ในหนังสือเล่มนี้อาจารย์สุวิทย์ได้เริ่มเรื่องโดยการอธิบายถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ของภาคอีสาน โดยสามารถสรุปได้ว่าพื้นที่ภาคอีสาน เป็น1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศไทย เป็นภาคที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดภาคอีสานจึงมีความสำคัญทาเศรษฐกิจเพราะเป็นแรงงานการผลิตและเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุด มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลักโดยเฉพาะการปลูกข้าว
รูปร่างของภาคอีสานคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อใช้เทือกเขาภูพานในการแบ่ง ภาคอีสานจะสามารถ แบ่งออกเป็น 2 แอ่งคือ แอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร โดยแอ่งโคราชเป็นแอ่งที่มีขนาดที่ใหญ่กว่าแอ่งสกลนคร มีแม่น้ำที่สำคัญคือ แม่น้ำชีและแม่น้ำมูล เป็นแม่น้ำสายหลัก ส่วนแอ่งสกลนครมีแม่น้ำสงครามและแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายหลัก พื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคอีสานมีลักษณะที่เรียกว่า ที่ราบลานตะพักลุ่มน้ำ
จากการที่เชื่อว่าอีสานเคยเป็นทะเลมาก่อน จึงมีการสำรวจและทำบ่อเกลือมากมายโดยเฉพาะในแอ่งสกลนคร
อีสานถูกควบคุมโดยรัฐไทยครั้งแรกในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สาเหตุที่รัฐไทยได้เข้ามาควบคุมอีสานคือล้านช้างได้แตกเป็นสามก๊ก คือ เวียงจันทร์ หลวงพระบาง และจำปาศักดิ์ ซึ่งเป็นผลให้อำนาจการปกครองของล้านช้างลดลง และการแตกแยกของกลุ่มพระวอพระตากับกลุ่มเจ้าไชยกุมาร จึงทำให้พระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกทัพไปตีลาวทั้งฝั่งขวาและฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และในปี 2322 พระเจ้าตากสินได้อัญเชิญพระแก้มมรกตมาประดิษฐานไว้ในกรุงธนบุรีและยังได้กวาดต้อนคนลาวเข้ามาอยู่ในไทยเป็นจำนวนมาก
ในช่วงแรกนี้อีสานมีคนอยู่สามกลุ่มใหญ่ คือ เขมรและกูยซึ่งในสมัยอยุธยาได้เคยทำความดีความชอบ จึงได้มีการเชิญเข้ามาอยู่ กลุ่มที่สองคือ กลุ่มพระครูสีดา วัดโพนสะเม็ดและกลุ่มที่สามกลุ่มพระวอพระตา
ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งทำให้ไทยได้เผาเมืองเวียงจันทร์และกวาดต้อนผู้คนมาอยู่ในฝั่งขวาแม่น้ำโขงเป็นอันมาก และอีกเหตุการณ์ที่สำคัญคือ วิกฤตการณ์ร.ศ. 112 คือการที่ไทยได้เสียฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสอ้างว่าฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นของญวนมาก่อน
จากการเสียฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทำให้ไทยเริ่มตระหนักเรื่องพื้นที่และอาณาเขตมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอีสาน ไทยได้เริ่มเข้ามาควบคุมโดยการเก็บส่วนในช่วงแรก การปกครองยังยึดแบบเดิมอยู่นั่นคือการปกครองแบบอาญา 4 แต่มาได้ยกเลิกไปแล้วทำการปฏิรูปการปกครองให้แบ่งเป็น 4 ฝ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตั้งผู้ว่าแทนตำแหน่งเจ้าเมือง และเปลี่ยนระบบเมืองให้มีการรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งจากการที่มีการปฏิรูปการปกครองนี้ทำให้เกิดกบฏที่เรียกว่ากบฏผีบุญขึ้น ซึ่งเกิดจากการปฏิรูปที่ไม่ได้ผล ความอดอยากปากแห้งของชาวบ้าน และการไม่พอใจส่วนกลางของกลุ่มอำนาจเดิม ซึ่งกบฏผีบุญนี้ได้อาศัยพระพุทธศาสนาเป็นตัวที่จูงใจคนให้เข้าร่วม โดยให้เชื่อในยุคพระศรีอาริย์ซึ่งเป็นสังคมที่มีความเท่าเทียม
