จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นเศรษฐกิจอีสาน

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นเศรษฐกิจอีสาน
                                                ช่วงก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง – ช่วงนโยบาย OTOP                    
                ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกมองว่า ด้อยการศึกษา ไร้การพัฒนา ไม่มีวัฒนธรรม ซึ่งถ้ามองในภาพที่เป็นจริงแล้ว คนอีสานไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมาเลย เพราะคนอีสานมีการศึกษาแต่การศึกษาของคนอีสานนั้นไม่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนเหมือนคนในเมืองหลวง แต่ใช้ใช้วัดเป็นสถานที่ฝึกอ่าน ฝึกเขียน และเรียนรู้จากการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เป็นบิดา มารดา หรือกิจกรรมที่ทำ และการที่กล่าวว่าคนอีสานไร้วัฒนธรรมก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะสังคมภาคอีสานเป็นสังคมที่มีมานาน เพราะฉนั้นย่อมมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สั่งสมมาอยู่แล้ว ไม่มีชาติใดในโลกที่อยู่ในสังคมแล้วไม่มีวัฒนธรรม และวัฒนธรรมของคนอีสานมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าเรียนรู้ ซึ่งคำว่าไร้วัฒนธรรมในสายตาของใครหลายๆคน น่าจะหมายถึงการไม่มีวัฒนธรรมที่ส่วนกลางสร้างขึ้นหรือเป็นวัฒนธรรมของรัฐ เช่น การลอยกระทง สงกรานต์ เป็นต้น  และคำว่าไร้การพัฒนา การพัฒนาภาคอีสานตั้งแต่อดีตนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีภูเขาล้อมรอบทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ส่วนทิศตะวันออกและทิศเหนือนั้นมีแม่น้ำโขงกั้นอยู่ การเดินทางจากกรุงเทพฯเข้าสู่อีสานนั้นเป็นไปได้อยาก เพราะต้องเดินทางผ่านภูเขา ซึ่งเรียกกันว่า ดงพระไฟ จึงทำให้คนอีสานติดต่อกับทางล้านช้างมากกว่าติดต่อกับทางกรุงเทพฯ อันเนื่องมาจากการเดินทางที่ไม่สะดวก และการเข้ามาพัฒนาของรัฐเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรมากนัก จะมีก็เฉพาะการเก็บส่วยและการเกณฑ์แรงงาน เพราะชาวอีสานก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ซึ่งจะต้องตอบแทนรัฐในการให้ความคุ้มครอง โดยจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐที่เรียกว่า ระบบไพร่ ซึ่งจะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีให้กับรัฐ โดยช่วงแรกจะเสียภาษีเป็นการนำสิ่งของ แต่ในภาคอีสานส่วนมากจะเป็นของป่า เช่น ครั่ง ผลเร่ว นอแรด เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนเป็นการเสียภาษีด้วยเงินตรา(1)ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ารัฐก็มีส่วนที่เป็นตัวกระตุ้นให้ชาวอีสานต้องประกอบอาชีพในช่วงนี้ อาชีพของคนอีสานส่วนมากคือการทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนาที่ใช้น้ำจากน้ำฝนเป็นหลัก แต่ฝนก็ตกไม่มากนักในภาคอีสาน เนื่องจากอีสานอยู่ในเขตที่เรียกว่า “เขตเงาฝน”
                                                                                               
       1 ประนุช ทรัพยสาร . ประวัติศาสตร์เกษตรกิจอีสาน . มหาสารคาม ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฎมหาสารคาม , ๒๕๔๕ .(๒๓)
อันเนื่องมาจากภูเขาที่ล้อมภาคอีสานอยู่นั้นบังลมมรสุมไว้  และจากการแห้งแล้งทำให้ภาคอีสานต้องพึ่งพาอาศัยกันระหว่างหมู่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ ซึ่งมีลักษณะเป็นการขายสิ่งที่หามาได้หรือเหลือจากการบริโภคหรือขายสิ่งที่ไม่มีในหมู่บ้านอื่น เช่น เครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก ซึ่งแต่ละหมู่บ้านไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขาดวัตถุดิบและความรู้ในการถลุงเหล็กและการนำมาผลิตเป็นเครื่องใช้
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชาวอีสานจะแลกเปลี่ยนกันก็ต่อเมื่อขาดทรัพยากรที่บางอย่างที่จำเป็น การเปลี่ยนแปลงมีมากขึ้นในปีที่ฝนฟ้าผิดปกติ การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้มีการแสวงหาผลกำไร การค้าแบ่งออกได้เป็นสองระดับคือ กรขายของที่หาได้เพื่อจ่ายค่ารัชชูปการและการขายเพื่อซื้อหาสิ่งของแปลกใหม่(2)
