จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สรุป14 ตุลา สงครามประชาชน

14 ตุลา สงครามประชาชน
จริงๆแล้ว ผมชอบชื่อเดิมของหนังเรื่องนี้มากกว่า - Moonhunter – คนล่าจันทร์
ประวัติศาตร์ วันที่ 14 เดือนตุลาคม 2516 คงไม่ต้องพูดกันให้มากความ เป็นที่รู้กันบุคคลที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่งในเหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนั้นคือ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ผมว่าใบปิดแบบนี้สวยที่สุด แสดงให้เห็นถึงภาวะบ้านเมืองที่รุนแรง  
ภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลา สงครามประชาชน จึงเป็นการบันทึกชะตากรรมของชาติผ่านชะตากรรมของบุคคล มุมมองของหนังเรื่องนี้เป็นการมองเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 ของผู้กำกับและ อ.เสกสรรค์ ผมชอบเพราะ - หนังคิดคล้ายๆกับผมคือเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ยิ่งใหญ่จริงแต่เบื้องหลังจริงๆใครทำอะไรบ้างและคนเดือนตุลาที่เข้าป่าไม่ใช่ว่าจะรับรองอะไรได้
หนังแสดงให้เห็นความขัดแย้งทางทัศนคติของตัว อ.เสกสรรค์ กับบรรดานักศึกษา มีทั้งซ้ายฝ่ายจีนหลายๆคนที่ชอบยกอุดมการณ์มวลชนแนวปฎิวัติวัฒนธรรมมาอ้าง ทั้งนี้ตั้งแต่อยู่ในเมืองจวบจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในป่า - "เลิกพูดแบบสูตรสำเร็จนี้ซะทีเถอะ ผมฟังมาจนเบื่อแล้ว" - อ. เสกสรรค์ โวยใส่นักศึกษาซ้ายตกขอบหน้าตาเคร่งเครียดกลุ่มหนึ่ง ในคราวนำกรรมกรไปประท้วงรัฐบาลหลังเหตุการณ์ตุลา 16 ที่พวกเขายืนยันว่าไม่กลัวการปะทะ และมวลชนน่ะ"ฆ่าไม่ได้ ตายสิบ เกิดแสน"
ภาณุ สุวรรณโณ - รับบท อ.เสกสสรค์ ประเสริฐกุล และแสดงได้อย่างดีมาก เช่นกันกับ พิมพ์พรรณ จันทะ ที่เหมือน อ.จิระนันท์ ตอนสาวๆราวกับพิมพ์เดียวกัน ภาพแสดงความขัดแย้งด้านทัศนคติบางอย่างในขบวนการ พคท. อีกท่านคือ "นายผี" หรือ"สหายไฟ"
ผมชอบชื่อหนังว่า "คนล่าจันทร์"มากกว่า ในหนังมีซีนพูดถึงเรื่องนี้ ช่วงวันแรกๆในป่าเขา คืนหนึ่ง สหายไทเห็นแสงแวบๆตรงเชิงเขา คิดว่าเป็นไฟของฝ่ายตรงข้าม เขารีบตั้งปืนประทับและยิงสวนไป - ปรากฎว่าจริงๆแล้ว แสงนั้นเป็นแค่แสงจันทร์ที่ส่องตัดพ้นเชิงเขามาเท่านั้น อ.ท่านยิงพระจันทร์ไปเต็มๆ!!!
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เมืองไทยเหมือนหม้อน้ำเดือดเปิดฝา หลายๆอย่างที่ถูกระบบเผด็จการกดไว้มันแสดงผลออกมาพร้อมๆกัน เสรีภาพที่ได้มากลายเป็นว่าหลายๆอย่างควบคุมไม่ได้ เปิดโอกาสให้ฝ่าย"ขวา"ได้ตั้งหลักและซัดกลับอย่างหนักหน่วงในอีก 3 ปีต่อมา