ภาคอีสานก่อนยุคพืชพาณิชย์ (พ.ศ. 2488 -2502 ) ชุมชนในภาคอีสานมีลักษณะที่เป็นสังคมชนบททั้งหมด และเป็นสังคมเกษตรกรรม แต่สัดส่วนของดิน น้ำ และทรัพยากรป่าไม้จะแตกต่างกันออกไป ชาวบ้านจะใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลักในการดำรงชีวิต ทั้งการกิน การสร้างบ้าน เป็นต้นโดยเฉพาะน้ำเป็นส่วนสำคัญของคนไม่ว่าจะเป็นการเพราะปลูก การบริโภค ซึ่งในหมู่บ้านต่างๆจะต้องมี แต่ต่อมาหมู่บ้านได้มีกี่ขยายตัวออกไป น้ำที่จะบริโภคและทำการเกษตรไม่เพียงพอ จึงต้องมีการสร้างทำนบ ขุดสระ ทำเขื่อนกั้นน้ำ เป็นต้น
การผลิต อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะข้าวและกับข้าวของชาวอีสานจะมาจากธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งพืชและสัตว์ การปลูกพืชในสมัยนี้ชาวอีสานนิยมปลูก ข้าวไร่ การปลูกพืชผักสวนครัว การทำนา เมื่อแรกๆที่ทำการตั้งหมู่บ้านชาวบ้านจะปลูกข้าวเป็นอันดับแรก แต่เนื่องด้วยลักษณะพื้นที่ที่ยังไม่เรียบร้อยจึงมีการนำข้าวไร่มาปลูก ก่อนที่จะหันไปทำนาเมื่อพื้นที่พร้องสำหรับการเพาะปลูก โดนชาวบ้านจะเริ่มจากการตัดต้นไม้และถางป่า เพื่อเตรียมพื้นที่ ซึ่งการเตรียมจะเตรียมไม่มากนัก และแต่ว่าสมาชิกของแต่ละครอบครัวมีจำนวนเท่าใด ต่อมาจะเป็นการเผาเพื่อกำจัดต้นไม้เล็ก ให้ง่ายต่อการขุก เมื่อได้พื้นที่ที่ต้องการแล้วก็จะเป็นการสักหลุมเพื่อทำการหยอดเมล็ดข้าว แล้วปล่อยไว้ให้ข้าวโตพอสมควร ชาวบ้านก็จะมาดายหญ้าเพื่อกำจัดวัชพืชอีกรอบหนึ่ง แล้วดูแลไม่ให้สัตว์ป่ามากินจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ทำการเก็บเกี่ยวให้เสร็จ แล้วก็ทำการนวด ในสมัยนี้ใช้การนวดโดยการตี
เมื่อหมู่บ้านใดที่ตั้งมาได้พอสมควรแล้วก็จะมีการจับจองพื้นที่เพื่อทำการเกษตร โดยจะทำนาเป็นหลัก นาที่ทำคือนาดำ โดยชาวบ้านจะเริ่มจากการเตรียมดินจากพื้นที่ที่ได้ถากถางไว้เรียบร้อยแล้ว จะใช้ควายในการไถดินให้ร่วน แล้วหว่านข้าวลงไปในแปลงแล้วไถกลบ รอจนข้าวงอกแล้วถอนขึ้นมาเตรียมที่จะปักดำ ขั้นตอนต่อๆไปก็มีวิธีที่คล้ายกับการทำข้าวไร่
ส่วนทางด้านผลผลิตจะแตกต่างกันออกไปในแต่หละพื้นที่และระยะเวลาที่ทำการปลูกข้าว คือ ในปีแรกที่ทำการปลูกข้าวจะได้ผลผลิตในอัตราที่สูง เนื่องจากรุธาตุในดินยังมีมากอยู่
ส่วนพืชผักและผลไม้ ชาวบ้านจะปลูกควบคู่ไปกับการปลูกข้าว เหมือนเศรษฐกิจพอเพียงในปัจจุบัน ส่วนพริก ตะไคร้ นิยมปลูกไว้หน้าบ้าน ส่วนอาหารจะได้จากธรรมชาติ ซึ่งหาได้ตลอดทั้งปีมีทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
นอกจากนี้บางหมู่บ้านยังมีการผลิตเกลือไว้ปรุงอาหารและถนอมอาหารอีกด้วย ซึ่งการผลิตเกลือนี้ก็จะเอาไว้แลกสิ่งของที่จำเป็นด้วย แต่ส่วนมากจะแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องมากกว่าการที่จะนำไปแลกสิ่งของ โดยการผลิตเกลือจะมีอยู่สองวิธีคือ การต้มเกลือใต้ดินและการต้มเกลือบนดิน