โดยชาวอีสานจะใช้แรงงานคนในครอบครัวเป็นหลักซึ่งเริ่มตั้งแต่การจับจองที่ดินและถากถางพื้นที่เพาะปลูกเป็นต้นมา โดยจะใช้พื้นที่ราบหรือที่ราบลุ่มแม่น้ำในการทำนาและในช่วงนี้ชาวอีสานมีการทำนาดำ คือมีกรรมวิธีในการทำที่ยุ่งยากแต่ได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ โดยจะเริ่มทำนาในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน โดยเริ่มจากการไถดะ และไถแปรเพื่อทำให้ดินเป็นก้อนหยาบๆก่อนที่จะใช้คราดหรือใช้ลูกทุบตีดินให้แตกละเอียด หลังจากนั้นก็จะมาเป็นการตกกล้า คือการถอนต้นกล้าข้าวที่เตรียมไว้ในแปลง มาเพื่อที่จะไปปักหรือดำ โดยการดำนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ว่าเป็นที่แห้งหรือว่ามีน้ำ ถ้าพื้นที่แห้งก็จะใช้วิธีการใช้ไม้เสียบเป็นหลุมก่อน แต่ถ้ามีน้ำก็จะสามารถปักดำได้เลย หลังจากที่ปักดำเสร็จแล้ว ก็จะรอจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว ก็จะทำการเก็บเกี่ยว ส่วนพื้นที่ที่เป็นเชิงเขาหรือภูเขาจะมีการปลูกข้าวไร่  คือการปลูกข้าวบนที่สูงหรือภูเขา ซึ่งเราต้องใช้เมล็ดพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งสูง ซึงขึ้นตอนการทำก็จะใช้ไม้ปลายแหลมเสียบเป็นหลุมในพื้นที่ที่ต้องการปลูก จากนั้นก็จะหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เตรียมไว้ แล้วก็รอการเก็บเกี่ยวผลผลิตเลย ซึ่งการทำนาของชาวอีสานทั้งสองแบบนั้น จะนิยมปลูกข้าวเหนียว และมีการปลูกพืชอย่างอื่นไว้บริโภคในครัวเรือนด้วย เช่น หอมต้น พริก กระเทียม เป็นต้น โดยใช้เครื่องมือที่เป็นเครื่องมือแบบเก่า ที่ได้จากการผลิตเองหรือซื้อจากชุมชนใกล้เคียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นต่ำ เช่น คราดที่ทำด้วยไม้ ผานไถซึ่งทำจากเหล็ก แต่ปัจจัยที่สำคัญคือน้ำ ซึ่งในช่วงนี้อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่อีสานมีความเป็นอยู่ “แบบพอยังชีพ”
                                                                                                               
        2 สุวิทย์ ธีรศาศวัต . ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ . กรุงเทพฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ , ๒๕๔๖ .(๑๕๘)

ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับประเทศอังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งผลของสนธิสัญญานี้ทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพหรือเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่เศรษฐกิจการตลาด และที่สำคัญคือการเปิดการค้าข้าวคือข้าวเป็นสินค้าสงออกได้และอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าเสรีในสยามได้ โดยเฉพาะในภาคกลางของประเทศได้มีการขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาทางด้านแรงงานในการผลิต โดยเฉพาะควาย ซึ่งใช้ในการไถนา ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งแตกต่างจากภาคอีสานที่มีความจำนวนมากเพราะชาวบ้านมีการเลี้ยงวัว-ควาย เป็นอาชีพที่ควบคู่กันมากับการทำนา ทำไร่ วัว-ควาย จึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสำคัญต่อชุมชน ทั้งในสถานะปัจจัยการผลิต คือแรงงานไถนา ผลิตปุ๋ยคอก เป็นพาหนะอำนวยความสะดวกในการเดินทางคมนาคมขนส่ง เป็นสิ่งแสดงถึงสถานะทางสังคม เป็นสมบัติสำหรับลูกหลานเวลาแต่งงานมีเหย้ามีเรือนแยกครอบครัวเป็นของตนเอง จึงเกิดกลุ่มพ่อค้าชาวอีสานที่เรียกว่า นายฮ้อย ซึ่งนายฮ้อยนั้น เป็นภาษาท้องถิ่นภาคอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการค้าขาย และมักเรียกตามชื่อประเภทสินค้า ดังนั้นกลุ่มคนที่ค้าขายวัว-ควาย จะถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัว-ควาย แต่อาจเพราะนายฮ้อยวัว-ควาย มีบทบาทสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนอีสานใกล้ชิดมากกว่ากลุ่มพ่อค้าสินค้าประเภทอื่นๆ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ดังเช่น งานเขียนของสุวิทย์ ธีรศาสวัต ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ ว่า “นายฮ้อย เป็นผลกระทบโดยตรงมาจากการขยายพื้นที่ปลูกข้าวอย่างมากของภาคกลาง อันเป็นผลมาจากการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง เมื่อภาคกลางปลูกข้าวมาก พื้นที่เลี้ยงสัตว์จึงไม่ค่อยมี และประสบปัญหาการขาดแคลนสัตว์ที่ใช้ในภาคการเกษตร คือวัว ควาย จึงมีการหันมาซื้อวัวควายจากภาคอีสานซึ่งมีอยู่มาก จึงเกิดนายฮ้อยขึ้น คนที่เป็นนายฮ้อยไม่จำเป็นต้องมีเงินมาก