จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิถีและชีวิตของคนจีนอีสานกับการขยายเมือง : ศึกษาเฉพาะร้อยเอ็ดและมหาสารคาม

วิถีและชีวิตของคนจีนอีสานกับการขยายเมือง :
ศึกษาเฉพาะร้อยเอ็ดและมหาสารคาม
นารีรัตน์ ปริสุทธิวุฒิพร
ภาควิชาประวัติศาสตร์
บทนำ
คนจีน หรือคนชาติพันธุ์จีนมีกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ คนจีนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเมืองและสร้างประเทศ โดยเฉพาะบทบาท
ทางด้านเศรษฐกิจ นอกจากบทบาททางด้านเศรษฐกิจ ความผูกพันทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
เปรียบเสมือนสายใยผูกพันให้คนเหล่านี้สร้างเครือข่ายสานสัมพันธ์ในกลุ่มตนให้มีความเหนียวแน่นมาก
ยิ่งขึ้น และวัฒนธรรมจีนที่ร้อยรัดความเป็นจีน ค่านิยม คำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ซึ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำ
บทบาทและหน้าที่รวมถึงภาระที่ลูกหลานจะต้องมีต่อวงศ์ตระกูลและพวกพ้องของตน รวมทั้งแผ่นดินที่
บรรพบุรุษของตนเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย
การศึกษาวิถีและชีวิตของคนจีนอีสานกับการขยายเมือง โดยเฉพาะในจังหวัดร้อยเอ็ดและ
มหาสารคามจะทำให้เห็นการเข้ามาของคนจีนใน 2 จังหวัดนี้ การอยู่ การสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างคน
จีนกับชุมชนใหม่ที่ตนเข้ามาอยู่ร่วมด้วย ตลอดจนการปรับเปลี่ยนวิถีและวัฒนธรรมในคนจีนรุ่นต่อๆมา
คนจีนกับการเข้ามาในจังหวัดร้อยเอ็ดและมหาสารคาม
คนจีนเข้ามายังจังหวัดร้อยเอ็ดและมหาสารคามนานแล้ว จากหลักฐานปรากฏว่ามีคนจีนเข้ามาอยู่
ในร้อยเอ็ดแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 31 ซึ่งสามารถแบ่งยุคการเข้ามาของชาวจีนได้ เป็น 3 ช่วงเวลา คือ
1.การเข้ามาของคนจีนก่อนการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา (ก่อนพ.ศ.2443) ได้แก่
1.1 คนจีนเข้ามาเพราะถูกชักชวนให้มาประกอบการค้าขายในอำเภอ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ
ขยายตัวของเมือง ตัวอย่างอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม พระพิทักษ์นรากร (อุ่น) เจ้า
เมืองวาปีปทุม ช่วงปี พ.ศ.2428 เห็นว่าชาววาปีปทุมไม่สันทัดทางการค้า จึงได้ติดต่อจีนแต้จิ๋ว
1 ดู กจช. , ร.3 เลขที่ 21 จ.ศ.1211 เจ้าพระยาจักรี เมืองร้อยเอ็ด เรื่องอุปฮาดจ้างจีนฆ่าพระพิไสยสุ
รวงษ์ตาย และเรื่องตั้งท้าวอินทรราชวงษ์ เป็นที่พระขัติยวงษาเจ้าเมืองร้อยเอ็ด อ้างใน ประนุช ทรัพยสาร,
"วิวัฒนาการเศรษฐกิจหมู่บ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พ.ศ.2394-2475," วิทยานิพนธ์
ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525, หน้า
44.
2
เมืองนครราชสีมา ให้มาตั้งตลาดค้าขายที่เมืองวาปีปทุม รวม 4 ครอบครัว คือเจ๊กเต็กเอีย แซ่
เอ็ง (ต้นตระกูลอัตถากร), เจ๊กพระคลัง แซ่ต่าง, เจ๊กยูล่าย แซ่อุ่น, เจ๊กหุย แซ่เอ็ง2
1.2 คนจีนเข้ามาเพราะเกิดโรคระบาดในเมืองใหญ่ เช่นนครราชสีมา เนื่องจากเมืองนครราชสีมา
เป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนจีนด้วย เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น เช่น
อหิวาตกโรค ทำให้คนจีนอพยพออกจากนครราชสีมาและไปอยู่ตามเมืองเล็กๆ เช่นร้อยเอ็ด
มหาสารคาม
1.3 คนจีนเข้ามาเพราะหนีความอดอยากและความวุ่นวายในประเทศจีน บางคนเข้ามาตามลำพัง
บางคนเข้ามาอยู่กับญาติที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ประกอบกับในยุคนั้นรัฐต้องการแรงงานจีนในการ
สร้างบ้านแปงเมือง และต้องการดึงดูดชาวจีนให้เข้ามามากๆ จึงให้อิสระแก่คนจีนในการ
เดินทางทั่วราชอาณาจักร การไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน และเสียภาษีแก่รัฐทุก 3 ปีเท่านั้น3 ทำ
ให้ชาวจีนเดินทางเข้ามายังสยามเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้เข้ามาสู่ภาคอีสาน และเข้ามายัง
ร้อยเอ็ดและมหาสารคาม
2. คนจีนที่เข้ามาหลังการสร้างเส้นทางรถไฟ-สงครามโลกครั้งที่ 2
2.1 เข้ามาอยู่กับญาติเพื่อช่วยงานการค้า โดยชาวจีนกลุ่มนี้จะถูกดึงเข้ามา เพราะญาติมา
ประกอบการค้ามีฐานะมั่นคงจึงต้องการดึงญาติพี่น้องในประเทศจีนให้เข้ามาช่วยงาน จนบาง
คนแยกกิจการใหม่เป็นของตนเอง เช่น ตระกูลของคุณประสิทธิ์ ตัณฑะศิลป์ (ร้านตั้งล่งกี่)เข้า
มาอยู่กับน้องชายที่เข้ามายังอำเภอบรบือ เมื่อประมาณ พ.ศ.2443 โดยเข้ามาช่วยทำธุรกิจ
ขายของส่งและของเบ็ดเตล็ดต่างๆที่ตลาดสดเก่า ในอำเภอบรบือ4
2.2 เข้ามาเนื่องจากย้ายที่ทำกิน คนจีนที่เข้ามายังร้อยเอ็ด มหาสารคามกลุ่มนี้ส่วนมากเป็นชาวจีน
ที่อยู่ในจังหวัดใหญ่ เช่นกรุงเทพ นครราชสีมา บ้านไผ่ นครปฐม ฯลฯ ซึ่งมีผู้คนอยู่หนาแน่น
การประกอบการค้าก็ยากลำบาก เพราะต้องแข่งขันกันมากขึ้น จึงย้ายออกมาอยู่ในเมืองเล็ก
แทน ประกอบกับรัฐทยอยสร้างถนนเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ชาวจีนเหล่านี้
เล็งเห็นความเจริญที่จะมีในอนาคต ประกอบกับเมืองเล็ก การค้ายังมีไม่มาก จึงสามารถเข้า
2 เสาวนาถ ศิริพรทุม. “พัฒนาการชุมชนเมืองวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม” (รายงานการค้นคว้า
อิสระ เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม,2544) หน้า 20-21 อ้างจากพระอริยานุวัตร เขมจารี. ประวัติ
เมืองวาปีปทุม. ม.ป.ท. ม.ป.ป. หน้า 19-21.
3 ผาสุก พงษ์ไพจิตร, คริส เบเคอร์. เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. (กรุงเทพ: โอ.เอส.พริ้
นติ้ง เฮ้าส์,2539) : หน้า 297.