เครื่องนุ่งห่ม ชาวอีสานจะปลูกฝ้ายไว้สำหรับทอผ้าโดยเฉพาะโดยจะปลูกทิ้งไว้ เมื่อฝ้ายสุกก็จะเก็บมาปั่นเป็นเส้น ซึ่งส่วนมากผู้หญิงจะเป็นคนทำ และอีกอย่างหนึ่งที่ชาวอีสานนิยาทำคือการทอผ้าไหม แต่ก็ยากที่หลายคนจะทำเป็น เนื่องจากไหมต้องใช้ความละเอียดในการทำมาก ชาวบ้านจึงนิยมทำผ้าฝ้ายมากกว่า การทอผ้าไหมยังเป้นความเกี่ยวพันกับงาน 3 งานคือ การเพาะปลูกคือการปลูกหม่อนเพื่อเป็นอาหารของตัวหม่อน การเลี้ยงสัตว์คือการเลี้ยงตัวหม่อน และงานหัตถกรรมคือการนำผลผลิตที่ตัวหม่อนสร้างสรรค์ออกมามาผ่านวิธีที่จะทำให้ได้ผ้าไหม
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องการทอผ้าก่อนยุคพืชพาณิชย์ คือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ้าเมืองไทยขาดแคลนมาก เพราะสั่งจากต่างประเทศเข้ามาไม่ได้ แต่ในภาคอีสานเป็นภาคที่ยังทอผ้าใช้อยู่มากที่สุด จึงทอผ้าขายให้กับคนภาคกลางจนทอไม่ทัน ในหลายครั้งเรือนก็ต้องไปช่วยกันทอผ้า แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลง ผ้าจากต่างประเทศได้เข้ามาอีก ทำให้การทอผ้าของชาวอีสานชะงักลงแต่หันกลับไปทอเพื่อใช้ในครัวเรือนเหมือนเดิม การทอผ้าฝ้ายเริ่มลดลงเนื่องจากพื้นที่การปลูกฝ้าไม่มี
เมื่อกรคมนาคมเริ่มดีขึ้น คนเข้าเมืองได้โดยสะดวก จึงนิยมซื้อเสื้อผ้ามาสวมใส่กันมาก เพราะมองว่าสวยงามกว่าผ้าที่ทอเอง และยังมีราคาที่ถูกไม่ต้องไปเสียเวลาทอ การทอผ้าไหมเองก็เริ่มมีน้อยลงเช่นเดียวกัน แต่ช้ากว่าฝ้าย ส่วนสาเหตุนั้นคลายๆกัน
ทางด้านที่อยู่อาศัย ชาวบ้านในยุคก่อนพืชพาณิชย์จะนำเอาไม้รอบๆหมู่บ้านมาสร้างบ้าน หลังคาใช้หญ้าแฝกมุง เรือนอีสานถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่หลับนอนเท่านั้นไม่ได้สร้างเพื่อเป็นตัวแสดงฐานะแต่อย่างใด เสาเรือนทำด้วยไม้ไผ่ ซึ่งชาวบ้านจะนำมาทุบให้เป็นแผ่น แลที่สำคัญไม่ใช้ตะปู แต่ใช่สลักแทน
ในสมัยก่อนที่จะมีพืชพาณิชย์นั้นชาวบ้านจะอาศัยพืชธรรมชาติมาเป็นยา เรียกว่า ยาฮากไม้ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เข้ามาถึง
วิถีการทำงานของชาวบ้านในยุคก่อนพืชพาณิชย์ ซึ่งชาวบ้านจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด คือมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองในแต่ละครอบครัว ทุกย่างที่ผลิตเป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น ข้าว เป็นต้น การใช้แรงงานมีตลอดทั้งปี การใช้แรงงานมีตลอดทั้งปี และทุกคนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค การผลิตจะถูกถ่ายทอดเป็นกระบวนการเรียนรู้โดยอาศัยพื้นที่ทำงานเป็นห้องเรียน ซึ่งถือได้ว่าชาวอีสานมีการเรียนที่เรียกว่าการเรียนนอกระบบมาตั้งแต่ก่อนยุคพืชพาณิชย์แล้ว
แรงงานที่เป็นผู้หญิงจะมีมากกว่าผู้ชายผู้หญิง จึงต้องทำงานเช่นเดียวกันผู้ชายในบางงาน เช่น การทำนา เป็นต้น แต่ถ้าแรงงานในครอบครัวไม่พอที่จะทำงานหรือทำการเกษตรก็จะขอแรงจากชาวบ้านหรือญาติพี่น้อง เรียกว่าการลงแขก
เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสานก่อนพืชพาณิชย์(ยุคเศรษฐกิจพอเพียง)
การผลิตหลักของชุมชนคือการผลิตอาหารและการทอผ้า ซึ่งกิจกรมสองอย่างนี้เป็นกิจกรรมที่กินเวลาตลอดทั้งปีของชาวอีสาน แต่การผลิตทั้งหมดเป็นการผลิตเพื่อยังชีพเท่านั้น และกักตุนไว้เผื่อปีใดที่มีฝนแล้งก็จะนำอาหารที่เก็บไว้มาบริโภค นอกจากการบริโภคในครอบครัวแล้วยังใช้ในกิจกรรมทางศาสนา งานบุญต่างๆ และการส่งส่วยอีกด้วย