แต่มีความกล้าที่จะเป็นผู้นำและกล้าหาญ มีวิชาป้องกันตัวจากโจรและภูตผีปีศาจ รู้จักเส้นทาง นายฮ้อยจะถูกเรียกตามสัตว์ที่ค้า เช่น ค้าวัวควาย ก็จะถูกเรียกนายฮ้อยวัวควาย เป็นต้นโดยจะออกซื้อควายจากหมู่บ้านของตนและใกล้เคียง เอามารวมกันเวลาเดินทาง ตัวนายฮ้อยก็จะมีควายจำนวนหนึ่ง ลูกน้องก็จะมีความจำนวนหนึ่ง   ช่องทางที่นายฮ้อยนิยมต้อนควายผ่านจากภาคอีสานมายังภาคกลางมีทั้งหมด ๓ ช่องทาง คือ เส้นทางแรกเดินทางดงพญาไฟ ลงไปปากเพรียว จังหวัดสระบุรี เส้นทางที่สองผ่านทางดงพญากลางลงไปอำเภอสนามแจ้ง จังหวัดลพบุรี เส้นทางที่สามทางช่องตะโก(3)
                                                                                               
       3 สุวิทย์ ธีรศาสวัต .ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน ๒๔๔๔ ๒๔๘๘ . กรุงเทพ ฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ ,๒๕๔๖.(๑๖๓ ๑๖๘)
นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าเกวียนเป็นพ่อค้าที่นำของมาขายโดยใส่ทางเกวียน ซึ่งจะนำสิ่งของเหล่านั้นมาขายหรือแลกเปลี่ยนในชุมชน พ่อค้าโคต่าง ที่นำสินค้าบรรทุกใส่หลังวัวเข้ามาขายสินค้า ซึ่งทำให้ในช่วงนี้อีสานเริ่มเกิดการค้า คนที่ค้าขายจะเป็นชาวอีสาน พ้อค้าญวนเป็นต้น โดยใช้ช่องทางการค้าต่างๆ กันคือการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าญวนจะใช้เส้นทางแม่น้ำโขง และพ่อค้าคนอีสานก็จะนำของป่าที่หาได้ไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้กับพ่อค้าญวน โดยพ่อค้าในช่วงนี้จะบรรทุกใส่เกวียนหรือโค เพื่อที่จะนำไปขายตามหมู่บ้านต่างๆ ตามเส้นทางที่ประชาชนในภาคอีสานทำขึ้นเอง เพื่อติดต่อกันระหว่างหมู่บ้านที่เรียกว่า “ทางเกวียน”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ได้มีผลโดยตรงในการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตคือยังเป็นเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ เนื่องจากการติดต่อกันรัฐส่วนกลางกับอีสานยังเป็นไปได้อยาก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ทำให้คนในชุมชนเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วย แต่เริ่มมีการพึ่งพาสินค้าจาภายนอก โดยการนำมาขายของนายฮ้อย  แต่การแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้านยังมีอยู่
ภาคอีสานได้เริ่มถูกรัฐควบคุมมากขึ้นๆโดยรัฐได้ดึงเอาผลประโยชน์จากชุมชนในรูปของเงินรัชชูปการและการศึกษาพลี  เมื่อยกเลิกก็เก็บเป็นภาษีบำรุงท้องที่ หรือที่เรียกว่า ภาษีที่ดิน และภาษีทางอ้อมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเกณฑ์แรงงานำไปสร้างสิ่งสาธารณะเป็นบางครั้ง และยังเกณฑ์ชายหนุ่มไปเป็นทหารอีกด้วย ผลจากการที่รัฐได้เข้ามามีส่วนในชุมชนนี้ ทำให้เกิดการต่อต้านอำนาจรัฐขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเกิดกบฏในที่ต่างๆ เช่น กบฏโสภา บ้านสาวถี จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น ซึ่งการก่อกบฏนั้น ได้ใช้หลักพระพุทธศาสนาในการรวมคนให้เข้าร่วมก่อกบฏ คือทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าการเคารพบูชาพระพุทธศาสนาจะทำให้ได้เกิดในพระพุทธศาสนาในยุคของพระศรีอาริย์ ทุกอย่างจะเกิดความเท่าเทียม ซึ่งการเกิดกบฏนี้เป็นตัวที่สะท้อนสังคมในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี แต่รัฐก็ได้เริ่มเข้ามาพัฒนาอีสานด้วยเช่นกัน คือ การสร้างทางรถไฟในอีสานในปี (พ.ศ.๒๔๔๓ ๒๔๘๘) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักของการสร้างทางรถไฟสายแรกนี้ได้ ๒ ประการ คือ ประการแรกเพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการขนส่งผู้คนและสินค้า ประการที่ ๒ เพื่อประโยชน์ในการปกครองและรักษาพระราชอาณาเขต การรักษาพระราชอาณาเขตที่เน้นมากที่สุด คือภาคอีสาน ก็เพราะท่าทีคุกคามจากฝรั่งเศสหลังจากได้เขมรและเวียดนามแล้วก็พุ่งมาที่ลาวจนไทยต้องเสียสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๓๑ และเริ่มเข้าสู่ดินแดนลาวส่วนที่เหลือ แต่การค้านั้นเป็นผลพลอยได้ (4) ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ทำให้ระบบการผลิตของชาวอีสานบางส่วนเปลี่ยนแปลงไป
                                                                                               
4                 สุวิทย์ ธีรศาสวัต . อีสานหลังมีทางรถไฟ .ขอนแก่น ; คลังนานาวิทยา , ๒๕๕๑ .(๓๖)