4 จากการสัมภาษณ์นายประสิทธิ์ ตัณฑะศิลป์. อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 19
สิงหาคม พ.ศ.2544
3
มาบุกเบิกทางการค้าได้อีก ตัวอย่างของนายอาจิว แซ่ตัง ต้นตระกูลโชคชัยวัฒนากร (พ่อของ
อดีตสส.สุชาติ โชคชัยวัฒนากร) เล่าว่าพ่อแม่ญาติพี่น้องอยู่นครปฐม แต่ตนเองเข้ามาอยู่ใน
อำเภอ พยัฆคภูมิพิสัย ในปี พ.ศ.2495 เพราะนครปฐมประกอบอาชีพหากินลำบาก และตนมี
ความรู้เรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้า เริ่มแรกจึงเข้ามาประกอบอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า5
2.3 เข้ามาเพราะหนีภัยจากอำนาจรัฐบาล กล่าวคือในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวจีนใน
ประเทศไทยต่อต้านญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศจีน ทั้งการลอบทำร้ายคนที่สนับสนุนญี่ปุ่น การคว่ำ
บาตรสินค้าญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามต้องออกกฎควบคุมชาวจีนขึ้น เพื่อ
ลดความรู้สึกชาตินิยมของชาวจีน ทั้งปิดโรงเรียนจีน หนังสือพิมพ์จีน จำกัดการประกอบอาชีพ
ของชาวจีน รวมทั้งจำกัดที่อยู่อาศัยของชาวจีนด้วย โดยเฉพาะชาวจีนต่างด้าว ทำให้ชาวจีน
เกิดความไม่มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน จนต้องหนีออกจากเมืองใหญ่ เพื่อหลบภัย ไปอยู่ใน
เมืองเล็ก เช่นร้อยเอ็ด มหาสารคาม
3. คนจีนที่เข้ามาหลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504)
คนจีนที่เข้ามาในช่วงนี้ เข้ามาเพื่อขยายธุรกิจการค้าของตน โดยส่วนมากคนจีนเหล่านี้มีธุรกิจของ
ตนในเมืองใหญ่อยู่แล้ว เมื่อรัฐบาลเร่งพัฒนาประเทศ และเอาใจใส่เมืองเล็กๆเพิ่มขึ้น ทำให้ชาวจีนเหล่านี้
ขยายธุรกิจของตนเข้ามา เพื่อบุกเบิกตลาดทางการค้า ตัวอย่างเช่น
ตระกูลยนต์ตระกูล (เจ้าของโตโยต้ามหาสารคาม ) หลังจากที่เดินทางมาเมืองไทย ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่
ที่บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ประกอบอาชีพหลากหลาย ทั้งขายก๋วยเตี๋ยว จนกระทั่งมีโรงสีข้าว ขายเครื่องจัก
กลการเกษตร ก่อนจะมาขายรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า เมื่อปี พ.ศ.2506 และได้รับสิทธิในการขยายพื้นที่การ
จำหน่าย ที่มหาสารคาม จึงย้ายเข้ามาอยู่มหาสารคาม ในปี พ.ศ.2515 จากนั้นได้ขยายสาขาการจำหน่าย
รถยนต์โตโยต้าไปยังร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ โดยให้ลูกชายไปดูแลกิจการ 6
การเข้ามายังร้อยเอ็ดและมหาสารคามของชาวจีนเหล่านี้ ได้เข้ามาสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทำให้เมืองมีการขยายตัว พร้อมกับคนจีนเหล่านี้ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ
ท้องถิ่นในรุ่นลูกหลาน และเมื่อรัฐเปิดโอกาสทางการเมืองให้แก่ประชาชน ลูกหลานของชาวจีนโพ้นทะเลก็
เป็นตัวแทนของชุมชนท้องถิ่นลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นกระบอกเสียงให้กับชุมชนท้องถิ่น แต่ในขณะเดียวกัน
วัฒนธรรมประเพณีของบรรพบุรุษ ลูกหลานชาวจีนก็ยังคงปฎิบัติ ซึ่งประเพณีของบรรพบุรุษเหล่านี้เป็นสิ่ง
5 จากการสัมภาษณ์นายอาจิว แซ่ตัง (โชคชัยวัฒนากร). อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เมื่อ
วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2545
6 จากการสัมภาษณ์นายสุรจิตร ยนต์ตระกูล. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 12
มีนาคม พ.ศ.2545
4
ย้ำเตือนถึงความเป็นจีนของพวกเขา แต่เป็นจีนอีสาน ที่มีลักษณะเฉพาะของตนต่างจากจีนภาคอื่นของ
ประเทศไทย ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป
วิถีและชีวิตของคนจีนกับการขยายเมือง
เมื่อคนจีนเข้ามายังร้อยเอ็ด และมหาสารคามแล้ว ต่างได้พยายามสร้างตัว สร้างฐานะจนทำให้เกิด
การเติบโตทางเศรษฐกิจ อันนำไปสู่การขยายตัวของเมือง นอกจากนี้คนจีนเหล่านี้ยังมีการปรับเปลี่ยน
ตัวเองเพื่อเข้ากับสภาพแวดล้อมของอีสานได้ จนเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นในชั้นลูกหลาน จากอดีตที่ชาว
จีนเข้ามายังดินแดนนี้จวบจนปัจจุบัน สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทั้งของคนและเมืองได้
เป็น 4 ยุค ดังนี้
1.ยุคคนจีนอยู่กับเมืองและรัฐ พ.ศ.2398-2469
2.ยุคคนจีนอีสานกับชนบท สร้างทุนในการตั้งเมือง พ.ศ.2470-2503
3.ยุคคนอีสานเชื้อสายจีนกับการ “นำเมือง” พ.ศ.2504-2529
4.ยุคคนอีสานเชื้อสายจีนกับการ “สร้างเมือง” พ.ศ.2530-2545
1.ยุคคนจีนอยู่กับเมืองกับรัฐ พ.ศ.2398-2469
1.1 คนจีนกับความเป็นจีน
- การช่วยเหลือกันในกลุ่มคนจีน
เมื่อชาวจีนเข้ามายังเมืองร้อยเอ็ดและมหาสารคามในยุคแรกนี้ ส่วนมากจะเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่
อพยพมาจากประเทศจีน ชาวจีนเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันกับประเทศจีนของตนอยู่ ซึ่งจะเห็นได้จากการ
รวมกลุ่มกันเฉพาะในหมู่ของชาวจีน ชาวจีนที่เข้ามาก่อนหน้านี้จะช่วยเหลือชาวจีนที่เข้ามาอยู่ใหม่ โดย
ส่วนมากจะเป็นคนจากหมู่บ้านเดียวกันเมื่อครั้งอยู่เมืองจีน อย่างที่จีนกาสี คหบดีจีนในร้อยเอ็ดช่วยเหลือ
จีนที่เข้ามาอยู่ใหม่โดยฝึกด้านการค้า สอนภาษาอีสานให้ เมื่อชายจีนใหม่คนนั้นสามารถจะแยกตัวได้แล้ว
ก็สนับสนุนให้ไปเปิดร้านค้าของตนเอง โดยเป็นผู้ให้สินค้านำไปจำหน่ายก่อน ส่งเงินคืนทีหลัง เมื่อคนนั้น
สมควรมีครอบครัว ก็เป็นผู้ใหญ่สู่ขอผู้หญิงที่เหมาะสมให้7 เป็นต้น นี่คือการดูแล ช่วยเหลือชาวจีนที่เข้ามา
อยู่ใหม่ โดยเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน จากการดูแลกันในกลุ่มชาวจีนนี้ ทำให้ชุมชนจีนมีความเหนียว
แน่นและเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวจีนโพ้นทะเลอพยพเข้ามาอยู่ตลอดเวลาในช่วงที่รัฐบาลยังไม่กีดกันการเข้ามา
ของชาวจีน
-การสร้างศาลเจ้า
7 จากการสัมภาษณ์นางหนูณี นิยมปราชญ์. อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. เมื่อวันที่ 24
ธันวาคม พ.ศ.2544
5
จากการเกิดชุมชนจีนนำไปสู่การสร้างสิ่งเคารพบูชาเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจขึ้น และจากการ
เก็บข้อมูล จะได้ข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่ง คือ ถ้าชุมชนจีนที่ใดเข้มแข็งและมีคนจีนอยู่เป็นจำนวน
มาก สิ่งเคารพสักการะของชาวจีนโดยเฉพาะเทพเจ้าประจำท้องถิ่นในประเทศจีน อย่างปุนเถ่ากง-ม่า8 จะ
นำมาจากประเทศจีน แต่ถ้าที่ใดคนจีนมีอยู่ไม่มาก สิ่งสักการะบูชาอย่างปุนเถ่ากง-ม่าที่คนจีนนับถือมา
ตลอดจะมาจากผีในท้องถิ่นซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นที่ให้ความเคารพ
อย่างในอำเภอเมืองร้อยเอ็ดและอำเภอเมืองมหาสารคามมีคนจีนอยู่มากกว่าในอำเภอรอบนอก
จากการสัมภาษณ์คนจีนทั้ง 2 อำเภอ ได้ความว่าเทพเจ้าปุนเถ่ากง-ม่าของทั้ง 2 อำเภอเป็นเทพเจ้าที่
อัญเชิญมาจากประเทศจีน โดยคนจีนที่อพยพเข้ามาจะนำขี้ธูปจากกระถางธูปในศาลเจ้าปุนเถ่ากง-ม่าใน
ประเทศจีนบรรจุใส่น้ำเต้าติดตัวมาด้วย และเมื่อมาถึงก็ทำพิธีเซ่นไหว้และตั้งเป็นศาลเจ้าลักษณะเหมือนตึก
ดินเล็กๆ โดยในร้อยเอ็ดสร้างศาลเจ้าครั้งแรก เมื่อประมาณพ.ศ.24009 ส่วนในอำเภอเมืองมหาสารคาม มี
ศาลเจ้าก่อนปี พ.ศ.2470 เป็นลักษณะเหมือนกำแพงดินหลักเล็กๆ10
เมื่ออำเภอรอบนอก (หมายถึง อำเภออื่นๆที่ไม่ใช่อำเภอเมือง) เติบโตจากการอพยพเข้าไปอยู่ของ
คนจีน เพราะต้องการเข้าถึงสินค้าท้องถิ่น ซึ่งหมายถึงของป่า ได้แก่ครั่ง เร่ว หนังสัตว์ เขาสัตว์ ข้าวเปลือก
ฯลฯ จากคนท้องถิ่น และสันนิษฐานว่าคนจีนเข้าสู่อำเภอรอบนอกไม่มากนัก จึงไม่สามารถรวมกลุ่มเพื่อ
อัญเชิญเทพเจ้าปุนเถ่ากง-ม่าจากประเทศจีน และสร้างศาลเจ้าเฉพาะของคนจีนขึ้นมาได้ และเท่าที่สังเกต
และสัมภาษณ์คนจีนได้ความว่าเทพเจ้าปุนเถ่ากง-ม่าที่คนจีนในอำเภอรอบนอกเคารพบูชาล้วนเป็นผีใน
ท้องถิ่นอีสานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผีปู่ตา หรือหลักเมือง
จากประเด็นนี้น่าจะทำให้เห็นพลังการรวมกลุ่มของคนจีนถึงศักยภาพในการสร้างและการขยายตัว
ของเมืองในยุคสมัยต่อๆมาได้
-วิทยาการจากประเทศจีน
นอกจากเรื่องความเชื่อแล้ว เมื่อคนจีนเข้ามาในร้อยเอ็ดและมหาสารคาม คนจีนเหล่านี้ยังนำ
วิทยาการที่ตนเคยปฎิบัติเมื่อครั้งอยู่ในประเทศจีนเข้ามาใช้ในการดำรงชีวิตใหม่ในแผ่นดินไทยด้วย เช่นการ
ปลูกผักยกร่องสวน การนำผักจากประเทศจีนมาปลูก เช่นผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ฯลฯ การใช้ปุ๋ยคอกในนา
8 พรพรรณ จันทโรนานนท์.” ปุนเถ่ากง เทพเจ้าแห่งจีน” ศิลปวัฒนธรรม 4,11 (กุมภาพันธ์ 2533):
62-74.