เมื่อชาวบ้านได้ผลผลิตมาแล้วก็จะมีการแบ่งปันผลผลิตในกับญาติพี่น้องที่ขาดแคลน หรือทำการเกษตรไม่ได้ผลและคนที่เดินทางเข้ามาติดต่อในหมู่บ้าน นอกจากของกินแล้วชาวอีสานยังแบ่งปันที่ทำกินให้กันฟรีๆอีกด้วย เช่น พื้นที่สำหรับทำการเพาะปลูกพื้นที่สร้างบ้าน เป็นต้น ซึ่งแสดงถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของชาวอีสานได้เป็นอย่างดี ทำให้สังคมอีสานเป็นสังคมที่อบอุ่นและมีความมั่นคงในชุมชน
การแลกเปลี่ยนผลผลิตก็จะมีบ้างแต่ต้องเป็นสิ่งของที่จำเป็นจริงๆ แต่จะมีการแลเปลี่ยนเฉพาะในปีใดที่ฝนแล้งเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันในภาคอีสาน บ้านที่มีข้าวก็จะแบ่งปันให้กับบ้านที่ขาดแคลนข้าว แต่บ้านที่ขาดแคลนข้าวก็ไม่ได้ขาดทุกอย่าง ก็หาสิ่งของมาแลก เช่น ผ้าไหมเป็นต้น คือ
- ทรัพยากรบางอย่างที่ในหมู่บ้านไม่สามารถผลิตได้ เช่น เกลือ เพราะเกลือเป็นสิ่งที่สำคัญในการประกอบอาหารและถนอมอาหารของชาวอีสาน
- เหล็ก ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งบางหมู่บ้านไม่สามารถที่จะผลิตได้เอง จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนกับหมู่บ้านที่มีความชำนาญในการตีเหล็ก
- การเกิดภาวะฝนแล้งก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลผลิตมาเพื่อยังชีพด้วยเช่นกัน เช่น การแลกข้าว คือการนำเอวสิ่งของที่มีไปขอแลกข้าวเพื่อเอามาใช้ในการบริโภคในครัวเรือน
การค้าขายในยุคก่อนพืชพาณิชย์นั้นมีสาเหตุหลักอยู่ คือ
- เมื่อชาวบ้านต้องเสียเงินค่ารัชชูปการ ให้กับรัฐบาล จึงจำเป็นต้องหาเงินมาจ่ายในส่วนนี้ เพราะเดิมรัฐไม่ได้เก็บในรูแบบของเงิน แต่จะเก็บเป็นสิ่งของหรือของป่า
- การหาเงินเพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น การบวชลูก การสร้างวัด สร้างศาลา
- อิทธิพลของระบบทุนนิยมที่เข้ามาพร้อมทางรถไฟที่เข้ามาในอีสาน ในปี พ.ศ. 2444 เป็นต้นมา และนอกจากนี้ชาวจีนก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการค้าขายภายในอีสานซึ่งเข้ามาหลังที่มีทางรถไฟในอีสาน
การค้าของชาวอีสานในช่วงนี้จะขายสิ่งที่มีอยู่มากในหมู่บ้าน เช่น เกลือ ข้าว เหล็ก สัตว์ประเภทวัวควายเป็นต้น โดยเฉพาะการค้าควายนั้นได้เกิดขึ้นมาก โดยกลุ่มผู้ชายที่ถูกเรียกว่านายฮ้อยจะนำควายลงไปขายทางภาคกลาง เนื่องจากภาคกลางมีความต้องการควายเพื่อไปทำการเกษตร เพราะเมื่อมีสนธิสัญญาเบาว์ริ่งทำให้ข้าวได้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่เศรษฐกิจการตลาด(เศรษฐกิจแบบพึ่งพา)
ถึงแม้ภาคอีสานสานจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจบ้างแล้ว เมื่อที่มีทางรถไฟในอีสาน ซึ่งจากการที่มีทางรถไฟทำให้อีสานมีระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือ ชุมชนรอบๆทางรถไปจะมีการปลูกพืชไว้ขายด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มากเหมือนในยุคพืชพาณิชย์ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีทางรถไฟ
สาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่เศรษฐกิจการตลาด มีสาเหตุหลักๆ 3 อย่างคือ
- การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากร ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น อัตราการเกิดของชาวอีสานไม่มากนัก เพราะการแพทย์ที่ยังไม่ทันสมัย เมื่อมาถึงสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชุดนี้ได้มองเห็นว่าประชากรของประเทศไทยมีจำนวนที่น้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่จะเป็นประเทศมหาอำนาจ จึงมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากๆ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้พัฒนาการแพทย์ให้มีความทันสมัย รวมทั้งมีการขยายโรงพยาบาลไปทั่วประเทศ อัตราการตายจึงลดลงในขณะที่การเกิดเริ่มเพิ่มสูงขึ้น
- การขยายตัวของระบบทุนนิยม การขยายตัวของระบบทุนนิยม เข้ามาในภาคอีสานโดยการนำเข้ามาของคนจีน เพราะคนจีนที่เข้ามาในภาคอีสานนั้นจะเข้ามาทำการค้า และบางส่วนก็เข้ามาทำโรงสี โรงเลื่อย กิจการเดินรถ ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวอีสานเป็นอย่างมาก การค้าได้เริ่มขยายตัวมากในปี 2480 – 2490 มีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้น แต่เป็นร้านขายของเฉพาะอย่าง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือ เกษตรกรชาวอีสาน เพราะฉะนั้นชาวบ้านในอีสานจึงมีการเพิ่มผลผลิตเพื่อนำไปขาย เพื่อเอาเงินมาซื้อสิ่งของมากขึ้น จึงบอกได้ว่าพ่อค้าเป็นตัวกระตุ้นที่มลทำให้ชาวอีสานมีการผลิตเพื่อขาย
- การขยายตัวของรัฐและนโยบายของรัฐ ในรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เป็นคนวางรากฐานแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ และนำแผนนั้นมาปฏิบัติ ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาตินั้น รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับภาคอีสานมาก มีการสร้างโครงการพื้นฐานต่างๆเป็นอย่างมาก คือ การวางระบบคมนาคม การสร้างเขื่อน ระบบชลประทาน การสาธารณูปโภค การศึกษา การสาธารณะสุข โดยเฉพาะการสร้างถนนนั้นได้เปลี่ยนการเดินทางจากเดิมเป็นอย่างมาก คือจากเดิมต้องเดินทางด้วยเกวียนเป็นหลัก เมื่อมีการสร้างถนนเกิดขึ้นจึงมีการนำรถยนต์เข้าให้บริการ แต่ระบบเศรษฐกิจเป็นผลพลอยได้ที่มาจากการทำถนนเพื่อปราบคอมมิวนิสต์ จากการที่มีรถยนต์ในการขนส่งนั้น ทำให้การนำสินค้าไปขายมีความสะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้นและทำให้ชาวอีสานเดินทางออกจากหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้การสร้างเขื่อนและระบบชลประทานก็ยังเป็นตัวส่งเสริมให้ชาวบ้าน มีน้ำสำหรับทำการเกษตรตลอดทั้งปี ทำให้การทำนาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และระบบไฟฟ้าที่มีการนำเข้ามาใช้ในภาคอีสานก็เป็นตัวที่ทำให้เกิดระบบอุตสาหกรรมในภาคอีสาน
นอกจากนี้สิ่งที่เป็นตัวที่ให้ความรู้เพื่อที่จะพัฒนาคนอีสานคือระบบการศึกษา ระบบโรงเรียนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการหลังมี พรบ. ประถมศึกษา ปี 2464 แต่ในช่วงแรกๆยังใช้ไม่ได้ผลนักเนื่องจากขาดครูในการสอน ทำให้เด็กนักเรียนในช่วงนี้อ่านหนังสือไม่ออก แต่ผลจากการมีการศึกษาในภาคอีสานมีผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งทางบวกและทางลบ ทางบวกคือ การที่คนรู้หนังสือมากขึ้นนั้น ทำให้คนอีสานรู้กลโกงและเล่ห์เหลี่ยมของนายทุน ทำให้การเอารัดเอาเปรียบของพ่อค้าคนกลางหรือนายทุนทำได้อยากขึ้น และทางลบคือคนที่เรียนดีและมีทรัพย์สินมากมักจะไปหางานทำที่ในตัวเมือง ส่วนคนที่เรียนไม่เก่งจะได้ทำงานอยู่ที่บ้าน นอกจากนี้นโยบายการส่งออกของรัฐบาลยังเป็นตัวสำคัญที่ทำให้ระบบการผลิตของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงจากเดิมคือ เดิมผลิตเพื่อยังชีพในครอบครัว เมื่อมีนโยบายของรัฐเขามานั้นทำให้คนอีสานปลูกพืชเพื่อขายมากขึ้น
เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสานยุคพืชพาณิชย์ (เศรษฐกิจพึ่งพา พ.ศ. 2503 ถึง ปัจจุบัน)
หลังจากที่มีเริ่มปลูกพืชเพื่อขายในช่วงก่อน พ.ศ. 2503 นั้น เป็นการปลูกเพื่อขายบางส่วนที่กินไม่หมดเท่านั้น แต่มาถึง พ.ศ. 2503 เริ่มมีการหันมาปลูกพืชเพื่อขายอย่างจริงจังและกว้างขาวงขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการถือครองที่ดิน มีการเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่มีที่ดินมาก็จะมีการปล่อยให้เช่าบ้าง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือ จากการที่เคยให้กันฟรีๆก็ได้หายไปเพราะทุกอย่างนั้นเป็นเงินเป็นทองหมด
เมื่อพื้นที่การเกษตรไม่สามารถขยายได้อีกชาวบ้านจึงต้องปลูกพืชในพื้นที่เดิม ซึ่งทำให้สภาพดินเสื่อมโทรม และต้องไปกู้เงินไปซื้อปุ๋ยมาใส่ ชาวอีสานจึงเกิดภาวะหนี้สินมากในช่วงนี้ และหนี้ที่เกิดจากการทำการเกษตรไม่ได้ผล ซึ่งมีสาเหตุมาจาก
- สภาพดินส่วนใหญ่เป็นดินทรายเก็บน้ำไม่อยู่ ถ้าฝนตกน้อยน้ำจะไม่ขัง ซึ่งการทำนาข้าวนั้นข้าวจะไม้เจริญเติบโต เพราะข้าวจะนำอาหารในดินมาใช้ได้เมื่อน้ำขังเท่านั้น เพราะน้ำจะช่วยในการละลายสารอาหารให้ข้าวนำไปใช้
- สภาพดินเค็ม ซึ่งดินเมื่อเกิดปัญหาดินเค็มแล้วทำการเกษตรก็ไม่ได้ผล ในภาคอีสานมีปัญหาเรื่องดินเค็มนี้มากถึง 14 จังหวัด ซึ่งถือว่าอยู่ในปริมาณที่มาก
- สภาพฝนทิ้งช่วงซึ่งเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทำให้น้ำที่ขังอยู่แห้งไปหมด
- การที่รัฐสร้างเขื่อนในภาคอีสานน้อย
แต่ปัญหาการขาดแคลนข้าวในการบริโภคไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนในอดีต เนื่องจากมีการขยายพื้นที่ในการเพาะปลูกที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต และในภาพจริงของแต่ละหมู่บ้านนั้นมีความแตกต่างกันออกไป บางหมู่บ้านก็ยังสามารถผลิตข้าวได้มาออยู่ บางหมู่บ้านถูกน้ำท่วม ซึ่งแล้วแต่พื้นที่ แต่ภาพรวมของภาคอีสานนั้นได้ข้าวเพียงพอและเหลือจากการบริโภคประมาณ 1 ใน 4 ส่วน ของปริมาณที่บริโภค แต่ก็มีเขตลุ่มแม่น้ำสงครามที่ผลผลิตไม่ค่อยจะได้ผลนัก
ในช่วงนี้นอกจากข้าวแล้วชาวอีสานยังมิการปลูกพืชพาณิชย์ด้วย นั้นคือ พืชไร่ ถึงแม้จะมีการปลูกบ้างแล้วในก่อนปี 2503 ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ได้จริงจังมากนัก แต่จะมาปลูกกันอย่างจริงจังในช่วงที่มีการเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ พืชที่ปลูกได้แก่
ฝ้าย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ภาคอีสานเริ่มปลูกกันตั้งแต่ในสมัยที่ผ่ามนๆมาแต่กรที่ฝ้ายมีศัตรูพืชมาก และปลูกไม่ได้ผลในบางปี จึงไม่นิยมปลูกกันมากนัก
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลูกครั้งแรกที่จังหวัดนครราชสีมา ปลูกทั่วภาคอีสานมีประมาณ 3 ล้านไร่