พูดก็พูดเถอะ นักศึกษาขณะนั้นบางกลุ่มก็หลงภาพตัวเองว่าเป็นพระผู้มาโปรด ยังไม่นับเรื่องการคอรัปชั่นโกงเงินบริจากจากเหตุการณ์วัน 14 ตุลาที่พูดอย่างตรงๆในหนัง และแนวทางการต่อสู้หลังจากนั้นก็เป็นซ้ายหัวรุนแรงขาดการประณีประนอม จนสูญเสียมวลชนไปหลายส่วน ช่วงปี 18 ฝ่ายรัฐเริ่มจับทางได้ หลังจากนั้นไม่นาน อ.เสกสรรค์ และ อ. จิระนันท์ พิตรปรีชาก็ต้องหนีเข้าป่า เพราะว่าไม่มีที่ทางในสังคมไทยอีกต่อไป
 สหายไท – ในภาพนักรบประชาชน ในบรรยากาศการเมืองแบบแบ่งขั้วชัดเจนอย่างนั้น เมื่อทั้งสองเข้าไปร่วม พคท. จึงเกิดปัญหาด้านความคิดหลายๆอย่าง แม้จะได้เห็นมิตรภาพที่น่านับถือระหว่าง สหายไท กับ ลุงไฟ หรือ "นายผี" นักคิดอาวุโส แต่เอาเข้าจริงๆแนวคิดของ อ.เสกสรรค์ ก็ถูกตีตราว่าเป็นพวก"ลัทธิแก้" หรือพวกเสรีนิยมอเมริกา บางคนก็หาว่าเป็นซ้ายโซเวียต ไปโน่น  ซีนที่เหล่า"นักศึกษา"ที่หนีเข้าป่าแบบไม่ประสีประสา เอาคำพูดทัศนคติแบบซ้ายจีนสายเจียง ชิง ต่อว่าท่าน นับว่าน่าหนักใจแทนจริงๆ
เด็กในอ้อมกอดของทั้งสอง คือ แทนไท ประเสริฐกุล ลูกชายคนแรก ที่เกิดในป่า
หนังไม่ใช่เชิงอัตชีวประวัติ แต่เดินเรื่อง 2 เหตุการณ์ตัดไปมารับส่งกัน ครอบคลุมเวลาประมาณ 8 ปี คือช่วงเหตุการณ์ระหว่างเดือนตุลา ปี 16 และเหตุการณ์หลังจากนั้นที่ อ.เสกสรรค์ กับ อ.จิระนันท์ ถูกคุกคามจนต้องหนีเข้าป่าไปร่วม ผคท. ในชื่อ"สหายไท"และ"สหายใบไม้" เหตุการณ์ในป่าเขา จวบจนถึงวันที่ท่านออกมามอบตัวกับทางการ 
 ข้อขัดแย้งมีตั้งแต่แนวคิด การปฎิบัติ มีหลายซีนระบุความแบ่งแยกของชนชั้นใน พคท.การใช้งานคนที่ไม่ชอบหน้าแบบเสี่ยงๆ การแยกแยกการใช้ภาษาจีนในระดับชั้นนำ ไม่นับที่พวกชั้นสูงอุบเอาของหมูเห็ดเป็ดไก่ไว้กินแค่ในพรรคพวก ส่วนคนอื่นนะเหรอ ? - "ฟักทองจงพินาศ !!!" สหายไทเคยตะโกนลั่นโรงอาหารในค่ายคอมฯเมื่อพบว่ามีแต่ฟักทองให้พวกเขากิน
ผมเคยอ่านหนังสือของ อ.เสกสรรค์เล่มหนึ่ง คำถามประมาณว่า"คนเดือนตุลา" รับรองอะไรได้ไหม - อ.ตอบว่า ตอนนั้นยังรู้ว่าใครเป็นใคร เหมือนคนเห็นขบวนแห่นักบุญ รู้สึกน่าสนใจจึงเข้าร่วมขบวนด้วย แต่พอนานๆไป ผ้าคลุมก็หลุดมาเอง ตอนนั้นก็จะบอกตัวตนได้ว่าใครเป็นใคร