9 จากการสัมภาษณ์นายวีระ วุฒิจำนงค์. อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน
พ.ศ.2544
10 จากการสัมภาษณ์นายมานพ ปริทัศน์ไพศาล. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 13
มีนาคม พ.ศ.2545
6
ข้าว การสร้างบ้านด้วยดินเหนียวผสมฟางข้าว หรือการนำอาหาร เช่นก๋วยเตี๋ยว หรืออาชีพเช่นการชำแหละ
เนื้อหมู เป็นต้น
1.2 คนจีนกับการเข้ากับท้องถิ่น
- การพึ่งพาอาศัยกันของคนจีนและคนท้องถิ่น
เมื่อคนจีนเหล่านี้อพยพเข้ามา อาชีพในระยะเริ่มแรกคือการค้า โดยชาวจีนเหล่านี้จะนำสินค้าจาก
ในเมือง ได้แก่สบู่ ผ้าสี ด้าย เข็มเย็บผ้า น้ำมันก๊าด ไม้ขีดไฟ กระดานชนวน ดินสอหิน ไต้จุดไฟ เครื่องสังฆ
ภัณฑ์ ปลาทูเค็ม ผักดอง ผลไม้เค็ม จอบเสียม เป็นต้น นำไปแลกเปลี่ยนของป่ากับคนท้องถิ่นเพื่อนำส่ง
ขายต่อยังเมืองใหญ่ เช่นกรุเทพ นครราชสีมา บ้านไผ่ เป็นต้น จุดนี้ทำให้คนทั้ง 2 กลุ่มเริ่มรู้จักและคุ้นเคย
กัน และจากการสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ชาวจีนได้เล่าว่าในรุ่นพ่อแม่ของเขารู้จักสนิทสนมกับคนท้องถิ่น
มาก เพราะติดต่อค้าขายกันเป็นประจำ และเคยช่วยเหลือกันด้วย กล่าวคือ เมื่อคนท้องถิ่นเดือดร้อนจาก
การทำนา อันเนื่องมาจากฝนแล้ง หรือน้ำท่วมจะมีการยืมข้าวจากพ่อค้าจีนที่คุ้นเคยกัน ไปปลูกหรือไป
รับประทานก่อน และจะคืนข้าวเท่ากับจำนวนที่ยืม เมื่อสามารถปลูกข้าวในครั้งต่อไปได้11
- การสานสัมพันธ์ระหว่างคนจีนกับผู้ปกครองในท้องถิ่น
คนจีนที่เข้ามาในร้อยเอ็ด มหาสารคามบางคนเข้ามาเพราะถูกชักชวนจากเจ้าเมืองให้มาประกอบ
การค้าในอำเภอนั้น เช่นอำเภอวาปีปทุม ในขณะที่คนจีนส่วนมากอพยพมาจากประเทศจีนเพื่อหนีความอด
อยาก ทำให้ชาวจีนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนสามารถดำรงชีวิตอยู่รอด และปลอดภัยในดินแดนใหม่ที่ตน
เข้ามาทำมาหากิน การสานสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายถึงความปลอดภัย
ความก้าวหน้า และสิทธิพิเศษอื่นๆของตนและกลุ่มด้วย
การสร้างสายสัมพันธ์กับผู้ปกครองของคนจีนมีหลายลักษณะ ได้แก่การแต่งงาน เช่นในจังหวัด
มหาสารคาม คหบดีจีนจากเมืองวาปีปทุม คือนายทองดี อัตถากร แต่งงานกับญาแม่แก้วประภา ภวภูตา
นนท์ ณ มหาสารคาม ซึ่งเป็นธิดาของพระเจริญราชเดช (อุ่น) เจ้าเมืองมหาสารคามคนที่ 312 หรือในจังหวัด
ร้อยเอ็ด ต้นตระกูลอิฐรัชฎ์ นายซือฮวง แซ่ตั้ง เป็นผู้มีความรู้ความสามารถประกอบกับมีบ้านติดกับจวนเจ้า
เมือง คือพระยาขัติยวงษา (เหลา ณ ร้อยเอ็ด) จึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาของเจ้าเมือง และ
11 จากการสนทนากลุ่มในเวทีการรวมกลุ่มผู้รู้จากจังหวัดร้อยเอ็ดและมหาสารคาม เมื่อวันที่ 24
พฤษภาคม พ.ศ.2546
12 ประพิส ทองโรจน์ (บรรณาธิการ). สมาคมชาวจังหวัดมหาสารคาม. (มหาสารคาม : อภิชาติการ
พิมพ์,2539) : 29-32.
7
ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมืองให้เป็นผู้ผูกขาดต้มเหล้า13 หรือกรณีจีนกาสี แซ่เซีย ได้บริจาคข้าว 1 เล้า
แก่ทางการ จึงได้ปูนบำเน็จเป็นหลวงนุกูลกิจคดีจีน14 นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ดูแลคนจีนในร้อยเอ็ดด้วย
คนจีนในยุคนี้เป็นรุ่นจีนอพยพและเป็นรุ่นบุกเบิกทางการค้าและความสัมพันธ์กับท้องถิ่นรวมทั้ง
ผู้ปกครองด้วย และสิ่งที่คนจีนในรุ่นนี้วางรากฐานไว้ ทำให้คนจีนในรุ่นต่อมาสามารถต่อยอดสร้างทุน สร้าง
ฐานะที่มั่นคง และทำให้เมืองเติบโตในเวลาต่อมา
2.ยุคคนจีนอีสานกับชนบท สร้างทุนในการตั้งเมือง พ.ศ.2470-2503
2.1 การเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อธุรกิจค้าข้าวเปลือกขยายตัวมากขึ้น นำไปสู่การตั้งโรงสีข้าวของคนจีนขึ้นเอง พร้อมกับการ
ขยายเส้นทางรถไฟมาถึงขอนแก่น ในปี พ.ศ.2476 การสร้างถนนเชื่อมระหว่างอำเภอและจังหวัดเพื่อความ
สะดวกในการเดินทาง ทำให้ชาวจีนอพยพย้ายเข้าสู่อำเภอรอบนอกเพื่อสะดวกต่อการรับซื้อของป่ากับคน
ท้องถิ่น และย้ายออกในกรณีที่การค้าเบ็ดเตล็ดในอำเภอรอบนอกซบเซา เพราะคนท้องถิ่นนิยมมาซื้อสินค้า
ในเมืองแทน เช่นในปี พ.ศ.2479 มีรถประจำทางวิ่งระหว่างร้อยเอ็ด-กรุงเทพ, ร้อยเอ็ด-บ้านไผ่,ร้อยเอ็ด-
อุบล, ร้อยเอ็ด-สุวรรณภูมิ, ร้อยเอ็ด-วาปีปทุม เป็นต้น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ธุรกิจค้าข้าวเปลือกซบเซา คนจีนเหล่านี้บางคนหันไปค้าของป่าชนิดอื่น
เช่นฝ้าย ปอ จนบางคนสามารถสะสมเงินทุนจากการค้าสินค้าเหล่านี้ได้ เช่นนายสงวน ศิริเกษมทรัพย์ ได้
เล่าว่าในอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม มีการซื้อขายปอกันมากตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 จนบางปีปอขาด
ตลาด พ่อค้าที่มีสินค้าก็สามารถขายปอได้ในราคาสูงถึงกก.ละ 1 บาท ในขณะที่ซื้อปอมา กก.ละ 5- 10
สตางค์ จึงทำให้พ่อค้าบางคนมีฐานะร่ำรวยจากการขายปอในปีนั้น อย่างประมาณปี พ.ศ.2501 บางคน
ร่ำรวย ได้เงินหลายแสนบาท ซึ่งสมัยนั้นนับว่ามาก เพราะความเฮง เนื่องจากช่วงนั้นราคาปอตกมาตลอด
พ่อค้าบางคนไม่กล้าเก็บปอไว้ในโกดังนาน จึงปล่อยขาดในขณะที่ราคาต่ำ แต่บางคนก็ไม่ขาย เมื่อมีคนขาย
ให้ในราคาต่ำมากๆก็ซื้อเก็บเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าราคาจะขึ้นเมื่อไร พอปีต่อมา ราคาปอขึ้น และขึ้นอย่างเร็ว
เนื่องจากคนปลูกปอน้อยลง แต่ตลาดปีนั้นต้องการปอมาก พ่อค้าที่เก็บปอไว้มาก ก็ร่ำรวยภายในพริบตา15
13 ธานี พันแสง. “บทบาทด้านเศรษฐกิจและการเมืองของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขต
เทศบาลเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2398-2540 ” (วิทยานิพนธ์เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม,2543).
หน้า 37.
14 ธานี พันแสง. เรื่องเดิม. หน้า 38
15 จากการสัมภาษณ์นายสงวน ศิริเกษมทรัพย์. อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 27
พฤศจิกายน พ.ศ.2545.
8
ชาวจีนประกอบธุรกิจการค้า สิ่งหนึ่งที่ให้ความสำคัญคือการขยายกิจการ โดยจะขยายกิจการตาม
ขนาดของครอบครัว ถ้าครอบครัวไหนมีลูกหลานมากก็ขยายกิจการมาก ถ้าลูกหลานน้อยก็ขยายเล็กน้อย16
โดยการนำผลกำไรจากการค้ามาขยายกิจการ บางรายใช้แหล่งทุนข้างนอกมาขยายกิจการ กล่าวคือก่อนที่
จะมีธนาคารในอำเภอ การขยายกิจการโดยใช้ทุนข้างนอกจะมาจากการเล่นแชร์ และหวยของกลุ่มพ่อค้าจีน
ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของคนจีนในสมัยนั้น อันนำไปสู่การขยายตัวของเมือง
2.2 การดำรงความเป็นจีน
จีนอีสาน เป็นชาวจีนรุ่นที่ 2 หรือลูกชาวจีนอพยพ ชาวจีนรุ่นนี้เกิดในเมืองไทยแต่ยังคงอยู่ในชุมชน
จีนจึงทำให้ยังคงผูกพันกับความเป็นจีนอยู่ ประกอบกับกฎหมายเรื่องสัญชาติ ที่ทั้งกฎหมายไทยและ
กฎหมายจีนต่างต้องการให้ลูกจีนสังกัดสัญชาติของตน เช่นพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับของรัฐบาลชิง ในปี พ.ศ.
2452 และ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2456 ที่ออกในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำให้ลูก
จีนกลายเป็นบุคคล 2 สัญชาติ และต้องจงรักภักดีต่อทั้งสองแผ่นดิน17 ในขณะที่พ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นจีน
โดยการให้เรียนหนังสือจีน และรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนผ่านโรงเรียนจีน บางคนถูกส่งให้ไปเรียน
หนังสือจีนที่ประเทศจีน โดยไปอาศัยอยู่กับญาติที่นั่น ยิ่งทำให้ลูกจีนมีความผูกพันกับประเทศจีนมากยิ่งขึ้น
จนนำมาสู่การเกิดความรู้สึกชาตินิยม เมื่อจีนอีสานเห็นประเทศจีนได้รับความเดือดร้อน เช่นกรณีญี่ปุ่นบุก
จีน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นขึ้น18 หรือกรณีความขัดแย้ง
ภายในประเทศจีนระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน ได้ส่งผลให้ชาวจีนเกิดการ
แตกแยกกันตามกระแสการเมืองจีนด้วย ตัวอย่างในจังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งเป็น 2 กลุ่มการเมือง คือกลุ่มฮั่ว
เคียวกงส้อ เป็นกลุ่มก๊กมินตั๋ง หรือกลุ่มนิยมนายพลเจียงไคเช็ค ซึ่งส่วนมากจะเป็นจีนสูงอายุหรือจีนเก่าใน
ร้อยเอ็ด กับกลุ่มฮั่วเคียวกงหวย เป็นกลุ่มนิยมเหมาเจ๋อตุง หรือกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ พวกนี้จะเป็นพวกจีน
ใหม่ที่ย้ายมาจากกรุงเทพ แต่ในร้อยเอ็ดทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่เคยทะเลาะวิวาทกัน ต่างกลุ่มต่างทำกิจกรรมของ
ตน และแต่ละกลุ่มจะรู้ว่าใครอยู่กลุ่มไหนซึ่งจะไม่ติดต่อสัมพันธ์กัน19
16 พลศักดิ์ จิรไกรศิริ. บูรณาการของเยาวชนจีนในประเทศไทย. (ไม่ปรากฎสถานที่พิมพ์,2532):
หน้า 117.