ปอแก้ว ปอแก้วนี้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างหนี้สินให้กับชาวอีสานเป็นอย่างมากเพราะมีราคาที่ไม่คงที่ แต่เมื่อมีการตั้งโรงงานทำกระสอบที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งรัฐบาลเป็นคนตั้งขึ้น การปลูกปอแก้วก็ได้รับการนิยมในการปลูกเพิ่มมากขึ้น
มันสำปะหลัง เริ่มปลูกครั้งแรกที่บ้านสวนหม่อน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น โดยเริ่มปลูกกันอย่างจริงจังในปี 2515 มันสำปะหลังเป็นพืชที่ชาวอีสานนิยมปลูกกันมาที่สุดรองจากข้าว
อ้อย เป็นการปลูกเพื่อส่งเข้าโรงงานน้ำตาลซึ่งมีกี่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและเป็นสินค้าเกษตรที่ทำรายได้ให้กับประชาชนในภาคอีสานพอพอกันกับมันสำปะหลัง
จากกการที่มีการปลูกพืชเศรษฐกิจหลายๆชนิดและการปลูกข้าวที่ใช้พื้นที่เดิมๆ กรปลูกพืชในพื้นที่ที่มากขึ้นกว่าเดิมทำให้ต้องการความรวดเร็วในการผลิต จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการเกษตร คือมีการใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก เช่น การใช้รถแทรกเตอร์ โดยชาวอีสานได้ไปเห็นมาจากภาคกลางจึงได้นำมาใช้ในภาคอีสาน โดยไม่ได้มีกันทุกครัวเรือน แต่จะมีบางครัวเรือน ใช้สำหรับการบุกเบิกพื้นที่ใหม่ ถ้าครัวเรือนใดที่ไม่มีรถแทรกเตอร์ที่ต้องกี่จะบุกเบิกพื้นที่ ก็จะมาว่าจ้างไปทำการบุกเบิกพื้นที่ใหม่ นอกจากนี้รถไถเดินตามก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการทำนาข้าว
เพราะการใช้ควายไถอย่างเดิมเสียเวลามาก เมื่อหันมาใช้รถไถเดินตามทำให้ประหยัดเวลามากขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่ใช้ในการปรับปรุงปละบำรุงดิน คือ ปุ๋ย ชาวบ้านนิยมใช้ปุ๋ยเคมี เนื่องจากให้ผลกับพืชได้รวดเร็วกว่าปุ๋ยคอกปุ๋ยเคมีเริ่มเข้ามาพร้อมๆกับการนำพันธุ์ข้าวจากทางเกษตรอำเภอแนะนำมาปลูก เพราะข้าวเหล่านี้จะได้ผลดีก็ต้องใช้ควบคู่ไปกับปุ๋ยเคมี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมานั้นได้เพิ่มอัตราการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ่มขึ้น ในเวลาเพียง 19 ปี จากปี 2521 – 2540
สาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีแบบโบราณ แล้วหันมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่คือ ต้องการที่จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้นกว่าเดิม และการใช้เครื่องจักรกลมีประสิทธิภาพมากว่าแรงงานสัตว์ และยังสามารถไถพื้นที่ดอนได้ซึ่งเป็นพื้นที่บุกเบิกใหม่ และเพื่อทดแทนความที่มีอัตราที่ลดลงอย่างมากเพราะความถูกภาคอุตสาหกรรมแย่งไปเกือบหมด นอกจากนี้ยังมีการนำพันธุ์พืชต่างๆที่เกษตรอำเภอแนะนำมาปลูก แล้วไม่ปลูกพืชชนิดเดิม ทำให้พืชพื้นเมืองหายไป
จากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ทำให้ผืนป่าของชุมชนลดลงอย่างมากหรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคนในชุมชนเอง คือการใช้ป่าในการหากินเช่นเดิมได้ลดลง และอาหารที่ได้เป็นอาหารที่ได้จากการซื้อซึ่งมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนเรื่องเครื่องนุ่งห่มนั้นชาวบ้านหันไปใช้เสื่อผ้าสำเร็จรูปที่มีกลุ่มพ่อค้าเข้ามาขาย เพราะมีราคาถูกว่าการทอเอง และไม่ต้องเลียเวลาในการทอผ้า
การเปลี่ยนแปลงเรื่องที่อยู่อาศัย เนื่องจากไม่มีป่าชุมชน ซึ่งแต่ก่อนชาวบ้านหาได้ตามธรรมชาติโดยไม่ต้องซื้อ ชาวบ้านจึงต้องหาวัสดุทดแทนในการสร้างบ้านจากเดิมโดยการซื้อจากตลาดในเมือง