 คือ ชุมชนที่อยู่ใกล้ทางรถไฟ จะปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น โดยจะนำส่วนที่เหลือจากการบริโภคไปขายโดยนำขึ้นรถไฟไปขายที่โคราชหรือในไปขายที่โรงสีของพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางมาพร้อมกับทางรถไฟ เกิดตลาดและกลายเป็นชุมชนการค้า เพราะการค้าขยายตัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะชาวจีนที่เดินทางมากับทางรถไฟและตั้งตลาดในเมืองใหญ่ที่มีรถไฟผ่าน และยังส่งผลให้ศูนย์ราชการของอำเภอต่างๆก็ย้ายศูนย์ราชการเข้ามาใกล้ทางรถไฟด้วย (5) แต่การเพาะปลูกที่เกือบทุกครัวเรือนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติรอบๆชุมชน ทุกคนที่ทำงานได้จะได้งานตามวัยของตัวเองเกือบตลอดทั้งปี เพราะหน่วยการผลิตคือครัวเรือนผลิตเกือบทุกอย่างที่ครัวเรือนบริโภค เศรษฐกิจมีลักษณะพอเพียง และมีความสมดุลระหว่างการผลิต เกิดขึ้นตามธรรมชาติและการบริโภคอยู่ ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เนื่องจาก อัตราการเพิ่มของประชากรก็น้อย เพราะอัตราการเกิดและการตายไม่แตกต่างกันมาก เมื่อประชากรน้อยก็บริโภคทรัพยากรธรรมชาติและผลผลิตน้อย การบริโภคกับการผลิตของคนและธรรมชาติใกล้เคียงกัน นอกจากนี้คนในชุมชนบริโภคสิ่งที่คนในชุมชนสามารถผลิตได้หรือหาได้จากธรรมชาติเกือบหมด ไม่ได้พึ่งพาสินค้า ทรัพยากรภายนอกจะมีบ้างเฉพาะของที่แปลกใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องหัถกรรม เนื่องจากการขนส่งสินค้าที่ถูกลงทำให้มีการส่งออกสินค้าเกษตรและของป่าออกจากภาคอีสานมากขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้าก็เพิ่มมากขึ้นหลายชนิด หนึ่งในจำนวนนั้นคือสินค้าหัตถกรรม ซึ่งรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มซึ่งชาวอีสานเคยผลิตได้เองมาโดยตลอด ก็เริ่มหันไปใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปแทนเนื่องจากมีราคาถูกและประหยัดเวลา นอกจากเสื้อผ้าที่ชาวอีสานเริ่มหันไปใช้ของต่างประเทศแล้ว เครื่องมือเกษตรที่เกษตรกรซึ่งเป็นช่างเหล็กเคยผลิตขึ้นใช้เองและแลกหรือขายกับเกษตรกรอื่น ก็ลดการผลิตลง เกษตรกรหันไปซื้อจอบและผาลจากเมืองนอกมากขึ้น เพราะคุณภาพดีกว่าเครื่องมือเหล็กที่ผลิตเองในอีสาน แต่ในด้านการพึ่งพากันและกัน ในช่วงนี้นั้นคนอีสานยังมีการพึ่งพาและเอื้ออาทรระหว่างคนในชุมชนสูงอยู่ โดยสังเกตได้จากการลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นต้น และบางครั้งก็พึ่งพาสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย เช่น ผีปู่ตา ผีตาแฮก เป็นต้น
                                                                                               
       (5) ประนุช ทรัพยสาร .วารสารช่อพะยอม ๑๕, ๓ (พ.ย. ๒๕๕๐) ๑๑-๒๐



เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง(๒๔๘๘ ๒๕๐๔) จากการที่ต้องติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศจีน จึงทำให้ไทยต้องสร้างถนนผ่านภาคอีสานนั้นคือ ถนนมิตรภาพ (หมายเลข ๒ ) ซึ่งต่อมาถนนเส้นนี้กลายเป็นเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ดังเช่นในงานวิจัยของนิรุบล อึ้งอารุณยะวี ในงานวิจัยเรื่อง สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. 2476 – 2506 ว่า “ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้มีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจอีสาน ทำให้เกิดการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2 คือถนมิตรภาพซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ใช้เดินทางมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้การติดต่อกับบ้านไผ่สะดวกขึ้น อาจจะไม่ต้องนอนพักที่บ้านไผ่ก็ได้ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมและการบริการต่างๆเริ่มซบเซาลง(6) และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สงบลง สิ่งที่ชาวอีสานได้จากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ในช่วงนี้อีสานได้รับการดูแลจากรัฐเพิ่มมากขึ้น เช่น รัฐได้ดำเนินนโยบายการรณรงค์ฉีด ดี.ดี.ที.