17 สกินเนอร์. จี.วิลเลี่ยม. สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์. Chinese society
in Thailand : an Analytical History. ผู้แปล พรรณี ฉัตรพลรักษ์ และคณะ. (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช,
2529) : หน้า 167.
18 จากการสัมภาษณ์นายนพดล เตชะธุวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 5
กรกฎาคม พ.ศ.2545
19 จากข้อมูลของนายวีระ วุฒิจำนงค์ ในการสนทนากลุ่มผู้รู้ในจังหวัดร้อยเอ็ดและมหาสารคาม ที่
โรงแรมตักศิลา วันที่ 24 พฤษภาคม 2546.
9
การดำรงความเป็นจีนอีกประการหนึ่งคือการกล้าแสดงอัตลักษณ์ความเป็นจีนเป็นครั้งแรก โดย
การจัดประเพณีงานงิ้วเพื่อสักการะบูชาเทพเจ้าปุนเถ่ากง-ม่า อำเภอเมืองจังหวัดร้อยเอ็ด จัดประเพณีงาน
งิ้วเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2489 ส่วนในอำเภอเมืองจังหวัดมหาสารคามจัดประเพณีงานงิ้วเป็นครั้งแรก เมื่อ
ปี พ.ศ.2500 ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอำเภอที่ชาวจีนอยู่ และความรู้สึกถึงความ
เป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นจึงกล้าแสดงอัตลักษณ์ของจีนออกมาก็ได้
2.3 ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งในท้องถิ่นของจีนอีสาน
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงกล่าวคือเปิดโอกาสให้
ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านและเมืองมากขึ้น โดยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บริหารงาน
ในระดับชาติ และการเป็นสมาชิกสภาเทศบาล บริหารงานในระดับท้องถิ่น ซึ่ง
รัฐบาลให้สามัญชนมีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งและในการเป็นผู้แทนของราษฎร ปรากฏว่าลูกจีนตื่นตัว
ในการเข้าร่วมบริหารบ้านและเมืองในครั้งนี้มาก แต่กฎหมายไม่ได้เปิดทางให้ โดยระบุไว้ใน พ.ร.บ.การ
เลือกตั้ง พ.ศ.2494 ว่าคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น สิ่งสำคัญคือ บิดาต้องมีสัญชาติไทย20 ซึ่ง
หมายถึงลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลที่พ่อแม่ยังถือใบต่างด้าว ไม่มีสิทธิในการเป็นผู้แทนราษฎร แต่ประเด็นนี้
ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาบริหารบ้านและเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นของลูกจีนเหล่านี้
เลย ซึ่งจะเห็นได้จากนักการเมืองรุ่นแรกของร้อยเอ็ดและมหาสารคาม ดังนี้
ชื่อ-สกุล การศึกษา บิดา-มารดา ตำแหน่งทางการเมือง ปีที่ได้รับเลือกตั้ง
นายถวิล อุดล นิติศาสตร์
บัณฑิต
นายฟัก แซ่จู
นางนิ่ม แซ่จู
สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรร้อยเอ็ด
2480-2481,
2481-2488
นายฮวด ทองโรจน์ ม.6 นายเป็งกิม แซ่ตั้ง
นางแจ้ ไพบูลย์
นายกเทศมนตรี
อ.เมือง ม.ค.
สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร ม.ค.
พ.ศ. 2481,
2483-2484
พ.ศ.2491-2494
นายเกียรติ นาคะพงษ์ อนุ น.บ. นายเป็งกิม แซ่ตัง
นางคำปลิว
สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร ม.ค.
พ.ศ.2500
นายสมพร จุรีมาศ นายกิม แซ่กิม
นางบัว แซ่กิม
สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร ร้อยเอ็ด
พ.ศ.2500 2512,
2519, 2522
20 สมัคร ธนมิตต์. ระบบการเลือกตั้งในประเทศไทย. (กรุงเทพ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์,2498): หน้า 87.
10
นอกจากการได้เข้ามาบริหารบ้านและเมืองแล้วยังมีการสร้างเครือข่ายทางการเมืองเกิดขึ้นเป็นครั้ง
แรก โดยการสนับสนุนญาติพี่น้องให้เข้ามาเล่นการเมือง เช่นในกรณีจังหวัดมหาสารคาม ตระกูลอัตถากร
ได้แก่นายทองม้วน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มหาสารคาม พ.ศ.2476-80,2481-2488 พี่ชายของนายบุญ
ช่วย อัตถากร นายกเทศมนตรี อ.เมือง มหาสารคาม พ.ศ.2485 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 6 สมัย คือ
พ.ศ.2489, 2491, 2495, 2500, 2512 แล้วยังได้เกี่ยวดองกับตระกูลทองโรจน์ โดยเป็นเขยกับตระกูลอัตถา
กร กล่าวคือ นายฮวด ทองโรจน์ นายกเทศมนตรี 2 สมัย แต่งงานกับนางทุเรียน อัตถากร พี่สาวของนาย
ทองม้วน และนายบุญช่วย อัตถากร และนายเรืองยศ ทองโรจน์ หลานชายซึ่งเป็นลูกของนางทุเรียน ทอง
โรจน์ (อัตถากร) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปีพ.ศ.2495, 2500 ด้วย จากเครือข่ายทางการเมืองนี้ ทำให้
ตระกูลอัตถากรและทองโรจน์ มีอิทธิพลทางการเมืองในเมืองมหาสารคามในขณะนั้น
จีนอีสานยังคงผูกพันกับความเป็นจีนไม่ต่างกับรุ่นพ่อและแม่ แต่รุ่นนี้มีสัญญาณของการ
เปลี่ยนแปลงอยู่บ้างในลูกจีนบางกลุ่ม หลังจากที่รัฐเปิดโอกาสให้เข้ามาบริหารบ้านและเมือง และเมื่อถึงรุ่น
หลาน ความเป็นท้องถิ่นเริ่มมีมากขึ้น ประกอบกับรากฐานทางเศรษฐกิจก็เข้มแข็งขึ้นด้วย ซึ่งจะกล่าวใน
หัวข้อต่อไป
3.ยุคคนอีสานเชื้อสายจีนกับการ “นำเมือง” พ.ศ.2504-2529
3.1 การเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นของจีนรุ่นที่ 3
การตื่นตัวในลัทธิชาตินิยมของจีนอีสาน พอมาถึงรุ่นหลานความผูกพันกับความจีนที่เกี่ยวพันกับ
ประเทศจีนลดน้อยลง เพราะหลังจากที่จอมพลแปลก พิบูลสงครามสั่งปิดโรงเรียนจีน และบังคับให้หลาน
จีนรุ่นต่อมาต้องเรียนหนังสือไทยร่วมกับคนท้องถิ่น จึงทำให้หลานจีนรุ่นที่ 3 นี้ รักและผูกพันกับแผ่นดินไทย
และสนิทสนมกับคนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็น”อีสานเชื้อสายจีน”
ในขณะเดียวกันรากฐานทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษก็ยังคงมีการสืบทอดต่อเนื่องกันมา แต่ถูกปรับเปลี่ยน
เพื่อประโยชน์ในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
ชาวจีนให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่ม วัฒนธรรมการรวมกลุ่มของชาวจีนจึงยังคงอยู่ ซึ่ง
เปลี่ยนแปลงการรวมกลุ่มทางการเมืองมาเป็นการรวมกลุ่มเพื่อสังคมและการจัดงานประเพณีตามธรรม
เนียมจีนแทน เช่นสมาคมชาวจังหวัดมหาสารคาม เป็นการรวมกลุ่มของพ่อค้าจีนในอำเภอเมือง
มหาสารคามซึ่งมีการรวมกลุ่มมานานแล้ว และได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อ พ.ศ.2525
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ สร้างความสามัคคีของชาวจังหวัดมหาสารคาม เพื่อ
สนับสนุนให้ชาวจังหวัดมหาสารคามมีอาชีพที่มั่นคง เพื่อเป็นสื่อกลางประสานระหว่างข้าราชการกับชาว
มหาสารคาม เพื่อดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การศึกษาและกีฬา21
21 ประพิส ทองโรจน์ (บรรณาธิการ). เรื่องเดิม.หน้า 7.
