพร ลางพ่องถือ วีแก้ว จามรกวัดแกว่ง
ลางพ่องสุบ เทริดม้าว ปะเหียนก้อนแกว่งแพน
ยาบยาบเหลื่อม เมืองแกง จตุลา
ตาเทียมปัด เชิดชาย ประสงค์เล่น
ลางพ่องขับ อิ่นอ้อย นำปี่แคนซอ
สาวขับเลียน แถวถัน เฮื่อคำ ตะเกียงแก้ว”
ในปัจจุบันนี้ แคน ถือเป็นเครื่องดนตรีที่มีความเก่าแก่มากที่สุด เป็นเครื่องดนตรีที่มีความนิยมเป่ากันมาก โดยเฉพาะชาวจังหวัดขอนแก่น ถือเอาแคนเป็นเอกลักษณ์ชาวขอนแก่น รวมทั้งเป็นเครื่องดนตรีประจำภาคอีสานตลอดไป และในปัจจุบันนี้ชาวบ้านได้มีการประดิษฐ์ทำแคนเป็นอาชีพอย่างมากมาย เช่น อ.นาหว้า จ.นครพนม จะทำแคนเป็นอาชีพทั้งหมู่บ้าน รวมทั้ง จังหวัดอื่นๆ อีกมากมาย และแคนยังเป็นเครื่องดนตรีที่นำมาเป่าประกอบการแสดงต่างๆ เช่นแคนวง วงโปงลาง วงดนตรีพื้นเมือง
 รวมทั้งมีการเป่าประกอบพิธีกรรมของชาวอีสาน เช่า รำผีฟ้า รำภูไท เป็นต้น รวมทั้งเป่าประกอบหมอลำกลอน ลำเพลิน ลำพื้น รวมทั้งหมอลำซิ่ง ยังขาดแคนไม่ได้
การเล่นแคนของชาวอีสานถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการผ่อนคลายจากการที่เมื่อยล้ามาทั้งวัน เช่นในตอนที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้อธิบายไว้ว่าพอถึงหัวเมืองลาวมีการเล่นลาวแคนเป็นอันมาก
















บรรณานุกรม
ขำ บุนนาค . พระราชพงศาวดารรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ . กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ , ๒๕๔๗ .
ขอนแก่น ๒๐๐ ปี . กรุงเทพฯ : ฟิวเจอร์ เพรส , ๒๕๔๐ .
ชัยสิทธิ์ สนสุนัน . เอกสารประกอบการสอนรายวิชาดนตรีพื้นเมือง . ขอนแก่น : คณะศิลปกรรมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๔๒ .
ประมวล พิมพ์เสน . บันทึกประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น . ขอนแก่น : พระธรรมขันธ์ , ๒๕๔๑ .
ปรีชา พิณทอง . ท้าวก่ำกาดำ . อุบลราชธานี : โรงพิมพ์ศิริธรรม , ๒๕๒๗ .
โพไซ  สุนละลาด . ดนตรีกับวิถีชีวิตชาวไทยพวนที่แขวงเชียงขวาง
       แห่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว . มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ,
       ๒๕๓๘ .
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม . แอ่งอารยธรรมอีสาน : แฉหลักฐานโบราณคดีพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย .
       กรุงเทพฯ : มติชน , ๒๕๔๐ .
สุจิตต์ วงษ์เทศ . คนไทยมาจากไหน . กรุงเทพฯ : มติชน , ๒๕๔๘ .
สุจิตต์ วงษ์เทศ . สุวรรณภูมิ กระแสประวัติศาสตร์ไทย . กรุงเทพฯ : มติชน , ๒๕๔๙ .
สุภณ สมจิตรศรีปัญญา . ปู่สังกะสาย่าสังกะสี . มหาสารคาม : ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
       วิทยาลัยครูมหาสารคาม , ๒๕๒๙ .
สุภณ สมจิตรศรีปัญญา . วรรณกรรมชิ้นเอกของอีสาน : ท้าวก่ำกาดำ . มหาสารคาม : ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม
       ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิทยาลัยครูมหาสารคาม , ๒๕๒๒ .


สุภณ สมจิตรศรีปัญญา . อักษรไทยน้อย อักษรกาบ อักษรสร้อย .มหาสารคาม , ๒๕๒๕ .
สุรพล เนสุสินธ์ . เอกสารประกอบการสอนดนตรีพื้นเมือง . ขอนแก่น : คณะศิลปกรรมศาสตร์
       มหาวิทาลัยขอนแก่น
อุทิศ นาคสวัสดิ์ . ดนตรีพื้นเมืองอีสาน . วารสารวัฒนธรรมไทย(หน้า ๑๐ – ๑๒) , ๒๕๒๑ .







               











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น