กำจัดยุง พาหะของโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดอยู่ในคนไทยถึงร้อยละ ๑๗ การปลูกฝีป้องกันโรคไข้ทรพิษและการฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคการเพิ่มของบุคลากรทางการแพทย์และสาธาณสุข การเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลและสถานีอนามัย ล้วนเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้อัตราการตายลดน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ชาวอีสานมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลยังการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากขึ้นตามไปด้วย และเกิดการเข้ามาและขยายตัวของระบบทุนนิยม โดยเฉพาะการเพิ่มของคนจีนและผู้มีอาชีพค้าขาย ทำให้การผลิตผลผลิตทางการเกษตรของชาวอีสานมีการผลิตเพื่อขายเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะริมทางรถไฟเท่านั้น เพราะการมีถนนเพิ่มในภาคอีสานทำให้การขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ชาวอีสานผลิตข้าวเพิ่มมากขึ้น
จะเห็นได้ว่ารัฐเริ่มเข้ามาดูแลภาคอีสานมากขึ้นกว่าเดิมเป็นระยะๆโดยเริ่มตั้งแต่มีทางรถไฟเป็นต้นมาซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนอีสานเปลี่ยนแปลงไป ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ ซึ่งนโยบายที่สำคัญคือ เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกและการปฏิบัติตามแผนพัฒนาฯทำให้เกิดการผลิตพืชพาณิชย์อย่างรวดเร็ว
                                                                                                               
      (6) นิรุบล อึ้งอารุณยะวี . สภาพเศรษฐกิจของชุมชนบ้านไผ่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๖๒๕๐๖.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , ๒๕๔๓ .


รวมทั้งเกิดนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานซึ่งถือได้ว่ารุนแรงกว่าทุกภาค  และ ผ.ก.ค. ยังขยายพื้นที่ได้มากกว่าทุกภาค ทำให้รัฐบาลต้องทำสงครามแย่งชิงประชาชนจาก ผ.ก.ค. ด้วยการใช้กำลังทหารและตำรวจปราบปราม ผ.ก.ค. ในขณะเดียวกันก็เกิดผลพลายได้ที่ตามมานั้นคือ กรสร้างวัตถุและการให้บริการต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลห่วงใยประชาชน ผลของนโยบายดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างถนนขึ้นมากมายในภาคอีสาน โดยมีถนราดยางและถนนคอนกรีตเพิ่มมากขึ้นเป็น ๔๒.๓ เท่า มีการสร้างเขื่อนและพื้นที่ชลประทาน  มีการขยายไฟฟ้า ไปยังพื้นที่ภาคอีสานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลทำให้ในช่วงนี้ประชาชนในภาคอีสานมีวิถีชีวิตที่สะดวกสบายอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐเพิ่มมากขึ้น มีการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น แต่ราคาถูกลงจาก ๑ ใน ๓ ของมูลค่าสินค้าที่บรรทุก เหลือประมาณร้อยละ ๑ – ๒๐ และยังทำให้เกิดมีการขยายการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ทำให้คุณภาพของประชากรภาคอีสานมีสูงขึ้น แต่ก็ส่งผลให้แรงงานที่มีการศึกษาไปทำงานนอกภาคการเกษตรและยังไปทำงานในที่ต่างถิ่นอีกด้วย ดังที่ ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ ได้อธิบายไว้ในเอกสารประกอบการสอนในรายวิชาเกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรทฤษฎีใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ว่า(7) ตั่งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ เป็นต้นมา จนถึงฉบับที่ ๗  ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในด้านการเกษตรมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิต และการส่งออก โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการผลิตต่อไร่ เพิ่มพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน เน้นการส่งอกนำรายได้เข้าประเทศ และยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกร แนวทางนี้ทำให้เกษตรกรต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ นับตั้งแต่พันธุ์พืช ปุ๋ยเคมี สารกำจักศัตรูพืช  เครื่องจักรกลทางการเกษตร  ซึ้งต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เหมาะสำหรับการทำเกษตรบนพื้นที่ผืนใหญ่ ฟาร์มขนานใหญ่ที่มีทุนมาก และสามารถทำการเกษตรแบบครบวงจร แต่ไม่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อยที่ไม่มีทุน และยังมีพื้นที่น้อย เมื่อต้องปฏิบัติตามกระแสของการใช้เทคโนโลยีที่ใช้ต้นทุนสูง จึงเข้าสู่ระบบการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิต ปัจจัยการผลิต ค่าแรงงาน และค่าจ้างสำหรับเครื่องจักรกลทางการเกษตร เมื่อรวมแล้วต้นทุนในการทำเกษตรยุคใหม่ จึงนับว่าสูงกว่าแต่ก่อนมาก แม้ว่าวิธีการใช้เทคโนโลยีจะทำให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น  แต่ปรากฏว่ารายได้ของเกษตรกรกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ควร
                                                                                               