11
ส่วนในจังหวัดร้อยเอ็ด มีการจัดตั้งมูลนิธิอิลักเซียงตึ๊งขึ้นในปี พ.ศ.2523 ส่วนหนึ่งของมูลนิธินี้ได้
เป็นสมาชิกของสมาคมสหมิตรการกุศล หรือ “เต็กก่า” แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาคมที่ช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยทุกประเภท มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ สำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมาคมนี้มีจุดเริ่มต้นที่
ประเทศจีน และแพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย22 สำหรับ
ร้อยเอ็ด ชื่อสมาคมจีอิกเกาะ (ร้อยเอ็ดการกุศล) และมหาสารคาม ชื่อสมาคมจีเสียงเกาะ (มหาสารคามการ
กุศล) กิจกรรมของสมาคม คือการช่วยประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง การล้างป่า
ช้า โดยกลุ่มนี้จะนับถือเทวอาจารย์ 4 องค์ คือพระอาจารย์หลิว ชุน ฮวง พระอาจารย์เอี้ย อุ้ง ซ้ง พระ
อาจารย์เตียว เฮี้ยง ท้ง และพระอาจารย์โง้ว มั่ง อู้ และพระอรหันต์จี้กง ซึ่งเทวรูปที่นับถือเหล่านี้เป็นผู้ที่มี
จิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือภูตผีวิญญาณ23
จากจุดประสงค์การตั้งสมาคมและมูลนิธิ ทำให้เห็นว่าความเป็นจีนของคนจีนในรุ่นนี้มีการ
เปลี่ยนแปลง คือมีการแสดงออกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องการพื้นที่ที่ตน
สามารถแสดงตัวตนในท้องถิ่นได้ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดจากการสร้างศาลเจ้าตามแบบจีน และการสร้างศาลเจ้า
จีนในรั้วเดียวกับศาลของคนท้องถิ่น
การสร้างศาลเจ้าในฐานะที่จีนรุ่นที่ 3เป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น มีความเชื่อในสิ่งเดียวกับคนท้องถิ่น
แต่มีระเบียบประเพณีที่ต่างจากคนท้องถิ่น จึงเป็นที่มาของการสร้างศาลเจ้าเฉพาะของกลุ่มชาวจีนขึ้นมา
เช่นในอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม คนจีนในอำเภอเคารพสักการะเจ้าปู่มเหศักดิ์เหมือนกับคน
ท้องถิ่น เมื่อคนจีนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น จึงสร้างศาลให้เจ้าที่ตนเคารพอยู่ ในขณะที่ศาลเดิม ซึ่งเป็น
ศาลทรงไทย ซึ่งอยู่ด้านหน้าของศาลจีน (2 ศาลนี้อยู่ในรั้วเดียวกัน) ก็ยังคงอยู่ โดยแบ่งแยก คนจีนจะไหว้
ศาลจีน และประกอบพิธีกรรมในเทศกาลตามความเชื่อแบบจีน ส่วนศาลทรงไทย ชาวบ้านเรียกว่า ศาล
ไทย เป็นของคนท้องถิ่นที่เข้าไปไหว้ ไปบนบานตามความเชื่อ พร้อมกับประกอบพิธีกรรมตามประเพณี เช่น
ประเพณีไหว้ผี เดือน 6 ทั้งนี้ทั้ง 2 ศาลจะไม่เกี่ยวข้องกัน
22 สมาคมสหมิตรการกุศล “เต็กก่า” แห่งประเทศไทย. “โครงการก่อสร้างศาลเจ้าจี้กง เมืองฮงสุน ณ
ภูเศียรพยัคฆา เมืองฮงสุน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” คุณธรรมสาร. 2, 7 (กรกฎาคม-กันยายน
2543), หน้า 42
23 จากการสัมภาษณ์นายสุรพล สุรกุลประภา. มูลนิธิอิลักเซียงตึ๊ง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. เมื่อ
วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2545
12
ศาลไทย ศาลจีนในรั้วเดียวกัน ในศาลเจ้าปู่มเหศักดิ์ อำเภอวาปีปทุม
3.2 การเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น และการแสดงออกถึงตัวตนของความเป็นจีนมาจากความก้าวหน้า
ทางธุรกิจการค้าของคนจีน ซึ่งทำให้เมืองเติบโต อันมาจากการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจในภาคอีสานของรัฐบาล
เนื่องจากการกลัวภัยคอมมิวนิสต์ของประเทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้รัฐบาลกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติขึ้นเพื่อต่อสู้กับความยากจน และสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน พ่อค้าจีนได้เข้ามา
สอดรับนโยบายการพัฒนาของรัฐบาล เช่นการประกอบธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะการค้าพืชไร่ ในอดีตการค้า
พืชไร่ ได้แก่ ข้าว ฝ้าย ปอ จนกระทั่งมาถึงมันสำปะหลัง การเติบโตของธุรกิจพืชไร่ จะเห็นได้จากการเกิดขึ้น
ของโรงงานมันสำปะหลังในจังหวัดมหาสารคาม จากการรวบรวมข้อมูลของกองควบคุมโรงงาน กรม
โรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513-2522 มีโรงงานที่จดทะเบียนไว้ 89 โรงงาน
เป็นโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุการเกษตรเพียงอย่างเดียว คือโรงงานมันสำปะหลังถึง 78 โรงงาน ส่วน
ใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก ทุนตั้งแต่หมื่นบาทขึ้นไป เป็นโรงงานที่ใช้ทุนเกินล้านบาทเพียงไม่กี่โรงงาน
สถานที่ตั้งและจำนวนโรงงานมันสำปะหลังของจังหวัดมหาสารคาม ตั้งแต่ พ.ศ.2513-2522 24
ที่ตั้ง จำนวนโรงงาน ทุน คนงาน (คน)
อำเภอเมือง 5 2,243,000 39
อำเภอบรบือ 19 4,865,000 109
24 กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. แผนการใช้ที่ดิน จังหวัดมหาสารคาม. (กรุงเทพ:
โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ. 2525) : หน้า 78.
13
อำเภอเชียงยืน 18 11,447,000 133
อำเภอโกสุมพิสัย 12 2,468,000 82
อำเภอนาเชือก 12 2,147,000 61
อำเภอกันทรวิชัย 9 2,147,000 41
อำเภอวาปีปทุม 1 2,420,000 10
อำเภอนาดูน 2 52,000 8
นอกจากนี้ยังเกิดการเติบโตของธุรกิจอื่นอีก เช่นธุรกิจที่เกี่ยวกับยานยนต์และปั๊มน้ำมัน อัน
เนื่องมาจากการสร้างสาธารณูปโภคในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น เช่นถนน การเพิ่มขึ้นของจำนวนรถสามารถ
สะท้อนให้เห็นถึงความเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวกับยานยนต์ได้ด้วย
จำนวนยานยนต์ที่จดทะเบียนเป็นรายประเภท รายจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2519-2528
ปี พ.ศ. รถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก
มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ร้อยเอ็ด
2519 282 346 1,906 2,804 1,442 1,152
2522 327 456 3,099 6,018 2,274 3,568
2525 459 651 5,765 9,124 1,885 2,762
2528 689 1,180 8,370 19,438 2,231 3,908
ที่มา : กองทะเบียน กรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย
3.3 การรวมกลุ่มทางการค้า
เมืองมีการเติบโตมากขึ้น ผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เกิดธุรกิจใหม่ๆขึ้นมากมาย
โดยมากจะเป็นธุรกิจซึ่งค้าขายสินค้าเฉพาะอย่าง เช่นยา รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ทอง จนนำไปสู่การ
แข่งขันทางการค้าขึ้น การแก้ปัญหาของพ่อค้าคือการรวมกลุ่มกันทางการค้า เพื่อวางนโยบายการไม่ขายตัด
ราคากันเอง การต่อรองด้านภาษีกับหน่วยราชการ และการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน โดยกลุ่มที่มี
การรวมกลุ่มกันเป็นชมรมแรก คือชมรมร้านขายยา ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2515 เพราะมีร้านขาย
ยาขนาดใหญ่มาเปิดใหม่ในสมัยนั้น และขายยาราคาถูก ทำให้ร้านขายยาเล็กๆอยู่ไม่ได้ต้องปิดกิจการไป
จึงทำให้เกิดการรวมกลุ่มกันขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ปกป้องผลประโยชน์ อันเกิดการเอาเปรียบของรัฐ เช่น
การเก็บภาษีที่สูง การออกกฎหมายที่เข้มงวดมาก โรงงานผลิตยาลดการให้สินเชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ชมรมร้าน
ขายยาจะรวมตัวกันต่อรองกับภาครัฐหรือเจ้าของโรงงาน นอกจากนี้ชมรมร้านขายยายังมีทั่วประเทศ ทั้ง
14
ชมรมยาแห่งประเทศไทย ชมรมยาแห่งภาค ชมรมยาจังหวัด สมาคมยาแผนโบราณ ชมรมผู้ผลิต ชมรม
ผู้นำเข้า ชมรมยาแผนโบราณจีน เมื่อมีปัญหาทุกชมรมจะร่วมมือกัน25
นอกจากนี้ยังมีชมรมอื่นอีก เช่นชมรมโรงสีข้าว ชมรมหนังเร่และเพื่อนทุกอาชีพ ชมรมผู้ค้าเหล็ก
ชมรมผู้ประกอบการผ้าม่าน ชมรมผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ปัจจุบันมีหลายชมรมปิดตัวไป เพราะสมาชิก
ไม่สามารถทำตามกฎระเบียบของกลุ่มได้
ในอำเภอรอบนอกก็มีการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันทางการค้าด้วยเช่นกัน เช่นในอำเภอสุวรรณภูมิ
มีชมรมพ่อค้าตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 นอกจากพ่อค้าจะช่วยเหลือกันทางการค้าแล้ว ยังร่วมกันบำเพ็ญ