งานกำกับดีมาก เป็นหนังที่ดีที่สุด (พอๆกับกาลครั้งหนึ่ง..เมื่อเช้านี้) ของ ผกก.ฝีมือดี บัณฑิต ฤทธิถกล ทีมนักแสดงทำได้ดีทุกคน ภาษาหนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง The Godfather ภาค 2 หนังใช้ 2 เหตุการณ์เดินคู่กัน
เนื้อหาหลักๆ เอาจากมาหนังสือ 2 เล่ม คือ เดินป่าเสาะหาชีวิตจริง และ มหาลัยชีวิต  ในเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ผู้กำกับ ได้ลงรายละเอียดมากพอให้เห็นว่าการที่คนๆหนึ่งซึ่งมุ่งหวังจะต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่านั้น ต้องเสียสละอะไรบ้าง ท่านทั้งสองทั้ง อ.เสกสรรค์ และ อ.จิรนันท์ ต้องอยู่อย่างลำบาก แม้แต่วันที่แม่เสียชีวิตก็ไม่ได้ไปเผาศพ ลูกที่เกิดใหม่ๆก็เลี้ยงลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น การขัดแย้งกับพรรคทำให้ต้องหนีมาอยุ่ลำพังกลางป่า นับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่เข้ามาต่อสู้แบบนี้ มีแต่จะสูญเปล่าเพราะไม่รู้ว่ากำลังต่อสู้กับอะไร และเพื่อใครกันแน่? จุดตัดสินอยู่ที่วันหนึ่งพรรคคิดจะไม่เอาท่านไว้เพราะเห็นว่าเป็นพวกเสรีชนเกินไปจนเกิดการปล่อยข่าวว่าท่านเป็นคอมฯสายเวียดนาม
การที่ท่านทั้งสองตัดสินใจเข้ามอบตัวกับทางการ จึงเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็น
อีกเหตุการณ์คือจากวันที่มีการต่อสู้กับเผด็จการในเมืองจนถึงวันที่ได้รับชัยชนะ เบื้องหลังตั้งแต่ศูนย์นิสิตเข้ารับช่วงในวันที่เห็นว่าประชาชนมากันมากพอ / การจับ 13 นักศึกษา / ภาระที่ อ.เสกสรรค์ ต้องดูแลประชาชนกว่า 5 แสนคน / ความเข้าใจผิดในคืนวันเกิดเหตุ / เบื้องหลังที่ อ.ธีรยุทธ บุญมี ต้องประกาศต่อว่า อ.เสกสรรค์ในเบื้องต้น / การตกลงสลายขบวนหลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ /คู่ไปกับเหตุการณ์ที่ อ.เสกสรรค์เข้าป่าจนวันที่พากันมอบตัว เหตุการณ์มาถึงจุดสรุปพร้อมกัน - ภาพที่ อ.เสกสรรค์สลบไปอย่างอ่อนแรงในวันที่ยิงนักศึกษา ปี 2516 และวันที่ท่านเดินทางมามอบตัวกับทางการในปี 2524 
ในชะตากรรมของชาติ มีชะตากรรมของบุคคล - สหายไท เคยกล่าวไว้
บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ในเดือนตุลา 16
หนังทำรายได้ไม่ดีนัก และถูกวิจารณ์อย่างหนักพอสมควรในหลายๆทางโดยเฉพาะมุมมองด้านเนื้อหา เพราะหนังบอกหลายๆอย่างของขบวนการนักศึกษาที่ล้มเหลวทั้งในเมืองหลังเหตุการณ์ปี 16 และไปล้มเหลวในป่าต่อหลังเหตุการณ์ปี 19 บางคนถึงกับกล่าวหาว่า นี่เป็นหนังต่อต้านคอมฯ แต่นั้นผมก็ยังไม่มีใครกล้าบอกว่า - มันไม่จริง - และถ้ามองในศักยภาพของหนังเรื่องหนึ่ง นี่เป็นหนังที่ดีมาก เป็นบทบันทึกเหตุการณ์เดือนตุลาที่ควรได้รับการศึกษาไม่น้อยไปกว่าตำราอื่นๆ