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของแรงงานที่ใช้ในการทำการเกษตร คือ การที่มีการขยายพื้นที่ทำการเกษตรทำให้การเกษตรต้องใช้คนหรือแรงงานที่เพิ่มมากขึ้น แต่ระบบอุปถัมภ์ คือ การลงแขกได้ลดลง เพราะต่างครองครัวก็ผลิตมาก ต้องใช้เงินซื้อแรงเพื่อให้ผลผลิตของตัวเองทำได้ทันเวลา และในบางหมู่บ้านที่ผลผลิตที่ไม่ได้ผลก็จะหันตัวไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดแรงงานในระบบอุตสาหกรรมมากขึ้นกว่าเดิม
ทางด้านความสัมพันธ์ในระบบการผลิตนั้น ก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เช่นการซื้อขายแลกเปลี่ยน ได้ลดลงเนื่องจากทุกหมู่บ้านสามารถที่จะซื้อสินค้าที่ขาดแคลนได้ตามท้องตลาด และการเกิดร้านค้าภายในหมู่บ้านก็เป็นสิ่งที่ทำให้การแลกเปลี่ยนลดลง
นอกจากนี้ยังเกิดกลุ่มพ่อค้าเร่ ซึ่งกลุ่มพ่อค้ากลุ่มนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้านนั้นลดลง ซึ่งกลุ่มพ่อค้าเร่เหล่านี้จะนำสินค้าใส่รถบรรทุกมาขายในหมู่บ้าน ทำให้ชาวอีสานไม่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างหมู่บ้านอีกทางหนึ่ง รวมทั้งการขายผลผลิตทางการเกษตรก็ง่ายยิ่งกว่าเดิม คือ พ่อค้าคนกลางจะมาซื้อถึงที่สวนหรือไร่เลย การทำไร่นาหรือการเกษตรในสมัยนี้จึงมีความสะดวกสบายมากขึ้น
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจากระบบเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นระบบเศรษฐกิจการตลาด สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ ชีวิตของคนอีสานมีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันและสุขอนามัยมากขึ้น เนื่องจากการส่งเสริมของภาครัฐในเรื่องต่างๆ เช่น ระบบคมนาคม เช่น รถยนต์ รถไฟ รถประจำทาง เป็นต้น ไฟฟ้า ระบบชลประทาน ด้านสุขอนามัยรัฐก็ได้ส่งเสริมให้มีการตั้งโรงพยาบาลประจำอำเภอ เป็นต้น
รายได้ของชาวอีสานเพิ่มขึ้นแต่ไม่แน่นอน รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายด้วยเช่นกัน ซึงเกิดจากการขยายตัวขอภาคการเกษตร ซึ่งมีการปลูกเพื่อขาย ชาวอานจึงมีรายได้มากขึ้น แต่รายจ่ายในส่วนที่ต้องเสียให้กับการลงทุนก็มากขึ้นตามไปด้วย
จากการที่ต้องลงทุนมากทำให้เกษตรกรบางคนต้องหาแหล่งเงินกู้เพื่อมาใช้เป็นทุนการผลิตในแต่ละปี ร่วมถึงการใช้ซื้อเครื่องมือทางการเกษตรที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะหนี้จากการกู้ยืมธนาคารการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
เกิดชนชั้นในหมู่บ้านโดยจะวัดจากการที่ใครมีที่ดินมาก มีบ้านหลังใหญ่ และมีอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทันสมัย
นอกจากนี้อาจารย์ สุวิทย์ยังได้เสนอแนวทางที่จะพัฒนาอีสานให้มีศักยภาพ ซึ่งสรุปได้ว่า การมีทรัพยากรที่ดินมากเป็นประโยชน์แก่ชาวอีสานเป็นอย่างมาก ถึงแม้ดินไม่ดี แต่ถ้ามีการปรับปรุงดินก็จะช่วยให้ชาวอีสานได้เปรียบให้เรื่องพื้นที่การเพาะปลูก และการอดออมเป็นสิ่งที่จำทำให้ชาวอีสานไม่เกิดภาวะหนี้สิน*
*สุวิทย์ ธีรศาศวัต .ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านอีสาน 2488 -2544 . กรุงเทพฯ ;
ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , 2546 .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น