        7 ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ . เกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรทฤษฏีใหม่(ตอนที่๑) . กรุงเทพฯ ; มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร , ๒๕๕๐ .
เพราะราคาผลผลิตการเกษตรที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่ได้สัดส่วนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรของเกษตรกรกลับลดลงกว่าเดิม ยิ่งทำในพื้นที่น้อยยิ่งมีรายได้ลดลงมาก บางรายถึงกับขาดทุน ต้องเป็นหนี้ธนาคาร และสุดท้ายเมื่อไม่สามารถหาชำระได้ที่ต้องถูกยึด”
จากข้อความข้างต้นนั้น ทำให้มองเห็นว่า มีการถือครองที่ดินในลักษณะที่เป็นเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆเลย และอาจกล่าวได้ว่าการถือครองที่ดินในลักษณะที่เป็นเอกสารสิทธิ์นั้นเกิดจาก เนื่องจากการขยายตัวของประชากรภาคอีสาน อันเนื่องมาจากการขยายตัวของนโยบายของรัฐที่ให้ความสำคัญทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการเกิดและการตายไม่สมดุลกัน คือ มีอัตราการตายที่ลดลงมาก จึงส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องใช้เพิ่มมากขึ้น และไม่สามารถที่จะขยายพื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่อยู่อาศัยได้ จึงนำไปสู่การเริ่มทำเอกสารสิทธิ์ในการถือครองที่ดินเพื่อไม่ให้เกิดการรุกล้ำที่ทำกินและที่อยู่อาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อประชากรมีมากขึ้น การผลิตและการใช้ทรัพยากรก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปริมาณการผลิตข้าวของภาคอีสานได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ในยุคก่อนพืชพาณิชย์หรือช่วงที่มีทางรถไฟในภาคอีสานแล้ว แต่ภาคอีสานก็เป็นพื้นที่ที่เป็นรองภาคกลางอยู่ในด้านการผลิตข้าว ในยุคพืชพาณิชย์นี้มีการผลิตข้าวที่มากกว่าการบริโภคในครัวเรือนทำให้มีข้าวที่เก็บเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้ภาคอีสานมาความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น รวมทั้งมีการผลิตพืชไร่มากขึ้น คือผลผลิตทางการเกษตรที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องการ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ เช่น การน้ำอ้ายไปทำน้ำตาล การนำปอเพื่อไปทำกระสอบและเชือก เป็นต้น
จากการเพิ่มการผลิตทางการเกษตร การเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก ซึ่งต้องจำเป็นต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมากและทำให้การผลิตต้องใช้เวลามาก เพื่อให้ทันกับระยะเวลาการเพาะปลูก จึงได้มีการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงขึ้นมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการเกษตร โดยเฉพาะรถแทรกเตอร์ โดยมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น ๑๐.๖ เท่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๔๐ เพราะประสิทธิภาพในการบุกเบิกที่ดินและการไถพรวนที่ใช้เวลาน้อย  นอกจากนี้ยังมีรถไถเดินตาม ซึ่งใช้กันมากในการทำนาในช่วงนี้ เพราะเห็นว่ามีความสะดวกสบายและประหยัดเวลา รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงพันธุ์ข้าวพื้นเมืองไปใช้ข้าวที่ได้รักการแนะนำจากเกษตรอำเภอ ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีความต้านทานโรคที่ต่ำ ทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มการใช้สารเคมีและปุ๋ยในการบำรุง และทำให้เกิดการเป็นหนี้ซึ่งเกิดจากการกู้เงินมาทำการเกษตรเป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงแรงงาน แรงงานในพื้นที่ต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากปริมาณการผลิตที่มากขึ้นเพราะการผลิตไม่ได้ผลิตเพื่อกินเพียงอย่างเดียว และยังต้องไปปลูกพืชไร่เพื่อขายอีกด้วย การแลกเปลี่ยนแรงงานและการลงแขกมีน้อยเนื่องจากทุกคนต้องทำงานของตัวเองให้ทันเวลา จึงไม่มีเวลาไปช่วยคนอื่น