ประโยชน์เพื่อสังคม และเป็นตัวแทนในการจัดประเพณีงานงิ้วด้วย ดังตัวอย่างโครงสร้างนี้
โครงสร้างชมรมพ่อค้า อ.สุวรณภูมิ
การรวมกลุ่มทางการค้าของพ่อค้าเหล่านี้ ทำให้เห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกัน
การปรองดองกันในกลุ่มพ่อค้าชาวจีน ยังทำให้เห็นถึงความเข้มแข็งของกลุ่มพ่อค้าชาวจีน ผู้มีบทบาทใน
การกำหนดเศรษฐกิจในท้องถิ่นด้วย
3.4 การวางระบบผูกขาดทางการเมือง
เมื่อคนจีนรุ่นนี้มีความเป็นคนท้องถิ่น ประกอบเมืองขยายตัวจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้
พ่อค้าจีนบางคนเริ่มสนใจจะเล่นการเมือง พร้อมกับการวางเครือข่ายทางการเมือง นำไปสู่การผูกขาดทาง
การเมืองในอนาคต ตัวอย่างเช่นกลุ่มพิทักษ์ท้องถิ่นในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นกลุ่มการเมืองระดับ
ท้องถิ่น ตั้งเมื่อ พ.ศ.2517 โดยนายถวิล จุรีมาศ อดีตสมาชิกสภาเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เจ้าของธุรกิจโรง
25 จากการสัมภาษณ์นายวีระ วุฒิจำนงค์ .อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์
พ.ศ.2545
ชมรมพ่อค้า
-มีสมาชิกประมาณ 80-100คน
-ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีน
-เลือกประธานปีละ 1 ครั้ง
-จัดเวรยามในการ
ดูแลความปลอดภัย
(ปัจจุบันเลิก)
-ช่วยเหลือสังคมด้าน
อื่นๆ
-ช่วยเหลือกัน
ทางการค้า
-ร่วมมือกับตำรวจใน
งานกู้ภัยต่างๆ
ร่วมมือกับเถ่า
นั้งจัดงานงิ้ว
15
ภาพยนตร์ถวิลภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจหนังเร่รายใหญ่ได้จัดตั้งกลุ่มขึ้น โดยได้ชักชวนนางสมพิศ
ทรัพย์ศิริ (เป็นน้องสาว) นายสมควร จุรีมาศ (น้องชาย) นายสมนคร จุรีมาศ (หลาน เป็นบุตรนายสมพร จุรี
มาศ ซึ่งเป็นพี่ชาย) นายเรวัตร มาศมาดล (พี่เขย) และเพื่อนสนิทอีกหลายคนเข้าร่วมกลุ่ม ต่อมากลุ่มนี้
ได้รับเลือกตั้งให้บริหารงานเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด และมีบทบาททางการเมืองระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ
ในปัจจุบัน26
เมื่อชาวจีนรุ่นนี้มีความรู้สึกเป็นคนท้องถิ่น แต่ขณะที่มีศักยภาพสูงกว่าคนท้องถิ่น อันเนื่องมาจาก
ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า ทำให้จีนรุ่นนี้กล้าที่จะเป็นผู้วางแนวคิดของตนเองลงในชุมชน เช่นการการสร้าง
ศาลเจ้าตามแบบจีน หรือการวางฐานอำนาจทางการเมืองในท้องถิ่น และเมื่อความรู้สึกถึงความเป็นคน
ท้องถิ่น พร้อมกับการได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นของหลานจีน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจที่ต่าง
จากบรรพบุรุษ และการปรับเปลี่ยนของวัฒนธรรมจีนตามความเหมาะสมของแนวคิดที่เปลี่ยนไป ดังจะเห็น
ในหัวข้อต่อไป
4.ยุคคนอีสานเชื้อสายจีนกับการ “สร้างเมือง” พ.ศ.2530-2545
4.1 ความเป็นคนท้องถิ่น
ลูกหลานจีนในรุ่นนี้จะรู้สึกว่าตนเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งแสดงออกมาในรูปการเข้าร่วมกิจกรรมกับคน
ท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นประเพณีของท้องถิ่น รวมถึงการจัดตั้งมูลนิธิเกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ขึ้น เช่นที่
อำเภอพนมไพร มีมูลนิธิวัดกลางอุดมเวทย์ ตั้งเมื่อปี พ.ศ.2532 มีพ่อค้าในตลาดซึ่งส่วนมากเป็นชาวจีน
และคนท้องถิ่นเป็นกรรมการร่วมกัน โดยคนจีนจะเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน คนท้องถิ่นและคนจีนร่วมกัน
บริหารงาน
ในขณะที่ประเพณีงานงิ้วยังคงมีความสำคัญในแต่ละอำเภอ แต่ประเพณีงานงิ้วได้รับการยอมรับ
จากคนท้องถิ่นมากขึ้น โดยผู้เข้าร่วมเป็นเถ่านั้งหรือกรรมการงานงิ้วจากเดิมที่มีแต่คนจีนแต่ปัจจุบันคน
ท้องถิ่นที่มีความศรัทธาต่อเจ้าปู่ หรือเทพปุนเถ่ากง-ม่าก็สามารถเข้าร่วมเป็นเถ่านั้งได้ โดยจะมีคนจีนที่รู้
ประเพณีกำกับการประกอบพิธีกรรมอีกทีหนึ่ง ประเพณีงานงิ้ว นอกจากมีมหรสพงิ้วที่ต้องมีเพื่อแสดงให้เจ้า
ดูแล้ว ยังมีหมอลำ ลิเก ซึ่งเป็นมหรสพที่คนท้องถิ่นชอบดู ปัจจุบันประเพณีงานงิ้วจึงกลายเป็นประเพณี
ประจำอำเภอนั้นๆ
นอกจากนี้มหรสพงิ้ว ได้กลายเป็นมหรสพที่คุ้นเคยของคนอีสาน ซึ่งจะเป็นที่รู้กันในปัจจุบันว่าคน
อีสานเป็นนักแสดงงิ้วแทนลูกหลานคนจีนที่ไม่นิยมเล่นงิ้ว เพราะมีโอกาสทางอาชีพมากกว่าจากการ
สัมภาษณ์นายวีระ วุฒิจำนงค์ คนในอำเภอเมืองร้อยเอ็ด และเป็นผู้สนใจเรื่องราวในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้
กล่าวว่าตนได้รวบรวมการประกอบอาชีพของคนร้อยเอ็ดอยู่ว่าคนร้อยเอ็ดที่ไปอยู่ที่อื่นนั้น ส่วนมากทำอาชีพ
26 นุชากร มาศฉมาดล. “บทบาทของกลุ่มพิทักษ์ท้องถิ่นในการแข่งขันเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล
เมืองร้อยเอ็ด พ.ศ.2517-2538” (วิทยานิพนธ์เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2540): หน้า 85-86
16
อะไรบ้าง และสิ่งที่ค้นพบคือ เป็นนักแสดงงิ้ว ซึ่งจะเป็นทั้งหมู่บ้าน ในจังหวัดร้อยเอ็ด จะมีอยู่ 2 หมู่บ้าน คือ
หมู่บ้านคุยค้อ กับหมู่บ้านคุยขนวน อำเภอเมือง โดยเริ่มจากมีคนในหมู่บ้านไปแสดงงิ้ว และรายได้ดี จึง
กลับมาชักชวนญาติพี่น้องไปแสดงด้วย เลยกลายเป็นว่าไปทั้งหมู่บ้าน 27
หมอลำ มหรสพที่ต้องมีคู่ประเพณีงานงิ้วในแต่ละอำเภอ
4.2 การปรับเปลี่ยนของวัฒนธรรมจีน
ถึงแม้ว่าจีนรุ่นนี้จะรู้สึกถึงความเป็นคนท้องถิ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรู้ว่าตนเองเป็นจีนอยู่ และ
การแสดงออกนี้จะออกมาในรูปของการวางโครงสร้างภายในของสมาคม มูลนิธิ การทำงานร่วมกันระหว่าง
คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีบทบาทในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีจีนต่างๆ การจัดการภายในที่
เป็นระบบนี้สามารถสะท้อนให้เห็นความเข้มแข็งของการรวมกลุ่มได้ เช่นในจังหวัดมหาสารคาม มีสมาคม
ชาวจังหวัดมหาสารคาม เป็นสมาคมที่ใหญ่ที่สุดมีวิธีการวางโครงสร้างสมาคม ดังนี้
27 จากการสัมภาษณ์นายวีระ วุฒิจำนงค์. อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์
พ.ศ.2545.
สมาคมชาวจังหวัดมหาสารคาม
นายกสมาคมฯ มาจากเถ่านั้งชุด1-5 ส่งชื่อ
ตัวแทนคณะกรรมการแต่ละชุด ชุดละ 5 คนมา
เลือกประธาน 1 คน ใช้วิธีเลือกแบบยกมือ คะแนน
เสียง 2 ใน 3
กรรมการสมาคม เป็นตัวแทนจาก
เถ่านั้งทั้ง 5 ชุด ส่งมาชุดละ 5 คน
รวมกรรมการมี 25 คนในแต่ละสมัย
17
เพราะฉะนั้นสมาชิกสมาคมชาวจังหวัดมหาสารคามจึงมาจากการเป็นเถ่านั้งหรือกรรมการงานงิ้วซึ่งเป็น
ตัวแทนชุมชนจีนในการจัดประเพณีต่างๆของชาวจีน และเป็นผู้คัดเลือกกรรมการและนายกสมาคมชาว
จังหวัดมหาสารคามด้วย
ในขณะที่มูลนิธิอิลักเซี้ยงตึ๊ง เป็นมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในร้อยเอ็ด มีการวางโครงสร้างมูลนิธิ ดังนี้
ส่วนโครงสร้างศาลเจ้าร้อยเอ็ด ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดประเพณีงานงิ้วมีลักษณะ ดังนี้
-ช่วยเหลือสมาชิก
สมาคม เช่นเจ็บป่วย
เสียชีวิต
ช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัย แจก
สิ่งของบรรเทาทุกข์
จัดงานงิ้ว โดย
เป็นกรรมการ
เถ่านั้ง
ร่วมมือกับหน่วย
ราชการในการทำ
กิจกรรมต่างๆ
ที่ปรึกษา 9 คน (คัดเลือกจากอาวุโส
ซึ่งคนจีนส่วนใหญ่ยอมรับ)
กรรมการมูลนิธิ
(อย่างน้อย 32 คน เลือกโดยใช้
วิธีเสนอชื่อแล้วลงเลือกตั้ง)
มูลนิธิอิลักเซี้ยงตึ๊ง
สุสานที่สวนสน อ.ธวัชบุรี
(แต่เดิมเอกชนเป็นผู้ดูแล แต่
หลังจากที่อาจารย์หยกไล้ ซึ่ง
เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา
สวนสนเสียชีวิต เอกชนเลย
ยกให้มูลนิธิดูแล)
จีอิกเกาะ
(สาขาของสห
มิตรการกุศล
(เต็กก่า)
หน่วยกู้ภัย
อิลักเซี้ย
งตึ๊ง
ศาลเจ้าร้อยเอ็ด
ที่ปรึกษา 9 คน (เลือกจากผู้
อาวุโส ที่ได้รับการยอมรับ)
กรรมการศาลเจ้า 60 คน
(คัดเลือกโดยการจับสลากจากรายชื่อ
ร้านค้า)
18
การทำงานร่วมกันระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับประเพณีจีนนี้เท่ากับ
เป็นการตอกย้ำความเป็นจีนให้แก่คนรุ่นใหม่ แต่ความเป็นจีนของคนรุ่นใหม่นี้จะต่างจากความเป็นจีนของ