ฉากหนังกับการประท้วงรัฐบาลเผด็จการปี 2516 
เพราะหนังเชิดชูวีรกรรมของ"ประชาชน"ในเหตุการณ์เดือนตุลาปี 16 ได้อย่างยอดเยี่ยม เบื้องหลังวีรชนทั้งหลายแสนในวันนั้นมีอะไรบ้างในกลุ่มผู้นำนักศึกษาและอธิบายความล้มเหลวของขบวนการนักศึกษาหลังจากนั้นผ่านสายตาของผู้ร่วมเหตุการณ์อย่างละเอียด ซึ่งเป็นเรื่องที่มืดมิดอยู่เหมือนกันสำหรับบางคน
ผมชอบชื่อหนังว่า"คนล่าจันทร์"มากกว่า เพราะในหนังและตามประวัติศาตร์ก็เป็นเช่นนั้น ซีนที่"สหายไท"ยิงปืนใส่พระจันทร์จะหมายถึงอะไรก็แล้วแต่ สำหรับผม อุดมคติของท่าน การกระทำของท่านตลอดชีวิต ก็เหมือนกับท่านหวังอะไรสักอย่าง ต่อสู้เพื่ออะไรสักอย่างให้ประเทศชาตินี้ แต่มันเป็นสิ่งที่ไกลเกินจะไขว่คว้า - มันอาจจะเป็นเรื่องตลก อย่างพวกชาวเขาที่หัวเราะเมื่อเห็นท่านยิงไปที่พระจันทร์ หรือเป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับบางคน ที่ใครจะไปล่าพระจันทร์ แต่นับจากวันนั้นถึงทุกวันนี้ ความหวังดีของท่านที่มีต่อสังคมไทย ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย
ที่สำคัญคือเท่าที่อ่านงานเขียนท่านมาและการกระทำหลายๆอย่าง รู้สึกว่าท่านก็เหนื่อยกับคำว่าคนตุลามาก มีแต่คนอื่นแหละเอามาตีตราให้ท่าน งานเดือนตุลา หลายๆครั้งท่านก็ไม่ได้ไปร่วมงาน ด้วยเหตุผลที่เข้าใจกันได้ 
ซึ่งต่างกับพวก"สหาย"หลายๆคนในแวดวงการเมืองที่ทุกวันนี้ เสื้อคลุมนักบุญ หลุดร่วงหมดแล้ว กลุ่มที่เร่ร่อนไปทั่วตั้งแต่พรรคความหวังใหม่ไปยันพรรคพลังประชาชนนั้นแหละ ที่ยังเชิดหน้ากอดตรา"คนตุลา"ไม่ได้มีเปลี่ยน (วันนี้ก็เห็นจัดงานแยกมาต่างหากอยู่) ทั้งๆที่การกระทำช่วงหลัง....คงไม่ต้องให้พูดละมั้ง 
14 ตุลา 16 ผ่านมา 34 ปี - ผมว่าเวลานี้คนรุ่นหลังพอจะบอกได้เองแล้ว ว่าใครคือของจริง ใครคือแค่คนที่แค่ตามแห่ขบวน

4 ความคิดเห็น:

  1. เยี่ยมครับ
    อนุรักษ์หลักฐานการต่อสู้เพื่อสังคมและชาติ ของวีรชน

    ตอบลบ
  2. เยี่ยมครับ
    อนุรักษ์หลักฐานการต่อสู้เพื่อสังคมและชาติ ของวีรชน

    ตอบลบ