และการลงแขกได้เปลี่ยนมาเป็นการจ้างแรงงานแทน แต่เป้าหมายของการผลิตข้าวคือผลิตไว้บริโภคในครัวเรือนแต่ถ้าเหลือก็ขาย แต่พืชไร่จะปลูกเพื่อขายเพียงอย่างเดียว แต่ในช่วงนี้เกษตรกรชาวอีสานได้รับปัญหาและความเดือดร้อนมากจากการที่ต้องไปกู้เงินมาซื้อเครื่องทุ่นแรงทางการเกษตร ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐที่เน้นในด้านการผลิตผลผลิตด้านการเกษตรในการส่งออกนั้น ทำให้ชาวอีสานแทนที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลับต้องเป็นหนี้ทั้งในระบบคือ ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์กรเกษตร และนอกระบบคือญาติพี่น้อง นายทุน และแหล่งเงินกู้ต่างๆ เนื่องจากการผลิตผลผลิตทางการเกษตรที่ให้ได้ผลผลิตมากๆนั้นต้องอาศัยเครื่องทุนแรง เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถเดินตาม เครื่องสูบน้ำ ยาฆ่าแมลง เป็นต้น ซึ่งมีต้นทุนที่สูง การที่ชาวบ้านจะมีได้ต้องกู้เงินในทางต่างๆจนเป็นหนี้ รวมทั้งการกดราคาสินค้าของพ่อค้าคนกลาง คือสินค้าทางด้านการเกษตรนั้น ถึงแม้เกษตรกรจะเป็นคนปลูกก็จริงแต่ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดราคา ซึ่งการกำหนดราคานั้นต้องขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ในบางปีที่ได้ผลผลิตมากผลผลิตก็มีราคาที่ตกต่ำ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถใช้หนี้สินได้ จึงเป็นหนี้สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ในงานวิจัยของ สุวิทย์ ธีรศาศวัต และชอบ ดีสวนโคก เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่า “ทั้งค่าพันธุ์พืช ค่าจ้างแรงงาน ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายสูงการไถก็ต้องใช้รถไถ หรือรถไถเดินตาม ซึ่งต้องจ้างรถไถเดินตาม ในบางครัวเรือนก็ซื้อ ๑ คัน เท่ากับขายควายประมาณ ๔ ตัว เอามาซื้อและยังค่าดูแลรักษา ค่าน้ำมัน ฯลฯ แต่ราคาผลผลิตที่ขายได้นั้นขึ้นๆลงๆ บางปีขาดทุน บางปีเสมอตัว มีน้อยปีที่ได้กำไร ปีที่ได้กำไรคือมีคนปลูกน้อย ซึ่งก็หมายความว่า มีคนได้กำไรน้อยคน พอราคาดี เกษตรกรก็พากันปลูกมากมาย ราคาก็กลับตกลงมาก ขาดทุนมาก ก็พากันเลิกไปเลย แต่ต้นทุนไม่เคยราคาตกต่ำ การขาดทุน ๑-๒ปี ทำให้เกษตรกรเป็นหนี้ไปอีกหลายปี กล่าวโดยสรุปคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจนำไปสู่ความอยากจน เกษตรกรจึงเป็นเบี้ยล่างนายทุนตลอดมา”(8)
                                                                                               
      8 สุวิทย์ ธีรศาศวัต ,ชอบ ดีสวนโคก . การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสานเหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๖ . (๑๓๓)
และส่งผลให้ชาวอีสานหันหน้าที่ทำงานในกรุงเทพฯหรือเมืองอุตสาหกรมเพิ่มมากขึ้น จนถึงสมัยของ พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยแรก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้นำเอานโยบาย หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) มาใช้เป็นแนวคิดที่ต้องการให้แต่ละหมู่บ้านมีผลิตภัณฑ์หลักเป็นของตัวเอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบหรือทรัพยากร และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทำการพัฒนาจนกลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้แก่ ชุมชน  โดย 4 ปีที่รัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ ได้ประกาศนโยบายประเทศไทยจะไม่มีคนจน รัฐบาล ส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้เพิ่ม จากการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยผลักดันโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อให้ชุมชนคิดค้นสินค้าจากท้องถิ่น ที่มีเอกลักษณ์ สามารถ พัฒนาคุณภาพตรงใจตลาดและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าจนสามารถนำส่งออกไปขายยัง ต่างประเทศได้ มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาสนับสนุน ในเรื่องวิชาการ เทคโนโลยี ช่องทางการตลาด และขยายโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเกิดขึ้นจากผลกระทบทางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงวิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ การแข่งขันด้านระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสูง ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และประชาชนทุกระดับประสบปัญหาต่าง ๆ ปัญหาหนึ่งที่ประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศถูกรุมเร้า คือปัญหา ความยากจน รัฐบาล (รัฐบาล พ... ทักษิณ ชนวัตร) จึงได้ประกาศสงครามกับความยากจนโดยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า โดยรัฐพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย และอินเตอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการ ของตลาด ทั้งในและต่างประเทศและได้กำหนดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน 2544