คนรุ่นก่อน สูตรความเป็นจีนของคนรุ่นใหม่จึงมีทั้ง ความเป็นคนท้องถิ่น+การศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจาก
ตะวันตก ทำให้วัฒนธรรมจีนมีการปรับเปลี่ยน ดังที่จะกล่าวถึงต่อไป คือ
ความเชื่อเรื่องประเพณีในเทศกาลต่างๆของคนจีนมีการเปลี่ยนแปลง โดยเทศกาลส่วนมากจะหายไป แต่
บางครอบครัวยังคงดำรงไว้ครบ 8 เทศกาล28 เพราะยังมีคนแก่ซึ่งรู้ประเพณีเป็นผู้ปฎิบัติ สันนิษฐานว่าเมื่อ
คนเฒ่าคนแก่ที่รู้ประเพณีเสียชีวิตแล้ว ประเพณีหรือเทศกาลย่อยๆก็จะหายไปด้วย แต่ประเพณีที่คิดว่าจะ
ยังคงได้รับการสืบทอดอยู่ คือประเพณีการไหว้เจ้าและบรรพบุรุษในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือว่าเป็นวันปีใหม่
ของคนจีน เทศกาลเช็งเม็ง เป็นการไหว้บรรพบุรุษที่หลุมฝังศพและการพบปะญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลกัน
เทศกาลสารทจีน เป็นการไหว้บรรพบุรุษและผีไม่มีญาติ และไหว้สิ้นปี คือการจัดงานงิ้ว
คนจีนในร้อยเอ็ดและมหาสารคามยังคงดำรงประเพณีตรุษจีน สารทจีน วันเช็งเม็ง หรือไหว้
ครบรอบวันตาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าเทศกาลเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการไหว้บรรพบุรุษทั้งสิ้น
ส่วนประเพณีที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของแต่ละครอบครัวนั้น ประเพณีงานศพ สำหรับชาวจีนถือว่า
สำคัญมาก เพราะเป็นการกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นครั้งสุดท้าย ตัวอย่างคนจีนในร้อยเอ็ด มีวิธีการในการ
จัดพิธีศพ คือ ส่วนมากจะเริ่มนิยมเผาศพ และนำกระดูกใส่ฮวงซุ้ย ไว้ที่สุสาน เช่นสวนสน อำเภอธวัชบุรี
จังหวัดร้อยเอ็ด และจะไปไหว้ที่หลุมฝังศพในวันเช็งเม็ง29 ลักษณะฮวงซุ้ยจะคล้ายฮวงซุ้ยสำหรับฝังของคน
จีนโดยทั่วไป แต่ฮวงซุ้ยที่ใส่กระดูกหลังจากเผาศพนี้จะเล็กกว่าดังตัวอย่างในภาพ บางคนจะนำศพไปไว้ที่
สุสานบ้านเดิมที่พวกเขาอพยพมา เช่นที่อุบลราชธานี บ้านไผ่ นครราชสีมา ฯลฯ แต่บางบ้านใช้เผาศพ
และเอากระดูกไว้ในโกศนำไปไว้ที่วัด แบบคนไทย จะไหว้ในวันครบรอบวันตายเท่านั้น โดยไม่ได้ไหว้ใน
28 ไหว้ครั้งที่ 1 คือไหว้เทศกาลตรุษจีน มีคำเรียกว่า ง่วงตั้งโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 2 คือเทศกาลชาวนา “ ง่วงเซียวโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 3 คือเทศกาลไหว้เช็งเม็ง “ เช็งเม็งโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 4 คือเทศกาลขนมจ้าง “ โหงวเหว่ยโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 5 คือไหว้สารทจีน “ ตงง้วงโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 6 คือไหว้พระจันทร์ “ ตงชิวโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 7 คือไหว้ขอบคุณเจ้า “ ตังโจ่ย
ไหว้ครั้งที่ 8 คือไหว้สิ้นปี “ ก๊วยนี้โจ่ย
29 จากการสัมภาษณ์นายพรชัย สุรศักดิ์นิธิกุล. อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด วันที่ 2
พฤศจิกายน พ.ศ.2545
19
วันเช็งเม็ง นอกจากนี้การให้ความสำคัญหลังการจัดงานศพ เช่นยกข้าว ยกน้ำให้ศพ ซึ่งส่วนมากจะจัดที่
บ้าน ที่คนจีนเรียกว่า ไหว้ซุ้ง ก็ไม่มีแล้ว ปัจจุบันหันมาใช้วิธีใส่บาตรพระแทน เป็นต้น
ฮวงซุ้ยใส่กระดูกในสุสาน ที่สวนสน อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด
ส่วนประเพณีแต่งงาน การคลุมถุงชน เปลี่ยนเป็นลักษณะการดูตัว แนะนำให้รู้จักกัน บางครอบครัว
ยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกลูกเขย ลูกสะใภ้เป็นคนจีนเหมือนกัน แต่ถ้าผู้ชายจีนบางคนที่รักกันเอง
กับคนท้องถิ่น (ผู้หญิงที่ไม่มีเชื้อจีน) เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องพาภรรยาเข้าบ้าน และภรรยาจะต้องเข้ามาดูแล
พ่อแม่สามี รวมทั้งการสอนวิธีการปฏิบัติตนทุกอย่าง เช่นการดูแลครอบครัวและญาติสามี การไหว้เจ้า
ตามความเชื่อของคนจีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่ของลูกสะใภ้ ยกเว้นบางบ้านที่ผู้ชายแต่งงานและไปอยู่
ข้างนอกกับภรรยา อาจจะไม่ต้องทำตามประเพณีเหมือนอยู่ในครอบครัวใหญ่ ในกรณีที่ผู้ชายท้องถิ่นบาง
คนที่แต่งงานกับผู้หญิงจีนและเข้าไปอยู่บ้านผู้หญิง ก็ต้องอยู่ในกรอบประเพณีของครอบครัวจีนเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีกรณีของผู้หญิงท้องถิ่นที่ได้รับการศึกษาสูง และสามารถพึ่งพิงตนเองได้ ผู้หญิง
กลุ่มนี้จะคล้อยตามครอบครัวสามีในบางโอกาส เช่นเข้าร่วมพิธีตามประเพณีจีนได้ ผู้หญิงกลุ่มนี้จะซึมซับ
วัฒนธรรมจีนบ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นตัวของตัวเองด้วย ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเลี้ยงลูก โดยกลุ่มนี้
จะเลี้ยงลูกแบบผสมผสาน คือวัฒนธรรมดั้งเดิม (ทั้งไทย-จีน) กับวัฒนธรรมใหม่ ที่ตนได้รับอิทธิพลจากโลก
ภายนอกและจากการศึกษา เช่นอาจารย์สุภลักษณ์ อรรถรังสรรค์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่งงานกับชายจีนที่มีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น และแยก
ครอบครัวมาอยู่ที่มหาสารคาม ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตนให้ลูกสาวเรียนภาษาจีนจากปู่ย่า เพราะต้องการให้ลูก
20
รู้จักมากกว่าหนึ่งภาษา คือภาษาไทย และตนเคยอ่านหนังสือพบว่ามีคนวิจัยว่าเด็กสามารถแยกภาษาได้ว่า
จะใช้ภาษานี้กับใคร จึงอยากพิสูจน์ และตนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าลูกต้องรู้วัฒนธรรมจีนและไทย เพราะ
เหตุใด แต่ก็สอนเท่าที่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี เช่นการยกมือไหว้ การเคารพผู้ใหญ่ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน
สามีก็ไม่ได้เคร่งครัดประเพณีจีนมาก โดยตนจะกลับไปไหว้เจ้าที่บ้านสามีเท่านั้น และไม่ได้จัดไหว้ที่บ้าน
ใหม่ของตน 30
ส่วนกรณีความเชื่อว่าลูกชายคนโตต้องดูแลครอบครัว เมื่อพ่อแม่แก่ชรา ปัจจุบันมีการ
เปลี่ยนแปลงความเชื่อนั้น จากการสอบถามหลายๆบ้าน บางคนอยู่กับลูกสาว บางคนอยู่กับลูกชายคน
เล็ก ซึ่งปัจจุบันการที่พ่อแม่ที่มีอายุมากแล้ว จะอยู่กับลูกคนไหน ขึ้นอยู่กับลูกว่าคนไหน หรือครอบครัวของ
ลูกคนไหนพร้อมที่จะดูแลพ่อแม่ได้ พ่อแม่ก็เลือกจะไปอยู่กับครอบครัวลูกคนนั้น
4.3 การเปลี่ยนแนวคิดทางธุรกิจ
ลูกหลานจีนรุ่นนี้ เกิดในท้องถิ่น บางคนเติบโตในกรุงเทพ ได้รับอิทธิพลจากเมืองใหญ่ รวมทั้งจาก
การศึกษาในระดับสูง ขาดความต่อเนื่องทางการถ่ายทอดทั้งทางด้านวิธีคิด การดำเนินชีวิตจากคนรุ่นเก่า
แต่ผูกตนเองกับกระแสโลกาภิวัตน์ เมื่อกลับมารับกิจการต่อจากครอบครัว ทำให้มีความคิดแบบใหม่ และ
นำวิธีคิดมาปรับวิธีการทำธุรกิจและการวางบทบาททางการเมือง อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งทาง
เศรษฐกิจและการเมืองของท้องถิ่น
ตัวอย่างของนายสุรณัฐ ลิ้มสุวรรณ อายุ 32 ปี เจ้าของกิจการร้านอีฮงมอเตอร์ จบการศึกษา
ระดับประถม-มัธยมต้นที่มหาสารคาม จบมัธยมปลาย ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ จบ
ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี พ.ศ.2535 และจบบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ที่
ขอนแก่น ปี พ.ศ.2541
ปัจจุบันมีธุรกิจขายรถจักรยานยนต์ 13 สาขา คือ ในจังหวัดมหาสารคาม มีอำเภอเมือง เชียงยืน
กันทรวิชัย แกดำ โกสุมพิสัย วาปีปทุม บรบือ นาเชือก นาดูน ยางสีสุราช พยัคฆภูมิพิสัย และจังหวัด
กาฬสินธุ์อีก 2 สาขา คือในอำเภอเมืองและยางตลาด นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่น เช่น ร้านมือถือ ร้านขาย
เครื่องไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน 17 แห่งในจังหวัดมหาสารคาม บ้านจัดสรร หอพัก ธุรกิจไฟแนนท์ โรงเรียนกวดวิชา
Easy English School ขายรถยนต์มือสอง ฯลฯ โดยแนวคิดการในการขยายธุรกิจของสุรณัฐ คือต้องการ
ครองตลาดรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นกิจการหลักของครอบครัว ซึ่งเป็นการป้องกันคู่แข่งที่จะมาแย่งตลาด
30 จากการสัมภาษณ์นางสุภลักษณ์ อรรถรังสรรค์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2546.
21
ได้รับการสนับสนุนจากพ่อ (นายขจิต ลิ้มสุวรรณ จบการศึกษาบริหารธุรกิจบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.2521) และจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เรียนมา คือ Risk Management 31
นอกจากนี้ความเป็นคนรุ่นใหม่ ได้รับการศึกษาระดับสูง ความต้องการขยายธุรกิจ จึง
ได้เปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นเข้ามาบริหารธุรกิจร่วมกับตน ในลักษณะของการเป็นผู้จัดการสาขา
ด้วย ซึ่งต่างจากการบริหารงานของคนรุ่นก่อนๆ ที่จะเน้นทำธุรกิจโดยให้ลูกหลานหรือญาติสนิทบริหาร
กิจการ หรือดูแลสาขามากกว่าจะปล่อยให้คนอื่นมาบริหาร และกิจการจะขยายไปมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่
จำนวนเครือญาติว่ามีมากแค่ไหน แต่แนวคิดที่จ้างคนอื่นคุมกิจการ น่าจะเป็นแนวคิดที่มาจากการศึกษา
ด้านการบริหารธุรกิจมากกว่า ซึ่งเป็นการนำหลักการมาบริหาร ไม่ได้ให้ความสำคัญที่ตัวบุคคล
การปรับกลยุทธทางการค้าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมก็เป็นส่วนสำคัญต่อการทำธุรกิจใน
ยุคนี้เช่นกัน เช่นการรับจำนำทอง หรือการผ่อนชำระค่างวดรถ จากการสัมภาษณ์นาย จิรโรจน์ ลิ้มสุวรรณ
ผู้จัดการร้านอีฮงมหาสารคาม ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ กล่าวว่าการผ่อนชะระค่างวดรถแล้วแต่
ประเภทของลูกค้า ถ้าลูกค้ามีเงินเดือนก็ส่งรายเดือน แต่ถ้าลูกค้าไม่มีเงินเดือน เช่นชาวนาก็ต้องปรับวิธีการ
ส่งเงิน เป็น 3 เดือนต่อครั้ง หรือหลังเก็บเกี่ยวข้าว เป็นต้น
หรือบางคนบ้านอยู่ในหมู่บ้านไกลๆ ไม่สะดวกมาส่งค่างวดทุกเดือนก็อาจจะผ่อนผัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความ
สะดวกของลูกค้า ซึ่งเท่าที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นชาวบ้านจะซื่อสัตย์ และไว้ใจได้32
4.4 การตื่นตัวตามกระแสโลกาภิวัตน์
เมื่อเมืองใหญ่มีการตื่นตัวในการเรียนภาษาจีน การเปิดสอนภาษาจีนกลางก็มีขึ้นด้วยเช่นกัน
รวมทั้งการส่งลูกหลานเข้าเรียนภาษาจีนด้วย เช่นนายธีระ ชัยคณารักษ์กุล หรือเสี่ยปิง ของเมืองร้อยเอ็ด
เจ้าของโรงเรียนเทคโนโลยีธีรภาดา เปิดสอนวิชาภาษาจีนแก่นักศึกษา โดยให้พ่อค้าในเมืองร้อยเอ็ด เช่น
นายวีระ วุฒิจำนงค์ นายภูมิชาย เอื้ออรัญโชติ นางธิดา สวัสดิ์พานิช เป็นอาจารย์ผู้สอน และได้ส่งบุตร
หลานเข้าเรียนภาษาจีนด้วย โดยเฉพาะช่วงประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา มีการส่งลูกหลานเข้าเรียนโรงเรียนจีน
เช่นครอบครัวคุณยายบุญถิ่น เลี้ยงสมบูรณ์ อยู่เกษตรวิสัย ส่งหลานเรียนภาษาจีน ที่โรงเรียนหัวเฉียวตงฮัก
จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งรุ่นลูกไม่ได้เรียน
ในขณะที่คุณวีระ วุฒิจำนงค์ สอนภาษาจีนอย่างไม่เป็นทางการที่ศาลเจ้าร้อยเอ็ดเป็นประจำทุกวันด้วย
4.5 การสร้างอำนาจในชุมชน
31 จากการสัมภาษณ์นายสุรณัฐ ลิ้มสุวรรณ. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 13 มีนาคม
พ.ศ.2545
32 จากการสัมภาษณ์นายจิรโรจน์ ลิ้มสุวรรณ. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 23
ตุลาคม พ.ศ.2545
22
การศึกษามีผลต่อการปรับเปลี่ยนแนวคิดทางการเมืองจีนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วย
อย่างที่นุชากร มาศฉมาดล เทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตนจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
รามคำแหง สมัยเรียนหนังสือเคยทำกิจกรรมออกค่ายพัฒนา เมื่อจบแล้วมีความใฝ่ฝันที่จะทำงานพัฒนาต่อ
จึงเลือกลงสมัครรับเลือกตั้งในกลุ่มพิทักษ์ท้องถิ่น ซึ่งนายถวิล จุรีมาศเป็นลุงของตนด้วย ตนคิดว่าการศึกษา
ของตนมีผลต่อแนวคิดในการบริหารเทศบาล ซึ่งต่างจากนักการเมืองรุ่นก่อน เมื่อตนเข้ามาทำงานใน
ช่วงแรกก็มีความขัดแย้งทางความคิดกับคนเก่า แต่ต่างคนต่างก็ต้องเรียนรู้กันไป จึงจะทำให้งานสามารถ
ดำเนินไปได้33
เมื่อหลานจีนมีฐานะมั่นคงขึ้น บทบาทต่อไปคือการวางรากฐานทางการเมือง ซึ่งนักการเมืองรุ่นนี้
ส่วนมากจะมีธุรกิจในชุมชนหรือครอบครัวญาติพี่น้องมีธุรกิจในชุมชน ประกอบกับคนเหล่านี้ยังเป็น
กรรมการงานงิ้วหรือมีญาติที่เป็นกรรมการงานงิ้วด้วย เช่น ตระกูลจุรีมาศ ในอำเภอเมืองร้อยเอ็ด อย่างนาย
ทินกร จุรีมาศ เป็นสมาชิกสภาจังหวัด มีธุรกิจปั๊มน้ำมัน รับเหมาก่อสร้าง และเป็นกรรมการศาลเจ้าของ
ร้อยเอ็ด เพื่อผูกใจคนร้อยเอ็ดที่ตนเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน นอกจากนี้ตระกูลจุรีมาศยังเกี่ยวดองเป็น
ญาติกับนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด คือนายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ด้วย
เมื่อหลานจีนกลายเป็นคนท้องถิ่น ผนวกกับแนวคิดทางการศึกษาทำให้หลานจีนเหล่านี้สร้างเมือง
ขึ้นมาใหม่ที่ต่างจากมุมมองของบรรพบุรุษที่เคยสร้างเอาไว้ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจซึ่งถือว่าเป็น
บทบาทสำคัญของชาวจีนมาช้านาน การขยายธุรกิจโดยดึงคนท้องถิ่นเข้ามาบริหารงานนี้ เท่ากับเป็นการ
ถ่ายทอดความรู้ทางการค้าสู่คนท้องถิ่นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตของเมืองมากยิ่งขึ้น
สรุป
คนจีนจากประเทศจีนมาแบบเสื่อผืนหมอนใบเข้าสู่แผ่นดินสยาม สร้างหลักปักฐานจนทำให้มี
บทบาทโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้เมืองในอดีตและปัจจุบันมีการเติบโตและขยายตัวตามไป
ด้วย เมื่อคนจีนเหล่านี้เข้ามายังไทย ยังได้นำความรู้ที่ตนเคยใช้ในประเทศจีนเข้ามาปรับใช้กับการ
ดำรงชีวิตใหม่นี้ด้วย รวมทั้งการนำความคิด ความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีมาปรับใช้ เช่นในกรณีใน
ร้อยเอ็ดและมหาสารคาม จนเมื่อถึงรุ่นลูกหลาน ลูกหลานชาวจีนเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น
และมีความรู้สึกถึงความเป็นคนท้องถิ่น ไม่ต่างกับคนท้องถิ่นหรือคนกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ในอีสาน ใน
ขณะเดียวกันลูกหลานของชาวจีนโพ้นทะเลก็ยังคงดำรงบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของท้องถิ่น
ต่อจากบรรพบุรุษ และมีความโดดเด่นในบทบาททางการเมือง ขณะเดียวกันการแสดงออกทาง
33 จากการสัมภาษณ์นายนุชากร มาศฉมาดล. อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน
พ.ศ.2545
23
วัฒนธรรมประเพณีของจีนได้ถูกปรับเปลี่ยน และได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของประเพณี
ประจำอำเภอด้วย
24
บรรณานุกรม
กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. แผนการใช้ที่ดิน จังหวัดมหาสารคาม. กรุงเทพ: โรง
พิมพ์บำรุงนุกูลกิจ. 2525.
ธานี พันแสง. “บทบาทด้านเศรษฐกิจและการเมืองของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในเขต
เทศบาลเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2398-2540 ” วิทยานิพนธ์เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม,2543.
นุชากร มาศฉมาดล. “บทบาทของกลุ่มพิทักษ์ท้องถิ่นในการแข่งขันเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล
เมืองร้อยเอ็ด พ.ศ.2517-2538” วิทยานิพนธ์เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2540.
ผาสุก พงษ์ไพจิตร, คริส เบเคอร์. เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. กรุงเทพ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง
เฮ้าส์,2539.
พรพรรณ จันทโรนานนท์.” ปุนเถ่ากง เทพเจ้าแห่งจีน” ศิลปวัฒนธรรม 4,11 (กุมภาพันธ์ 2533).
พลศักดิ์ จิรไกรศิริ. บูรณาการของเยาวชนจีนในประเทศไทย.ไม่ปรากฎสถานที่พิมพ์,2532.
ประนุช ทรัพยสาร, "วิวัฒนาการเศรษฐกิจหมู่บ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
พ.ศ.2394-2475," วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525
ประพิส ทองโรจน์ (บรรณาธิการ). สมาคมชาวจังหวัดมหาสารคาม. มหาสารคาม : อภิชาติการ
พิมพ์,2539.
สกินเนอร์. จี.วิลเลี่ยม. สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์. Chinese society in
Thailand : an Analytical History. ผู้แปล พรรณี ฉัตรพลรักษ์ และคณะ. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช,
2529.
สมาคมสหมิตรการกุศล “เต็กก่า” แห่งประเทศไทย. “โครงการก่อสร้างศาลเจ้าจี้กง เมืองฮงสุน ณ ภู
เศียรพยัคฆา เมืองฮงสุน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” คุณธรรมสาร. 2, 7 (กรกฎาคม-กันยายน
2543).
สมัคร ธนมิตต์. ระบบการเลือกตั้งในประเทศไทย. กรุงเทพ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์,2498.
เสาวนาถ ศิริพรทุม. “พัฒนาการชุมชนเมืองวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม” รายงานการค้นคว้า
อิสระ เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม,2544.
การสัมภาษณ์นายประสิทธิ์ ตัณฑะศิลป์. อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม
พ.ศ.2544
การสัมภาษณ์นายอาจิว แซ่ตัง (โชคชัยวัฒนากร). อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่
21 มิถุนายน พ.ศ.2545
25
การสัมภาษณ์นายสุรจิตร ยนต์ตระกูล. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นางหนูณี นิยมปราชญ์. อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม
พ.ศ.2544
การสัมภาษณ์นายวีระ วุฒิจำนงค์. อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2544
การสัมภาษณ์นายมานพ ปริทัศน์ไพศาล. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 13 มีนาคม
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นายสงวน ศิริเกษมทรัพย์. อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 27
พฤศจิกายน พ.ศ.2545.
การสัมภาษณ์นายนพดล เตชะธุวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นายสุรพล สุรกุลประภา. มูลนิธิอิลักเซียงตึ๊ง อำเภอเมือง จัหงวัดร้อยเอ็ด. เมื่อวันที่ 6
สิงหาคม พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นายพรชัย สุรศักดิ์นิธิกุล. อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด วันที่ 2 พฤศจิกายน
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นางสุภลักษณ์ อรรถรังสรรค์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. เมื่อ
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2546.
การสัมภาษณ์นายสุรณัฐ ลิ้มสุวรรณ. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 13 มีนาคม
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นายจิรโรจน์ ลิ้มสุวรรณ. อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นายนุชากร มาศฉมาดล. อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน
พ.ศ.2545
การสัมภาษณ์นายพิพัฒน์ สุวรรณธาดา. อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 19 กันยายน
พ.ศ.2545

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น