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ แต่ระบบการผลิตยังคงเดิมมีการผลิตทั้งพืชไร่และทำนา แต่หันมาทำเกษตรแบบอินทรีย์มากขึ้น แต่เทคโนโลยีที่ใช้นั้นยังเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่ จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างคือ การผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเติมแทน หรือบางหมู่บ้านก็นำปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันใช้ ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มของคนในหมู่บ้าน โดยใช้เวลาที่ว่างจากภาคการเกษตรหันมาทำอาชีพเสริม ซึ่งเป็นการหารายได้เสริมได้ทางหนึ่ง แต่ผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ควบคู่กันคือ กองทุนหมู่บ้านละ ๑ ล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดการกู้เงินและเพิ่มหนี้สินให้กับเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น เพราะเกษตรกรต้องกู้เงินทุนไปทำกิจกรรมทางครอบครัว และนโยบายOTOP ไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกหมู่บ้านในภาคอีสาน แต่ก็ทำให้วิถีชีวิตของชาวอีสานส่วนหนึ่งอยู่ดีกินดีขึ้นจากเดิม (9)














                                                                                               
9 http://www.warincity.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2227:-otop&catid=122:-otop&Itemid=133 (ค้นวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)

บรรณานุกรม
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา . การคงอยู่ของเศรษฐกิจหมู่บ้านพอยังชีพในภาคเหนือ ใต้และอีสาน 1855-1932 .
       กรุงเทพฯ ; สร้างสรรค์และหมู่บ้าน, ๒๕๓๓ .
ประนุช ทรัพยสาร . ประวัติศาสตร์เกษตรกิจอีสาน . มหาสารคาม ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       สถาบันราชภัฎมหาสารคาม , ๒๕๔๕ .
มณีมัย  ทองอยู่  . การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจอีสาน . กรุงเทพฯ ; พิมพ์สร้างสรรค์ , ๒๕๔๖ .
สุนทร สุรวาทกุล . นายฮ้อย : พ่อค้าท้องถิ่นอีสาน.......กับบทบาทการค้าขายในอดีต พ.ศ. ๒๓๙๘ – ๒๕๐๔ .
       ร้อยเอ็ด ; ศูนย์วัฒนธรรมโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม , ๒๕๓๔ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต ,ชอบ ดีสวนโคก . การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของหมู่บ้านอีสาน
       เหนือและอีสานกลาง ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ . ขอนแก่น ; คณะ 
       มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๖ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต , ชอบดีสวนโคก , ชลิต ชัยครรชิต . การเปลี่ยนแปลงอาชีพของชาวนาอีสานในชุมชน
       บ้านเมืองหลักตั้งแต่ตั้งชุมชนถึงปัจจุบัน . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
       มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๓๕ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต . ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน . ขอนแก่น ; คลังนานาวิทยา , ๒๕๔๖ .
สุวิทย์ ธีรศาศวัต . เศรษฐกิจอีสานหลังมีทางรถไฟ พ.ศ. ๒๔๔๓ – ๒๔๘๘ . ขอนแก่น ; คณะมนุษยศาสตร์
        และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๕๑.
สมคิด พรมจุ้ย . เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสานใต้ . กรุงเทพฯ ; ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
       ๒๕๔๖ .
http://www.warincity.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2227:-otop&catid=122:-otop&Itemid=133 (ค้นวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น